บทที่ 1164 คำสั่งของเจ้าสำนัก!
บทที่ 1164 คำสั่งของเจ้าสำนัก!
อันดับที่หนึ่ง เฉินซี!
เสียงของระฆังเต๋าแห่งการประชันยังคงดังก้องอยู่ในหูของทุกคน ทั้งเมืองเซียนสัประยุทธ์กำลังเดือดพล่าน
เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าอันดับที่หนึ่งจะถูกครอบครองโดยเฉินซี ซึ่งไม่ใช่การตัดสินระหว่างจี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ และจ้าวเมิ่งหลี
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าอันดับที่หนึ่งในการทดสอบรอบสุดท้ายเพื่อคัดเลือกศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ จะกลายเป็นชายหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ตามการความคาดหวังของตน
มันเป็นครั้งแรกที่ผู้คนที่อยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์ได้ยินชื่อของเฉินซี และเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยสำหรับพวกตน ไม่คุ้นจนไม่รู้แน่ชัดว่าคนผู้นี้เป็นใคร มาจากทวีปใด หรือมาจากกองกำลังใด…
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้ทุกคนตื่นเต้นและตกใจมาก เมื่อได้ยินว่าเฉินซีได้อันดับที่หนึ่ง
ไม่ใช่แค่เมืองเซียนสัประยุทธ์เท่านั้น จัตุรัสที่อยู่ด้านนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากกองกำลังชั้นนำทั่วภพเซียน ล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึงและประหลาดใจ
แม้ว่าเฉินซีจะได้อันดับที่หนึ่งในระหว่างการทดสอบรอบที่สอง แต่เขาก็ได้อันดับที่เก้าในระหว่างการทดสอบรอบแรก ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนผู้นี้จะเปรียบเทียบกับเจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ได้
ทว่าตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ได้อันดับที่หนึ่ง แล้วจะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร
“การสรรเสริญจากทวยเทพที่เด็กคนนี้ได้รับในระหว่างการทดสอบรอบที่สาม น่าจะอยู่ที่ระดับเสียงฟ้าดินร้องสอดประสาน ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็คงจะเป็นอันดับที่หนึ่งเช่นกัน เพราะด้วยพลังระดับนั้นเป็นไปไม่ได้ที่อันดับสุดท้ายจะแซงหน้าเจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่นๆ ได้”
คนส่วนใหญ่ล้วนแต่เดาคำตอบบางส่วนได้อย่างคลุมเครือ แต่ไม่กล้าผลีผลามตัดสิน
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นี่ก็เป็นดั่งปาฏิหาริย์ที่พลิกทุกสิ่งที่เราเคยได้รู้จริง ๆ และสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นในการทดสอบครั้งใด!!” ใครบางคนถอนหายใจเบา ๆ และไม่สามารถปกปิดความตกใจของตนได้
“ดี! ดี! ดีมาก!” ในบรรดาผู้ที่อยู่ที่จัตุรัส เถี่ยชิวอวี้รู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด ใบหน้าชราเปล่งประกายในขณะที่กล่าวคำว่า ‘ดี’ ซ้ำ ๆ และนี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในใจมีความยินดีเพียงใด
“ฮึ่ม! ข้าล่ะตั้งตารอจริง ๆ ว่าญาติผู้พี่จวินหลินจะรู้สึกอย่างไร หลังจากที่เขาทราบข่าวเกี่ยวกับการจัดอันดับนี้” ดวงตาสุกใสของมู่หลิงหลง เต็มไปด้วยแสงและจิตวิญญาณ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ และทำให้บุคคลสำคัญทั้งหมดของตระกูลมู่ตกตะลึงอย่างมาก
ในอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของจั่วชิวเคอดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง การจ้องมองของนางเย็นยะเยือก ในขณะที่หว่างคิ้วงดงามก็เต็มไปด้วยร่องรอยความหม่นหมองความอำมหิตที่ไม่สามารถปกปิดได้ ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น เหล่าคนของตระกูลจั่วชิวที่อยู่เคียงข้าง ต่างก็มีสีหน้าที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“อันดับที่หนึ่ง!”
“เด็กนั่นสามารถได้รับเกียรติยศเช่นนี้ เขาอาจได้รับความสนใจจากบุคคลสำคัญมากมายในสำนักศึกษา ด้วยวิธีนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเราอาจจะจัดการกับเฉินซีได้ยากขึ้น”
“มารดามัน! เหตุใดสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น!?”
“แล้วเราควรจะให้คำอธิบายกับตระกูลอย่างไร?”
ความรู้สึกของเหล่าคนของตระกูลจั่วชิวทั้งหมด ต่างก็มีอารมณ์ที่ซับซ้อนและน่ากลัวถึงสุดขีด
…
ณ ขณะนี้ โถงแห่งการประชันก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่ผ่านการทดสอบหรือแม้แต่โจวจื่อหลี หวังเต้าหลู่ และบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ของสำนักศึกษา พวกเขาไม่สามารถปกปิดความตกใจนี้ได้เช่นกัน
โชคดีที่บรรยากาศอันกดดันนี้ผ่านไปเร็วมาก
“ฮ่า ฮ่า! ในที่สุดการทดสอบก็สิ้นสุดลงแล้ว ถึงช่วงเวลาสำคัญใช่หรือไม่?”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ต่อจากนี้ไป คือช่วงเวลาจัดสรรที่พำนัก ประกาศกฎของสำนัก จากนั้นศิษย์เหล่านี้จะเลือกอาจารย์และบทเรียนของตน?”
“ฮึ่ม! ที่ผ่านมา ข้าไม่เห็นพวกเจ้าจะสนใจการรับสมัครด้วยซ้ำ? เหตุใดวันนี้ถึงกระวนกระวายกันนัก?”
คลื่นเสียงโห่ร้องดังก้องอยู่นอกห้องโถง จากนั้นร่างที่ทรงพลังจำนวนมากพร้อมพลังมหาศาลก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง พวกเขาดูเหมือนลำแสงแห่งสวรรค์อันเจิดจรัส พุ่งผ่านท้องฟ้าเข้ามา และทำให้เกิดระลอกคลื่นเป็นวงแล้ววงเล่าสะท้อนไปทั่วท้องฟ้า
คนกลุ่มนี้มีทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาทุกคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และทุก ๆ ลมหายใจที่สูดเข้าไป ก็ส่งเสียงก้องกังวานไปทั้งฟ้าดิน และทำให้มหาเต๋าสั่นสะเทือน พร้อมกับสั่นคลอนหัวใจของทุกคน
ทันทีที่มาถึง ทุกสายตาจ้องมองไปยังศิษย์ห้าร้อยคนพร้อม ๆ กัน และเมื่อสังเกตเห็นเฉินซี ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกาย พร้อมกับเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น
“พ่อหนุ่ม ข้าคือเสิ่นฮ่าวเทียน เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายสงวนโอสถ ข้าคิดว่าพรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย และข้าก็ตั้งใจที่จะส่งต่อมรดกทั้งหมดของข้าให้กับเจ้า เจ้าจะเต็มใจรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?” ชายชราที่มีผมสีขาวราวกับหิมะและท่าทางใจดี กล่าวอย่างอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม
โจวจื่อหลีและหวังต้าวหลูตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดว่าเฉินห่าวเทียนที่มีนิสัยดุร้ายและเข้ากับผู้อื่นได้ยาก กลับเผยด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้ นี่ยังเป็นหนึ่งในสามอาจารย์ใหญ่ของเต๋าแห่งโอสถที่มีชื่อเสียงทั่วภพทั้งสามจริง ๆ หรือ?
ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับเสิ่นฮ่าวเทียน ก็ทยอยกล่าวตามลำดับทันที
“พ่อหนุ่ม เต๋าแห่งโอสถเป็นเพียงเส้นทางเสริมเท่านั้น และถ้าเจ้าเต็มใจ เช่นนั้นก็มาที่ฝ่ายสงวนคัมภีร์ของข้า เจ้าจะได้เป็นศิษย์เอกของฝ่ายสงวนคัมภีร์ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าสามารถอ่านคัมภีร์ทุกเล่มที่อยู่ภายในสำนักศึกษา โดยไม่ต้องชำระแต้มดาราแม้แต่แต้มเดียว!”
“ฮึ่ม! ในแง่ของความสามารถในการสั่งสอนศิษย์ ผู้ใดจะเทียบชั้นกับข้าชิวว่านเฉินได้บ้าง? พ่อหนุ่มน้อย การแข่งขันเพื่อบรรลุมหาเต๋ามุ่งเน้นไปที่การฆ่าอย่างเฉียบขาด ครั้งหนึ่งข้าเคยต่อสู้ที่นอกพิภพเป็นเวลากว่าสามหมื่นหกพันปี ข้าอาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องอื่น แต่ในแง่ของความกล้าสามารถในการต่อสู้ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายสงวนโอสถและอาจารย์ใหญ่แห่งฝ่ายสงวนคัมภีร์ ล้วนแล้วแต่เทียบข้าไม่ได้!”
“เจ้าชื่อเฉินซีใช่หรือไม่? ข้าชื่อเจี้ยงอวี่ และพิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋ได้รับคำชี้แนะจากข้า นางจึงบรรลุความสำเร็จอย่างในปัจจุบัน หากเจ้าเต็มใจที่จะบ่มเพาะเคียงข้างข้า ข้าขอรับประกันว่าภายในไม่ถึงหนึ่งร้อยปี เจ้าจะกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าในภพเซียน!”
“นักพรตเต๋าเจี้ยง อย่าลืมว่าอเวจีเหล็กเยี่ยถังก็ได้รับการสอนโดยข้า ยิ่งกว่านั้น เหตุใดผู้หญิงอย่างเจ้าถึงมาแย่งศิษย์ชายกับเรา”
ทันใดนั้น ห้องโถงก็ตกอยู่ในการโต้เถียงที่ไม่รู้จบอีกครั้ง และฉากการโต้เถียงที่วุ่นวายนี้ ทำให้ศิษย์คนอื่นตกตะลึงอย่างไม่เชื่อในสายตาของตนเอง?
“ทุกคน อย่าได้เถียงกัน ไม่ว่าเขาจะกลายเป็นศิษย์เอกของเจ้าหรือไม่ ถึงอย่างไร เฉินซีก็ต้องเริ่มบ่มเพาะจากสำนักศึกษาฝ่ายนอก และในฐานะอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาฝ่ายนอก ข้าย่อมปฏิบัติต่อเฉินซีเป็นอย่างดี” โจวจื่อหลีไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ และเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
มีเพียงหวังต้าวหลูเท่านั้นที่รู้สึกขมขื่นในใจ เขาไม่สามารถแข่งขันกับผู้อาวุโสคนอื่นได้เพราะตนเพิ่งรับศิษย์เอกไปเมื่อไม่นานมานี้ และตามกฎของสำนักศึกษา อาจารย์ใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้รับศิษย์คนอื่นเพิ่ม จนกว่าศิษย์คนปัจจุบันจะบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ
“เจ้าหนูโจว! นี่คือวิธีที่เจ้ากล่าวกับอาจารย์ลุงของเจ้าหรือ?”
“ศิษย์น้องโจว เมื่อวันก่อนเจ้าเอาเหล็กกล้าโกลาหลของข้าไป ฟังนะ ข้าจะไม่ขอให้เจ้าคืนมัน ถ้าเจ้าให้ศิษย์คนนี้แก่ข้า ข้าจะถือว่าเราหายกัน”
เมื่อพวกเขาเห็นโจวจื่อหลีตั้งใจจะเข้าร่วมจริง ๆ คนอื่น ๆ ก็ไม่พอใจทันที และตำหนิอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ใบหน้าของโจวจื่อหลีจมดิ่งลงทันที “ไม่ว่าพวกเจ้าจะกล่าวอะไร ตามกฎแล้ว เฉินซีจะต้องเข้าสู่สำนักศึกษาฝ่ายนอกเพื่อบ่มเพาะก่อนอยู่ดี!”
“นั่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นศิษย์เอกของข้าไม่ได้” เจี้ยงอวี่โบกมือและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
โจวจื่อหลีรู้สึกปวดศีรษะ เพราะเจี้ยงอวี่คนนี้ยากที่จะรับมือ
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังโต้เถียงกัน จู่ ๆ ชายหนุ่มในชุดสีเทาก็เดินเข้ามาจากนอกห้องโถง ผมของเขาขาวราวกับหิมะ ดวงตาที่เต็มไปประกายแวววาวของดวงดาว และคิ้วที่เอียงเฉียงได้รูป ทันทีที่เดินเข้ามา สายลมเย็นยะเยือกเสียดกระดูกก็พัดไปทั่วห้องโถง ทำให้อากาศสั่นสะเทือนและถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง!
บรรยากาศในห้องโถงพลันเงียบสนิท
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผมสีขาวในชุดสีเทา
“ช่างเป็นปราณกระบี่ที่น่าตกตะลึงอะไรเช่นนี้…” เฉินซีมองจากระยะไกล และไม่สามารถเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นได้อย่างชัดเจน จากนั้นเขารู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา ยิ่งกว่านั้น ขนยังลุกไปทั่วร่างกาย
นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการสยบอย่างเด็ดขาดของระหว่างขอบเขตการบ่มเพาะ และมันกระตุ้นให้รู้สึกว่าไม่อาจต่อต้านคนผู้นี้ได้
“ชายคนนี้คือใครกัน?”
“กลิ่นอายนี้ไม่ดุร้ายและทรงพลังไปหน่อยเหรอ…?”
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและงุนงงอยู่ในใจ
“หัวเจี้ยนคง!” เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้ ท่าทางของโจวจื่อหลีก็ผ่อนคลายทันที
อย่างไรก็ตาม ท่าทางของผู้ยิ่งใหญ่เช่น เจี้ยงอวี่ เซวียนหยวนพัวจวิน ชิวว่านเฉิน และเฉินห่าวเทียนกลับเผยให้เห็นถึงความโกรธ
หัวเจี้ยนคงเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนัก ซึ่งคอยคิดตามเจ้าสำนักมาเป็นเวลากว่าหมื่นปี โดยไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง ชายผู้นี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของสำนักศึกษา
บางคนกล่าวว่า เขามีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปราชญ์ขั้นสมบูรณ์ บางคนกล่าวว่าเขาได้บรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นมานานแล้ว แต่ข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีใครทราบแน่ชัด
เมื่อหัวเจี้ยนคงมาถึง เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักถึงต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะด้วยนิสัยเย็นชาและสันโดษของหัวเจี้ยนคง เขาย่อมไม่สอดมือเข้ามาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าในช่วงเวลาต่อมา หัวเจี้ยนคงก็มาถึงด้านข้างของโจวจื่อหลี และส่งแผ่นหยกให้ “นี่คือคำสั่งของท่านอาจารย์”
ชายหนุ่มหันหลังกลับ และจากไปทันทีที่กล่าวจบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เหลือบมองใครในห้องโถงเลยสักครั้ง แสดงถึงความเย่อหยิ่ง เย็นชา เหมือนหมาป่าเดียวดายที่เคลื่อนไหวเพียงลำพัง
เมื่อร่างของหัวเจี้ยนคงหายไป บรรยากาศเย็นยะเยือกในห้องโถงก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
“รีบดูเร็วเข้า ท่านเจ้าสำนักมีคำสั่งอันใด?”
“ช่างแปลกนัก หากข้าจำไม่ผิด ท่านเจ้าสำนักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสำนักศึกษามาหลายพันปีแล้ว แต่วันนี้กลับออกคำสั่งลงมา และยังใช้เจ้าหนูเย็นชาอย่างหัวเจี้ยนคงคนนี้ ให้มาถ่ายทอดคำสั่งด้วย?”
“อันที่จริง ข้ารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี…”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ทุกคนก็จ้องมองไปที่โจวจื่อหลีเป็นตาเดียว
โจวจื่อหลีกลับจ้องไปที่แผ่นหยกในมือ ซึ่งเมื่อเห็นเนื้อหาของแผ่นหยกอย่างชัดเจน เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย และใบหน้าพลันแข็งทื่อ และเงียบไปเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็ชำเลืองมองซึ่งกันและกัน พวกเขาต่างรู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย
เพราะในฐานะอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และผู้ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน โดยปกติแล้ว โจวจื่อหลีจะสงบ เข้มงวด และสำรวม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
แต่ยามนี้คนผู้นี้กลับตกตะลึง…
“เกิดอะไรขึ้น? หรือเนื้อหาในแผ่นหยกทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของโจวจื่อหลีสั่นคลอน?”
“เจ้าหนูโจว รีบบอกเราเกี่ยวกับคำสั่งของท่านเจ้าสำนัก” ชิวว่านเฉินขมวดคิ้ว
คนอื่น ๆ ก็กล่าวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของแผ่นหยกมากขึ้น แม้แต่เจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และศิษย์คนอื่น ๆ ที่ผ่านการทดสอบก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ท่านเจ้าสำนักบอกว่า…” โจวจื่อหลีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ทุกคน เสียงของเขาปรากฏร่องรอยของความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างสุดจะพรรณนา “ท่านเจ้าสำนักไม่อนุญาตให้อาจารย์ใหญ่คนใดในสำนักศึกษารับเฉินซีเป็นศิษย์เอก เขาสั่งให้พักเรื่องนี้ไว้ก่อนและไว้หารือกันในภายหลัง!”