บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1171 ผู้ที่บรรลุผลสำเร็จคือราชา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1171 ผู้ที่บรรลุผลสำเร็จคือราชา

บทที่ 1171 ผู้ที่บรรลุผลสำเร็จคือราชา

เมื่อเวลาผ่านไป กฎแห่งวารีรอบตัวของเฉินซีก็อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

มันดังกึกก้องราวกับมหาสมุทรที่บ้าคลั่งในตอนแรก และไหลเชี่ยวอย่างไม่มีสิ้นสุดเหมือนแม่น้ำสายใหญ่ ก่อนจะกลายเป็นสายฝนโปรยปรายที่เงียบงันและอ่อนโยน…

ในที่สุด หยดน้ำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และลอยอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงัน

หยดน้ำนี้มีลักษณะกลมและโปร่งแสง มันสะท้อนให้เห็นรายละเอียดของความเปลี่ยนแปลงมากมายของทุกสิ่งในโลก ซึ่งแม้ว่ามันจะเล็ก แต่กลับให้ความรู้สึกหนักอึ้งและลึกล้ำ ราวกับอเวจีที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้

แต่เมื่อพินิจอย่างระมัดระวัง มันก็ยังเป็นหยดน้ำ และไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ

มันเหมือนกับสามขั้นตอนของการบ่มเพาะ ในขั้นแรกภูเขายังดูเหมือนภูเขา ในขณะที่น้ำยังดูเหมือนน้ำ ในระหว่างขั้นตอนนี้ ผู้บ่มเพาะเป็นดั่งเด็กที่ไม่ประสา ความรู้ของผู้บ่มเพาะเกี่ยวกับโลกนั้น เรียบง่ายและซื่อตรง

ในขั้นที่สอง ภูเขาดูไม่เหมือนภูเขา และน้ำก็ดูไม่เหมือนน้ำ ในระหว่างขั้นตอนนี้ ผู้บ่มเพาะจะต้องประสบกับการขัดเกลา และแม้ว่าจิตใจจะมั่นคง แต่สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการพัฒนาการบ่มเพาะที่ดีขึ้น

ในขั้นที่สาม ภูเขายังคงดูเหมือนภูเขา น้ำยังคงดูเหมือนน้ำ ในขั้นนี้ ผู้บ่มเพาะได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงนับครั้งไม่ถ้วนในชีวิต ซึ่งมองผ่านความเป็นจริงและเรื่องต่าง ๆ ของโลก เพื่อที่จะสัมผัสแก่นแท้ของโลก

หยดน้ำที่อยู่ตรงหน้านั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เฉินซีที่บ่มเพาะเคล็ดกระบี่วารี ได้เข้าใจแก่นแท้ของมันแล้ว ชายหนุ่มได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำนับไม่ถ้วน และในท้ายที่สุด ก็หลอมรวมความลึกล้ำทั้งหมดไว้ในหยดน้ำนี้

ณ จุดนี้ เคล็ดกระบี่วารีได้บรรลุความสมบูรณ์แบบแล้ว!

โอม!

ด้วยคำสั่งในใจ หยดน้ำก็จมลงที่หว่างคิ้ว ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนกลายเป็นเทพแห่งวารี และสามารถควบคุมพลังงานของน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ชายหนุ่มเหยียดปลายนิ้วออกไป และมีสายน้ำขดเป็นเกลียว มันกลายเป็นฝนตกปรอย ๆ พายุฝน ลำธาร แม่น้ำ ทะเลสาบ ธารน้ำแข็ง หนองน้ำ และอื่น ๆ ตามคำสั่งของเขา

การบรรลุระดับนี้แตกต่างจากครั้งก่อน มันไม่ได้จำกัดแค่กระบวนท่าบางอย่าง และทุก ๆ กระบวนท่าก็ถูกใช้ตามใจต้องการ ทุก ๆ กระบวนท่าอาจเป็นพิรุณโปรยปรายประหนึ่งฝัน แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเปลี่ยนเป็นกระบวนท่า คลื่นเมฆาทำลายล้างและมหาสมุทรไร้พรมแดน!

“แม้วิธีการอาจแตกต่างไป แต่หลักการก็ยังเหมือนกัน หลักการของน้ำอยู่ในความคิดของข้าผู้เดียว!”

เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลืมตาขึ้นทันที ในเวลาเดียวกัน พลังชีวิตในร่างกายพลันเดือดพล่าน ในขณะที่มันไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย อีกทั้งมันยังปลดปล่อยความรู้สึกร่าเริงและมีชีวิตชีวาออกมา

หลังจากบรรลุเคล็ดกระบี่วารีได้อย่างถ่องแท้ มันก็กระตุ้นพลังชีวิตในร่าง ทำให้การบ่มเพาะดีขึ้นเล็กน้อยอีกครั้ง!

เฉินซีไม่ได้หยุดเพียงเพราะความรู้สึกเช่นนี้ ชายหนุ่มเริ่มทำสมาธิ ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในพลังชีวิต

ปากและจมูกหายใจเข้าหายใจออกสอดประสาน ปราณบรรพกาลโกลาหลจากสิ่งรอบข้าง ทำให้พลังชีวิตในร่างเปล่งเสียงคำราม ซึ่งฟังดูเหมือนเสียงคำรามของมังกร เสียงคำรามของพยัคฆ์ และแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก

ต่อมา ทุก ๆ รูขุมขนบนร่างก็ถูกปกคลุมด้วยปราณบรรพกาลโกลาหลที่หนาแน่น ชายหนุ่มถูกปกคลุมไปด้วยชั้นแสงคลุมเครือเหมือนหมอก ทำให้ดูเหมือนกับเทพเซียน

ที่จุดใต้ท้องทะเลแห่งลมปราณในท้อง มีกลิ่นอายเย็น ๆ เกิดขึ้นจากบริเวณจุดฮุ่ยอิน

จุดฮุ่ยอินเป็นสถานที่ที่วิญญาณแห่งชีวิตสถิตอยู่ และมันอยู่ในระนาบเดียวกันกับตำหนักหนี่หวางแห่งวิญญาณสวรรค์กับจุดถันจงแห่งวิญญาณปฐพี

จุดฮุ่ยอินเป็นด่านสุดท้ายของด่านแห่งความลึกลับทั้งสามในขอบเขตเซียนลึกลับ!

เมื่อทะลวงผ่านด่านนี้ มันจะเทียบเท่ากับการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง และนั่นหมายความว่า วิญญาณทั้งสามได้รับการบ่มเพาะให้สมบูรณ์และไร้ที่ติแล้ว!

เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ …

เช้าตรู่ของวันต่อมา เฉินซีซึ่งอยู่ในการทำสมาธิ จู่ ๆ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยความผันผวนแปลกประหลาด และตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะระดับลึกของตน

“เหล่าศิษย์ใหม่ทุกคน จงรีบไปรวมตัวกันที่นอกภูเขาเมฆาไพศาล ข้าจะนำพวกเจ้าทั้งหมดไปยังลานฝึกของสำนึกศึกษาฝ่ายนอกในอีกหนึ่งถ้วยชานับจากนี้ และข้าจะอธิบายข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะของเจ้าในอนาคต”

มันเป็นเสียงของอาจารย์หวังเหิน ที่แพร่กระจายไปทั่วภูเขาเมฆาไพศาล และผ่านชั้นของข้อจำกัดเพื่อเข้าสู่ที่พำนักต่าง ๆ ด้วยพลังพิเศษ

เฉินซีขมวดคิ้ว เขาได้รับประโยชน์มากมายจากการบ่มเพาะเมื่อคืนนี้ และกำลังใกล้บรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง แต่กลับถูกขัดจังหวะเสียก่อน

เขาส่ายศีรษะและหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ร่างสูงใหญ่ยืนขึ้นและมองไปที่หม้อกลั่นใบจิ๋วที่อยู่ใกล้เคียง จากนั้นก็ออกจากที่พักอย่างเงียบ ๆ คนเดียว เมื่อเห็นว่าหม้อกลั่นใบจิ๋วยังคงดูดซับปราณบรรพกาลโกลาหลอยู่

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้น แต่ศิษย์ใหม่ทั้งห้าร้อยคนที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ ต่างก็บินมาจากทุกทิศทุกทาง และมาบรรจบกันนอกภูเขาเมฆาไพศาล

เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า ศิษย์ส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นเต้น ในขณะที่บางคนขมวดคิ้วเช่นเดียวกับตน เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าการบ่มเพาะถูกขัดจังหวะโดยหวังเหิน

“เฉินซี ตรงนี้” ในระยะไกล เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงที่มาถึงนานแล้ว ต่างก็โบกไม้โบกมือให้กับเฉินซี

เฉินซียิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นเดินไปหา ในบรรดาศิษย์ใหม่ห้าร้อยคน มีเพียงเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงเท่านั้นที่คุ้นเคยกับเขามากที่สุด ส่วนคนอื่นถือว่าเป็นเพียงคนที่เคยเห็นตาเท่านั้น

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังบ่มเพาะในเคหาระดับจักรพรรดิหรือ? โอ้สวรรค์! นี่เจ้าต้องจ่ายแต้มดาราถึงแปดพันแต้ม เพื่อที่จะบ่มเพาะที่นั่นได้เป็นเวลาหนึ่งปี” เหลียงเริ่นกล่าวด้วยสีหน้าตกใจและชื่นชม

เฉินซียิ้มขและกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการบ่มเพาะ จริงสิ ว่าแต่เคหาของพวกเจ้าสองคนอยู่ที่ใดกัน?”

เหลียงเริ่นขมวดคิ้ว “โอ้ ข้ากับพี่กู่ไม่ได้อยู่ในสิบอันดับแรก ดังนั้นพวกเราทำได้เพียงบ่มเพาะในเคหาที่สร้างขึ้นบนชีพจรเซียนระดับปราชญ์”

“เอาละ อย่าได้บ่นเลย ไม่ต้องกล่าวถึงชีพจรเซียนระดับปราชญ์ แม้แต่ชีพจรเซียนระดับมวลสวรรค์ก็ยังหายาก จงพอใจในสิ่งที่ตนมี” กู่เยวหมิงเย้ยหยัน

เฉินซียิ้มเช่นกัน ชายหนุ่มทราบอย่างชัดเจนว่า นอกจากสิบอันดับแรกแล้ว ศิษย์ใหม่คนอื่น ๆ ทั้งหมดกำลังบ่มเพาะอยู่บนภูเขาลูกเดียวกัน และภูเขาลูกนั้นมีชื่อว่าเมฆาม่วง ซึ่งมีชีพจรเซียนระดับปราชญ์เพียงเส้นเดียวบนภูเขานั้น และไม่สามารถเปรียบเทียบกับเส้นชีพจรเซียนระดับราชันบนภูเขาเมฆาไพศาลได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเส้นชีพจรเซียนระดับจักรพรรดิ

นี่คือช่องว่างระหว่างศิษย์สิบอันดับแรกกับศิษย์ใหม่คนอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

“อาจารย์หวัง ครั้งหน้าท่านช่วยแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าได้หรือไม่? ข้ากำลังทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อถูกขัดจังหวะ ข้าจึงพลาดโอกาสอันยอดเยี่ยมไป ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ” ในขณะนี้อ๋าวอู๋หมิงกล่าวขึ้นทันพลันด้วยเสียงที่ดังก้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ศิษย์คนอื่น ๆ ตกใจกับความเย่อหยิ่งของอ๋าวอู๋หมิงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ในขณะที่บางคนค่อนข้างเห็นด้วย และพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

ท่าทางของหวังเหินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และหลังจากที่ศิษย์ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว เขาก็กล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครมารบกวนพวกเจ้าอีก แม้ว่าเจ้าจะอยู่ในเคหาของเจ้าทั้งวันก็ตาม แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือ พวกเจ้าทุกคนต้องจ่ายแต้มดาราสำหรับการครอบครองเคหา”

ศิษย์คนอื่น ๆ เงียบเมื่อได้ยินสิ่งนี้

เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในเคหาตลอดไป เพราะแม้ว่าจะต้องการทำเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีแต้มดาราเพียงพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียม

“มาเถิด อาจารย์ใหญ่โจว รองอาจารย์ใหญ่จั่วชิว และอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายคนรอนานแล้ว” หวังเหินมองไปที่ศิษย์ทุกคน ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเสื้อ เพื่อดึงเรือเหาะเซียนออกมา จากนั้นมันก็พาทุกคนไป ในขณะที่มันกลายเป็นลำแสงที่พุ่งผ่านท้องฟ้า

วันนี้เป็นวันแรกที่ศิษย์ใหม่เริ่มบ่มเพาะในสำนักศึกษา และมันมีความหมายที่ไม่ธรรมดา

อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาฝ่ายนอกโจวจื่อหลี รองอาจารย์ใหญ่จั่วชิวฮง และหัวหน้าอาจารย์กับอาจารย์ทั่วไปหลายคนมารวมตัวกันที่ลานฝึก

นอกจากนั้น ศิษย์อาวุโสเกือบแปดพันคนจากเขตฝ่ายนอกก็มารวมตัวที่นี่เช่นกัน ถือได้ว่าเป็นพิธีต้อนรับศิษย์ใหม่

ตามความหมายโดยตัวอักษร ลานฝึกสอนเป็นสถานที่สำหรับสอนเกี่ยวกับการบ่มเพาะ ลานฝึกสอนของสำนึกศึกษาก็ไม่มีข้อยกเว้น

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ลานฝึกสอนของฝ่ายนอกนั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และล้อมรอบด้วยอาคารโบราณเรียงรายเป็นทิวแถว

อาคารโบราณเหล่านี้ ถูกเตรียมไว้สำหรับการสอนเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น หอกลั่นโอสถ หอขัดเกลาอุปกรณ์ หอฝึกสัตว์อสูร หอคัมภีร์และอื่น ๆ เป็นต้น

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หอบ่มเพาะ

ท้ายที่สุดแล้ว การบ่มเพาะเป็นสิ่งที่ทุกคนกังวลมากที่สุด

ฟิ้ว!

เรือเหาะเซียนพุ่งผ่านท้องฟ้า ขณะที่หวังเหินนำศิษย์ใหม่ทั้งหมดไปยังหอบรรยายในเขตฝ่ายนอกและลงมายังลานกว้าง

ในขณะนี้ จัตุรัสเต็มไปด้วยเงาที่เคลื่อนไหวไปมา ศิษย์อาวุโสกว่าแปดพันคนหรือมากกว่านั้น ได้มารวมตัวกันที่นี่ จนกลายเป็นกลุ่มหนาแน่นของชายหญิง และผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับ ในขณะที่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ

มีเวทีสูงตรงกลางจัตุรัส ในขณะนี้ อาจารย์ใหญ่โจวจื่อหลีของสำนักศึกษาฝ่ายนอก รองอาจารย์ใหญ่จั่วชิวฮง และอาจารย์คนอื่น ๆ ได้นั่งอยู่ที่นั่น

เมื่อพวกเขาเห็นหวังเหินมาถึงพร้อมกับศิษย์ใหม่ทั้งหมด ดวงตาของทุกคนต่างก็กวาดเข้ามาอย่างพร้อมกัน ทำให้บรรยากาศแต่เดิมที่เคร่งขรึมและเงียบงัน กลับกลายคึกคักวุ่นวาย

“ข้าได้ยินมาว่า พรสวรรค์โดยกำเนิดและความแข็งแกร่งของศิษย์ใหม่ในปีนี้ ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับปีก่อน ข้าสงสัยว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“ฮ่า ฮ่า! จำเป็นต้องแยกแยะว่าจริงหรือไม่ด้วยหรือ? ทุกอย่างจะไร้ประโยชน์ หากพวกเขาไม่สามารถได้รับแต้มดารา”

“อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่า ในปีนี้มีบุคคลที่น่าเกรงขามมากมาย และถ้าเรามีโอกาส เราก็ควรเป็นสหายกับพวกเขา”

“เป็นสหายกับพวกเขาหรือ? อย่าได้เสียเวลาเลย บุคคลที่น่าเกรงขามเหล่านั้นล้วนมาจากมหาอำนาจเช่นเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นอัจฉริยะในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไม่สนใจเจ้าหรอก!”

คลื่นกระซิบของการสนทนาดังก้อง สายตาที่จ้องมองไปที่เฉินซีและศิษย์ใหม่คนอื่น ๆ มีความรู้สึกที่แตกต่างกันมากมาย เหมือนกับทหารมากประสบการณ์กำลังเฝ้าดูกลุ่มทหารเกณฑ์ใหม่เข้าสู่กองทัพ

ท่ามกลางการจ้องมองเหล่านี้ หวังเหินพาเฉินซีและคนอื่น ๆ ไปที่ด้านหน้าของจัตุรัส ก่อนจะเดินนำพวกเขาไปยังเวทีที่บุคคลระดับสูงเช่นโจวจื่อหลีนั่งอยู่

“เงียบ!” จั่วชิวฮงขมวดคิ้วและตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ มันหยุดการสนทนาในบริเวณโดยรอบทันที และบรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ โจวจื้อหลีก็ลุกยืนขึ้น และมองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ อย่างเฉยชา “วันนี้เป็นวันแรกในสำนักศึกษาสำหรับศิษย์ใหม่ทุกคน ข้าจะกล่าวตรงประเด็นที่นี่และตอนนี้ ข้าเพียงต้องการบอกพวกเจ้าทุกคนว่า วิถีสู่มหาเต๋านั้นยากลำบาก และพวกเจ้าไม่ควรหย่อนยานในการบ่มเพาะของตนเอง”

เขาหยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เราจะจัดการสอบของฝ่ายในทุก ๆ สิบปี หรือก็คืออีกสองปีนับจากนี้ และข้าหวังว่าไม่ว่าจะเป็นศิษย์อาวุโสหรือศิษย์ใหม่ พวกเจ้าทุกคนจงใช้เวลาบ่มเพาะให้ดีที่สุด และพวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจว่า ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดต่อเนื่องกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว มันจะกลายเป็นช่องว่างที่ใหญ่หลวง”

“วิถีการบ่มเพาะก็เป็นเช่นนี้ หากช้ากว่าหนึ่งก้าว ก็อาจไล่ตามคนผู้นั้นไม่ได้ตลอดไป และความสำเร็จที่ต่างกันในอนาคต ก็เปรียบได้กับความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดิน”

“ตามที่กล่าวไว้ ในการแข่งขันเพื่อบรรลุมหาเต๋า ผู้ที่บรรลุผลสำเร็จคือราชา เหล่าศิษย์เอ๋ย การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท