บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1112 กระบี่พันสารท

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1112 กระบี่พันสารท

บทที่ 1112 กระบี่พันสารท

กลิ่นเลือดอบอวลในอากาศ ขณะที่เกาหลินเสียชีวิต ณ ที่นั้น และมือขวาที่กำแน่นก็ถูกเฉินซีตัดออก

ภายใต้สายตาที่อยากรู้อยากเห็นของเหลี่ยปิงหาน เฉินซีแงะมือขวาของเกาหลินออก และเผยให้เห็นยันต์สื่อสาร

“มันตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากสหายหรือ?” เหลี่ยปิงหานเอ่ยถาม

เฉินซีส่ายศีรษะ “มันคงตั้งใจรายงานเรื่องสำคัญมากกว่าขอความช่วยเหลือ”

เฉินซีอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นว่าคำว่า ‘ไม่มีที่สิ้นสุด’ และ ‘เขาเทพพยากรณ์’

“ดวงตาของคนผู้นี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง แท้จริงแล้วเขากลับสามารถอนุมานความไม่มีที่สิ้นสุดที่แฝงอยู่ในภายในค่ายกลของข้าได้…” เฉินซีถอนหายใจ ก่อนที่จะปัดมันด้วยมือ เพื่อทำลายข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในนั้น

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยกมือขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เขียนคำว่า ‘ฆ่า ลงบนแผ่นหยกอย่างรวดเร็ว!

ลายมือนั้นคมกริบราวกับดาบ ทั้งยังน่าสยดสยอง บีบคั้นหัวใจ และดวงวิญญาณของเซียนธรรมดาทั่วไปอาจถูกแทงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อมองเพียงแวบแรก!

ฟิ้ว!

เฉินซีสำแดงพลังของแผ่นหยกนี้ด้วยการโบกมือ และส่งมันบินไปเข้าในส่วนลึกของเมฆบนท้องฟ้า

เหลี่ยปิงหานตกตะลึง และถามด้วยความงุนงง “เจ้าคิดจะประกาศสงครามหรือ?”

เฉินซีตอบกลับด้วยคำถาม “แล้วมันทำไมหรือ?”

เหลี่ยปิงหานส่ายศีรษะและหัวเราะอย่างขมขื่น ชายหนุ่มเข้าใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นชัดเจนมาก ถ้าเขาต้องการผ่านสะพานจรัสแสงเมฆา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย

“ไปกันเถอะ ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว ข้ามีคำถามบางอย่างที่จะขอคำชี้แนะจากเจ้า” เฉินซีมองไปที่เหลี่ยปิงหาน

เหลี่ยปิงหานกล่าวว่า “ว่ามาได้เลยสหายเต๋า ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้!”

เฉินซียิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนที่จะเดินเข้าไปในป่าหนาทึบ

โครม!

แผ่นหยกแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่สีหน้าของหลูเฉินยังคงเฉยเมยเช่นเดิม ทว่าสีหน้าขององครักษ์โมฆะทั้งสามคนที่อยู่เคียงข้างกลับมืดมนอย่างมาก

‘ฆ่า!’

มันเป็นเพียงคำคำเดียว แต่เป็นการยั่วยุที่ยอดเยี่ยมสำหรับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!

หลูเฉินพึมพำ “ประเสริฐ ประเสริฐมาก ตอนนี้ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะพบกับเฉินซีคนนี้แล้ว!”

เสียงของเขาราบเรียบ แต่ก็ทำให้หัวใจของอีกสามคนสั่นไหว คนที่เหลือทราบอย่างชัดเจนว่า เมื่อศิษย์พี่หลูเฉินกล่าวเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าชายผู้นี้โกรธถึงขีดสุดแล้ว!

มีลำธารเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวและไหลเอื่อย อยู่ภายในป่าที่อุดมสมบูรณ์ แสงระยิบระยับจากแดดยามบ่ายส่องผ่านกิ่งไม้และใบไม้ที่หนาแน่น

เฉินซีนั่งลงบนพื้นอย่างสบาย ๆ ด้านหน้าคือกองไฟลุกโชน เหนือกองไฟมีปลาตัวใหญ่สีเงินยวงอยู่ อีกทั้งยังส่งกลิ่นเย้ายวนใจออกมา

สัตว์ร้ายวิญญาณดาราอย่างชิงชิงกำลังนอนอยู่ข้างกองไฟเหมือนสุนัขสีเงินตัวใหญ่ ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ปลาย่างบนกองไฟ น้ำลายแทบไหลออกจากปากของมัน

“ข้าอยู่ในอันดับห้าร้อยห้าสิบเก้าในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า แต่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันสักคน และหากยึดจากสิ่งนี้ ถ้าพวกมันเข้าร่วมการแข่งขันในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า อย่างน้อยพวกมันทุกคนจะต้องติดหนึ่งในห้าร้อยอันดับแรกได้อย่างแน่นอน”

“มีผู้บัญชาการอยู่ในหมู่พวกมันด้วย และพลังฝีมือชายผู้นี้ก็น่าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเขาจากระยะไกล แม้จะแค่แวบเดียว แต่มันทำให้ข้ารู้ได้อย่างชัดเจนว่า หากคนผู้นี้ต้องการฆ่าข้า มันอาจจะง่ายดายเหมือนการเป่าฝุ่น ถึงตอนนั้นข้าคงทำได้แค่หันหลังหนีเท่านั้น”

เสียงของเหลี่ยปิงหานแผ่วเบา ในขณะเล่าทุกอย่างที่รู้ให้เฉินซีฟัง และเหลือบมองชิงชิงเป็นครั้งคราว พร้อมกับเผยให้เห็นความอิจฉาที่ไม่อาจปกปิดได้

ด้วยความสามารถในการแยกแยะของตน เขาสามารถรับรู้ได้ว่านี่คือ สัตว์ร้ายวิญญาณดาราที่หายากมาก และสายเลือดของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสัตว์เทวะของสี่สัญลักษณ์เลยสักนิด

การที่เฉินซีมีสัตว์เซียนเป็นคู่หูในการต่อสู้ ทำให้เหลี่ยปิงหานรู้สึกว่าภูมิหลังของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เฉินซีฟังเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างสบาย ๆ “เจ้ายังมีสหายอีกคนไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนจะชื่อหวังทา?”

เหลี่ยปิงหานตกตะลึง จากนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเฉินซีกำลังกล่าวถึงใคร ร่องรอยของความชิงชังและการเหยียดหยามปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็กล่าวว่า “ไอ้บัดซบนั้นเป็นคนขี้ขลาดไร้กระดูกสันหลัง เพื่อผ่านสะพานจรัสแสงเมฆา เขาถึงกลับคุกเข่าแล้วกล่าวคำสาบานต่อไอ้พวกสารเลวเหล่านั้น เพื่อพิสูจน์ตัวตน ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”

“คุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา?”

เฉินซีตกตะลึงเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าคนที่ดูโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี กลับไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ เพราะเขาจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อครั้งที่อยู่ภายในภัตตาคารของเมืองวาฬหยก หวังทาเคยประกาศว่า จะฆ่าใครก็ตามที่ขวางทางตน

เดิมทีเฉินซีรู้สึกชื่นชมต่อความกล้าหาญของหวังทา แต่ไม่คิดว่าเพื่อผ่าน สะพานจรัสแสงเมฆา หวังทากลับเลือกคุกเข่าและร้องขอความเมตตา ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่าไม่อาจตัดสินจิตใจของคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้

“เฮ้อ อันดับสองของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปเมฆาพำนักอย่างดาบปีศาจหวังทา แท้จริงกลับเป็นคนเช่นนี้” เฉินซีถอนหายใจ

คำพูดเหล่านี้ทำให้เหลี่ยปิงหานเงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ของทวีปเมฆาพำนักทุกคน จะเป็นคนขี้ขลาดไร้ยางอายเช่นนั้น”

เฉินซียิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก ชายหนุ่มเอาปลาสีเงินออกจากกองไฟและฉีกออกครึ่งหนึ่งก่อนจะโยนให้ชิงชิง จากนั้นก็แบ่งบางส่วนให้กับเหลี่ยปิงหาน

อู้วววว~

ชิงชิงอมปลาไว้ในปากของมัน ไม่สนใจว่าปลาจะร้อนหรือไม่ ก่อนที่จะเริ่มเคี้ยว น้ำมันวาววับไหลออกมาจากปากขณะดื่มด่ำกับการกินปลา ดูเหมือนมันจะไม่เคยลิ้มรสชาติอันโอชะเช่นนี้มาก่อน

หลังจากกินเสร็จ มันก็เริ่มมองเฉินซีอย่างกระตือรือร้น

เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่น ชายหนุ่มยืนขึ้นและเดินไปที่ลำธารเพื่อจับปลาสีเงินอีกสองสามตัว ปลาเหล่านี้เติบโตในภพเซียน พวกมันมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและมีปราณเซียนหนาแน่น และยิ่งนุ่มนวลและยอดเยี่ยมเมื่อย่างแล้ว

เมื่อมันเห็นเฉินซีเริ่มย่างปลาเพิ่ม ชิงชิงก็เอาหัวของมันถูกับเฉินซีอย่างมีความสุข ด้วยท่าทางสนิทสนมและยินดี

เฉินซีลูบหัวของชิงชิง และครุ่นคิดในใจว่า ‘นี่ก็เป็นเจ้าตะกละน้อยอีกตัวหนึ่ง… ข้าชักสงสัยว่าอาหมาน ไป๋คุย และหลิงไป๋จะคิดอย่างไรเมื่อพวกเขาพบกับชิงชิง’

เหลี่ยปิงหานลิ้มรสปลาในมือ และอุทานด้วยความชื่นชม “ช่างอร่อยอะไรขนาดนี้! ความสำเร็จในเต๋าแห่งการปรุงอาหารของสหายเต๋า เหนือล้ำยิ่งกว่าปรมาจารย์พ่อครัววิญญาณเสียอีกกระมัง”

เฉินซีไหวไหล่ “ปรมาจารย์พ่อครัววิญญาณหรือ? ข้าเป็นปรมาจารย์พ่อครัววิญญาณตั้งแต่ที่เมืองเทาเที่ยแห่งแดนภวังค์ทมิฬตั้งนานแล้ว…”

“เนื่องจากเจ้าตั้งใจเข้าร่วมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าคิดว่าเจ้าคงมีความเข้าใจดีเกี่ยวกับสถานการณ์ในทวีปดาราวีรบุรุษใช่หรือไม่?” เฉินซีเอ่ยถามทันที

“ใช่แล้ว ครั้งหนึ่งข้าเคยเดินทางผ่านทวีปดาราวีรบุรุษเมื่อไม่กี่ปีก่อน มันสมกับที่เป็นหนึ่งในสี่มหาทวีปจริง ๆ เพราะนิกายต่าง ๆ มีมากมายเหมือนต้นไม้ในป่า ในขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์มีมากมายเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า ราวกับสรวงสวรรค์ของภพเซียน ส่วนทวีปอื่น ๆ ก็เหมือนกับชนบทที่แห้งแล้งเมื่อเปรียบเทียบกับมัน” เมื่อกล่าวถึงทวีปดาราวีรบุรุษ ใบหน้าของเหลี่ยปิงหานก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นความปรารถนาอันแรงกล้า และไม่ตระหนี่กับคำชมเลยสักนิด

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาดหวังเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายหนุ่มพยักหน้าขณะกล่าวว่า “เมื่อข้าฆ่าพวกมัน ข้าจะไปดูว่าทวีปดาราวีรบุรุษนั้นเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองเพียงใด”

เหลี่ยปิงหานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “สหายเต๋า เจ้าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

เฉินซีหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน”

ในคืนนั้น เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนพื้น ขณะกำหนดลมหายใจเพื่อทำสมาธิ

ร่างสูงลุกขึ้นยืนเมื่อรุ่งสางมาเยือน และสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่มีอยู่มากมายภายในร่างกาย “มาเถอะ มุ่งหน้าสู่ทวีปดาราวีรบุรุษกัน!”

ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวถึงองครักษ์โมฆะหรือสะพานจรัสแสงเมฆา และดูเหมือนว่าเขาจะตั้งเป้าหมายไว้ที่ทวีปดาราวีรบุรุษอย่างแน่วแน่ นี่เป็นข้อพิสูจน์ทางอ้อมว่าอุปสรรคตลอดทางไม่สามารถขัดขวางการตัดสินใจของเฉินซีได้เลยแม้แต่น้อย

ใบหน้าของเหลี่ยปิงหานกลายเป็นเคร่งขรึมขณะลุกขึ้น

ทั้งคู่ไม่รอช้า พุ่งตรงไปยังส่วนลึกของเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าทันที

“ในที่สุดมันก็มาแล้ว…” ที่ด้านหน้าสะพานจรัสแสงเมฆา หลูเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้น เกิดแสงสีม่วงพุ่งออกมาจากดวงตา และดูเหมือนมันจะมองผ่านชั้นแล้วชั้นเล่าของห้วงมิติ เพื่อมองถึงฉากที่อยู่ออกไปไกลโพ้น

เสื้อผ้าปลิวไสวขณะยืนขึ้น รูปร่างสูงใหญ่และสง่าผ่าเผยราวกับหอกที่แทงทะลุท้องฟ้า ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าสะพานจรัสแสงเมฆา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะสกัดกั้นศัตรูทั้งหมดด้วยตัวเองอย่างกล้าหาญ

ในเวลาเดียวกัน องครักษ์โมฆะอีกสามคนก็ยืนขึ้นเช่นกัน พลังในร่างกายของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความโกรธแค้นและจิตสังหารที่สะสมอยู่ในใจในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ พลุ่งพล่านไปทั่วกาย ทำให้พวกเขาดูเหมือนอาวุธสังหารที่หลุดออกจากฝัก!

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ลำแสงสองดวงพุ่งผ่านท้องฟ้าและฉีกเมฆออกจากกัน แล้วเหินลงสู่ยอดเขาที่อยู่ห่างจากหลูเฉินและคนอื่นๆ สิบห้าลี้ พวกเขาคือเฉินซีกับเหลี่ยปิงหานนั่นเอง

เฉินซีมองไปยังระยะไกล และกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ข้าจะจัดการกับหลูเฉินเอง เจ้าเพียงยืนหยัดให้ได้ราวหนึ่งถ้วยชา ได้หรือไม่?”

“ได้!” เหลี่ยปิงหานพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แน่วแน่ และอำมหิต

เฉินซีชำเลืองมองเหลี่ยปิงหานและยิ้มออกมา เมื่อเห็นเหลี่ยปิงหานมีท่าทางกังวลเล็กน้อย จากนั้นความมั่นใจก็ฉาบอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม

เหลี่ยปิงหานดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ และดูผ่อนคลายมากขึ้น

“หนึ่งถ้วยชาหรือ?” ในขณะนี้ หลูเฉินที่อยู่ไกลออกไปพลันยิ้มเบา ๆ ด้วยสีหน้าเฉยเมยและสุขุม “ดูเหมือนการบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับ จะทำให้เจ้ามั่นใจมากขึ้น”

เฉินซีดึงยันต์ศัสตราออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และชี้ไปที่หลูเฉิน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะได้รู้ว่าข้ามั่นใจหรือไม่ หลังจากลิ้มลองกระบี่ของข้า!”

กลิ่นอายที่น่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้พลันพลุ่งพล่านออกมาจากภายในร่างกายของเฉินซี พวกมันพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า บดขยี้มวลเมฆเป็นวงกว้างถึงสองพันห้าร้อยลี้ และยังทำให้เกิดสุญญากาศอีกด้วย

ดวงตาของหลูเฉินหรี่ลง และเปล่งประกายด้วยสายฟ้าสีม่วงที่เย็นชาอย่างน่ากลัว “กลิ่นอายน่าเกรงขามยิ่งนัก คนอย่างเจ้าติดร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้ไม่นานนักหรอก น่าเสียดายที่ เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าจะเป็นที่ฝังศพของเจ้าในวันนี้!”

เมื่อกล่าวคำสุดท้ายจบ กลิ่นอายของการฆ่าฟันที่ไม่อาจพรรณนาได้ก็ถาโถมออกมาจากร่างของหลูเฉิน เขาเป็นเหมือนศาสตราแห่งการฆ่าฟันในส่วนลึกของก้นบึ้งที่หลุดออกจากฝัก กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ทำให้ท้องฟ้าที่ใสสะอาดถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกควันหนาทึบ

โครม!

หลูเฉินลอยขึ้นไปในอากาศ เสื้อผ้ากระพือไปมา ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบ กลับเยือกเย็นและเฉยเมย ผมยาวปลิวไสว ดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วง ในขณะที่แผ่กลิ่นอายการทำลายล้างมหาศาลออกมา

“ข้าได้ยินมาว่า หน่วยองครักษ์โมฆะของจั่วชิวคงมีสมาชิกทั้งหมดหกสิบสี่คน ข้าคิดว่าเจ้าคงเป็นหนึ่งในอันดับต้น ๆ ของพวกมัน” เฉินซีจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย และเดินขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละก้าว แล้วยืนประจันหน้ากับหลูเฉินจากระยะไกล

“จั่วชิวคง!”

“องครักษ์โมฆะ!”

เหลี่ยปิงหานรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจว่า ตัวประหลาดที่ปิดตายสะพานจรัสแสงเมฆา ล้วนมาจากตระกูลจั่วชิว!

“ตัวข้าไม่อาจถือว่าเป็นหนึ่งในอันดับต้น ๆ ของหน่วยองครักษ์โมฆะ แต่แค่ข้าก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าเจ้า” หลูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย ซึ่งในขณะที่กล่าว กระบี่เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ กระบี่นั้นใสราวกับท้องฟ้า มันพลุ่งพล่านด้วยชั้นของเปลวเพลิงที่สว่างและร้อนแรง

กระบี่พันสารท!

ตัวอักษรสารท ‘秋’ ถูกสร้างขึ้นจากตัวอักษรของ ‘禾’ และ ‘火’

ตัวอักษร ‘禾’ เป็นตัวแทนของไม้ ในขณะที่ตัวอักษร ‘火’ เป็นตัวแทนของไฟ ดาบนี้มีส่วนประกอบของไม้และไฟ อีกทั้งยังถูกหล่อเลี้ยงกลิ่นอายแห่งการสังหารอันยิ่งใหญ่ มันเป็นอาวุธสังหารชั้นยอดที่สืบทอดกันมาจากตระกูลจั่วชิว และเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาลขั้นสูง!

“ฆ่าข้าหรือ? เจ้าไม่คู่ควร จั่วชิวคงก็ไม่คู่ควร ตระกูลจั่วชิวทั้งหมดก็ไม่คู่ควรเช่นกัน!” ท่ามกลางน้ำเสียงที่เฉยเมยและเย็นชาของเฉินซี ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไป ยันต์ศัสตราถูกกวาดออกไปราวธารดารา พัดพาคลื่นอันทรงพลังมากมายหลายชั้น ขณะที่มันฟาดฟันลงมา!

———————————-

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท