บทที่ 1207 ได้รับคัมภีร์เต๋า
บทที่ 1207 ได้รับคัมภีร์เต๋า
บางคนถึงกับขมวดคิ้ว ในขณะที่บางคนมีความสุขเมื่อเห็นจั่วชิวอินยั่วยุเฉินซี
แต่คำตอบของเฉินซีกลับเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มหันไปถามเซวียนหยวนอวิ่นที่อยู่ด้านข้าง “ข้าสามารถทุบตีผู้อื่นในหอคัมภีร์ได้หรือไม่?”
สิ้นคำ ใบหน้าของจั่วชิวอินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ขณะมองเฉินซีอย่างระแวดระวังเล็กน้อย เพราะเขากังวลว่า คนผู้นี้จะเมินเฉยต่อข้อจำกัด และทุบตีตน
“ไม่ได้ ข้อจำกัดจะเปิดใช้งานทันทีที่เกิดความผันผวนของปราณเซียนพิสุทธิ์ แม้ว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่เจ้าก็จะถูกขับออกจากหอคัมภีร์ และจะไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเท้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียวเป็นเวลาสามปี” เซวียนหยวนอวิ่นส่ายศีรษะ
เฉินซีถอนหายใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นก็เบนสายตากลับไปที่จั่วชิวอิน “เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าพันธมิตรดารานั้นอ่อนแอหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าข้องใจ เจ้าสามรถไปที่ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเพื่อท้าทายข้าได้ แม้ว่าข้าจะปฏิเสธคำท้าทายของผู้อื่น แต่ข้าจะมอบสิทธิพิเศษนี้ให้กับเจ้าอย่างแน่นอน”
สิ้นคำ เฉินซีก็เดินไปที่ชั้นคัมภีร์ด้านข้าง ไม่สนใจจั่วชิวอินอีก
คนอื่น ๆ มองไปที่จั่วชิวอินด้วยสีหน้าขบขัน
“พี่ชาย ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าคงทนไม่ได้อย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว เจ้าต้องท้าประลอง หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายพอ!”
“อ้อ ลืมไปเลย ข้าคิดว่าเขาไม่มีความสามารถพอที่จะต่อสู้กับเฉินซี ก็แค่ดีแต่ปากเท่านั้น”
ศิษย์จากกองกำลังชั้นนำอื่น ๆ อย่างเซวียนหยวนอวิ่น ล้วนไม่เกรงกลัวจั่วชิวอิน ดังนั้นเมื่อสบโอกาส พวกเขาจึงรุกไล่ทันทีที่มีจังหวะ และพยายามเติมเชื้อไฟด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
สีหน้าของจั่วชิวอินจมดิ่งลง บังเกิดความอัปยศอดสูขึ้นในใจ แต่เขาไม่กล้าจะท้าทายเฉินซีเลยสักนิด จึงได้แต่คำรามอย่างเย็นชาและจากไปอย่างเร่งรีบ
ไอ้สารเลว! หากเจ้าเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายในที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เจ้าล้างคอรอได้เลย! มารดามัน! เจ้าคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จแล้วหรือ? เจ้าคงเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!… จั่วชิวอินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวในใจไม่รู้จบ
…
“เฉินซี พันธมิตรดาราของเจ้าไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่จั่วชิวอินคิดหรอก” หลังจากจั่วชิวอินจากไป เซวียนหยวนอวิ่นก็เดินเข้ามากล่าวกับเฉินซีเบา ๆ “ตอนนี้ทุกคน ล้วนรู้ถึงการมีอยู่ของพันธมิตรดารา และศิษย์ใหม่จำนวนมากกำลังต่อสู้เพื่อให้ได้เข้าร่วม”
เฉินซีตกตะลึง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แล้วเหตุใดถึงมีสมาชิกแค่สิบกว่าคนเล่า?”
“นั่นเป็นเพราะกฎเกณฑ์” เซวียนหยวนอวิ่นยิ้ม “เงื่อนไขขององค์หญิงน้อย สูงมาก และไม่ใช่แค่ว่าใครก็จะสามารถเข้าร่วมได้ พวกเขาต้องผ่านการทดสอบมากมาย และได้รับการอนุมัติจากนาง”
“ทดสอบ?” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมพันธมิตรดารา จะต้องมีภูมิหลังชัดเจนและไม่ใช่สายลับที่ส่งมาจากกองกำลังอื่น จากนั้นทดสอบอุปนิสัย ตัดสินความสามารถ และดูความแข็งแกร่งเป็นอย่างสุดท้าย” เซวียนหยวนอวิ่นกล่าว มีแต่วิธีนี้ที่จะรับประกันความแข็งแกร่งต่อรากฐานของพันธมิตรดาราได้ สิ่งนี้ยังทำเพื่อประโยชน์ของการพัฒนาระยะยาวในอนาคต… ตัวอย่างเช่น พันธมิตรดาราได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสมาคมศิษย์ที่มีศักยภาพสูงสุด และไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในสำนักฝ่ายนอกเท่านั้น แต่ยังมีหน้ามีตาในสำนักฝ่ายในด้วย
“แต่ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้มีศิษย์ใหม่มากมายกำลังทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อเข้าร่วมกับพันธมิตรดารา ซึ่งดูท่าว่ามันจะก่อตัวมรสุมลูกใหญ่แล้ว ข้าเชื่อว่าพันธมิตรดาราจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าเข้าสู่สำนักฝ่ายใน มันจะกลายเป็นหนึ่งในร้อยกองกำลังชั้นนำของสำนักแน่”
เฉินซีไม่คิดว่าอาซิ่วจะพัฒนาพันธมิตรดาราได้ถึงระดับนี้ภายในหนึ่งปี นอกจากจะน่าตกใจแล้ว เขายังรู้สึกสะเทือนใจอีกด้วย
“สำหรับเรื่องนี้ ข้าคงต้องขอบคุณอาซิ่วจริง ๆ” เฉินซีกล่าวหลังจากสูดหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มทราบดีว่า แม้ตนจะจัดการมันด้วยตัวเอง แต่คงไม่อาจทำให้มันโดดเด่นได้เหมือนอย่างอาซิ่ว
“ว่าแต่ หนึ่งในร้อยกองกำลังชั้นนำคืออันใด?” เฉินซีเอ่ยถาม
“โอ้ พวกเขาเป็นสมาคมศิษย์ชั้นนำร้อยอันดับแรกในสำนัก เมื่อเจ้าเข้าสู่สำนักฝ่ายใน เจ้าจะสามารถเห็นศิลาที่เรียกว่าเทียบอันดับทองคำมไหศวรรย์ มันจะแสดงการจัดอันดับของสมาคมศิษย์ร้อยอันดับแรก”
เซวียนหยวนอวิ่นอธิบาย “นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างขวัญกำลังใจจากสำนักไปยังศิษย์ ถึงอย่างไร ศิษย์เกือบทุกคนที่สามารถจบการศึกษาจากสำนักได้ ก็จะกลายเป็นผู้ปกครองภายในภพเซียน ดังนั้นการบัญชาการ และควบคุมกองกำลัง ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการหล่อหลอมและส่งเสริมศิษย์ทั้งหลาย”
เฉินซีเข้าใจในทันที ครั้งนี้ เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าความหมายของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่มีต่อภพเซียนนั้นพิเศษเพียงใด เพราะมันคือแหล่งฟูมฟักบุคคลชั้นนำทั้งหมดในภพเซียน
…
เซวียนหยวนอวิ่นพูดคุยกับเฉินซีอยู่สักพัก ก่อนจะจากไป
เฉินซีหันไปให้ความสนใจกับชั้นคัมภีร์ และค่อย ๆ กวาดตาหาสิ่งที่ตนต้องการอย่างระมัดระวัง
“บันทึกลับแห่งถ้อยคำ เขียนโดยหัวหน้าอาจารย์เซียวอวิ๋นในยุคบรรพกาล อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับความลึกล้ำของระดับมวลสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นสำเนาที่ยอดเยี่ยม และมีเพียงเล่มเดียว”
“การอภิปรายและคำตอบ 36 ข้อของแก่นแท้ระดับมวลสวรรค์ เขียนโดยอาจารย์ใหญ่โจวจื่อหลีของสำนักศึกษาฝ่ายนอก มันบันทึกกลวิธี 36 ขั้นตอนเพื่อบรรลุสู่ระดับมวลสวรรค์”
“บันทึกผู้แสวงหาเต๋าสูงสุด…”
“ตำราสัจธรรมทั้งเจ็ดประการ…”
“ตำราภาพประกอบเทพสวรรค์…”
ตำราที่อยู่ในชั้นสามไม่ใช่เคล็ดวิชาบ่มเพาะ ทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตเซียนทองคำ บางคนอธิบาย และบางคนอภิปราย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้ และความคิดเห็นของคนรุ่นก่อนจำนวนนับไม่ถ้วน
เฉินซียังจำคำเตือนของชายชราชุดดำได้ ชายหนุ่มไม่ได้อ่านตำราเหล่านี้ เพียงแค่ดูชื่อและคำนำของตำราเหล่านี้ เท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกลังเลว่าจะเลือกเล่มไหนดี
มันช่วยไม่ได้ เพราะมีตำราเกี่ยวข้องกับการทะลวงสู่ระดับมวลสวรรค์มากเกินไป
“เฮ้ ข้าขอแนะนำให้เจ้าอ่าน ตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ที่เขียนโดยจักรพรรดิเต๋าเมื่อหลายปีก่อน และตำรามุมมองล้ำลึกเกี่ยวกับการทะลวงที่เขียนโดยเจ้าหนูอวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อน” ทันใดนั้น คนแคระสูงสี่ฉื่อ ภูติคัมภีร์นามเปิ่นจี่ ปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ยืนอยู่ข้างเขา พลางแนะนำด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนกำลังคาดหวังจะเห็น เฉินซีที่ไม่รู้ว่าควรเลือกคัมภีร์เล่มใด
“แน่นอน อย่าลืมดูต้นฉบับ ‘ย้อนรอยเต๋าสู่มวลสวรรค์’ ที่เจ้าสำนักทิ้งไว้ ข้าจำได้ว่าราชันเซียนดาราวีรบุรุษได้ทำความเข้าใจกับต้นฉบับดั้งเดิมนี้ เพื่อทะลวงสู่ขอบเขตเซียนทองคำในคราวเดียว”
เฉินซีหันกลับไปมองรอบ ๆ แต่พบว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเปิ่นจี่ ในใจพลันรู้สึกตกตะลึง และตระหนักได้ว่า การบ่มเพาะของภูติคัมภีร์ตนนี้ ย่อมไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแน่นอน เขาอาจเป็นผู้อาวุโสในสมัยบรรพกาลของฝ่ายสงวนคัมภีร์
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสำหรับคำชี้แนะ” เฉินซีประสานมือคารวะ
“ข้าไม่ได้ชี้แนะเจ้าโดยเปล่าประโยชน์” เปิ่นจี่ยิ้ม
เฉินซีย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำกล่าวนี้ ชายหนุ่มยื่นตราดาราม่วงให้เปิ่นจี่อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีได้ตราดาราม่วงกลับมา กลับพบว่าแต้มดาราถูกหักออกไปห้าหมื่นแต้ม! มุมปากกระตุกทันทีอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งรู้สึกประหลาดใจ และเจ็บปวดเล็กน้อย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนหนุ่มตรงหน้า ภูติคัมภีร์เปิ่นจี่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าหนู เจ้าได้รับประโยชน์มากมายจากข้า ทั้ง ๆ ข้าน่ะไม่ยอมชี้แนะผู้อื่นง่าย ๆ แม้ว่าพวกเขาจะจ่ายแต้มดาราจำนวนมากให้ข้าก็ตาม”
เฉินซีจึงได้พึมพำในใจ ‘ใครจะรู้ว่าเจ้ากำลังหลอกลวงข้าหรือไม่?’
เฉินซีสงสัยว่าเปิ่นจี่จะใช้ถ้อยคำเดียวกันนี้ เพื่อหลอกลวงศิษย์หลายคนในสำนัก ทว่าคนผู้นี้ดูเหมือนจะเอ็นดูตนเป็นพิเศษ และเป็นฝ่ายริเริ่มช่วยเหลือตน แต่อย่างที่กล่าวไป ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเมื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และไม่มีความกรุณาใดที่ปราศจากเหตุผล เฉินซีไม่เชื่อว่าโชคจะหล่นลงมาจากสวรรค์เช่นนี้
“เฮ้อ ดูเหมือนความหวังดีของข้าต้องสูญเปล่าอีกครั้ง เมื่อหลายปีก่อน อวิ๋นฝูเซิงก็สาปแช่งข้าว่าโกงแต้มดาราของเขา แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าก็จะเป็นเช่นกัน ทำไมการทำความดีจึงยากนัก”
เปิ่นจี่ส่ายศีรษะ พลางถอนหายใจราวกับเจ็บปวดเหลือแสน เขากล่าวเช่นนั้น แล้วหายตัวไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าวอะไร
“คนผู้นี้คงจะหลอกลวงผู้คนมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา…” เฉินซีรู้สึกมั่นใจมากขึ้นอีกขั้น ว่าเปิ่นจี่ผู้นี้ไม่สามารถไว้ใจได้ ชายหนุ่มรีบละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจ แล้วเริ่มค้นหาตำราที่เปิ่นจี่กล่าวถึง
เขาต้องการยืนยันว่าตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ ตำรามุมมองล้ำลึกเกี่ยวกับการทะลวงขอบเขต ต้นฉบับย้อนรอยเต๋าสู่มวลสวรรค์ ทั้งสามเล่มจะคุ้มค่ากับแต้มดาราห้าหมื่นแต้มหรือไม่
ไม่นาน เฉินซีก็พบตำราหนึ่งในนั้น มันคือตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ที่เขียนโดยจักรพรรดิเต๋า แต่ตำราเล่มนี้ไม่ใช่ผลงานของจักรพรรดิเต๋า มันเป็นเพียงความเห็นและการอธิบายโดยจักรพรรดิเต๋า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปรากฏตัวของตำราเล่มนี้ น่าจะเกิดขึ้นก่อนที่จักรพรรดิเต๋าในยุคบรรพกาลจะบรรลุเต๋า!
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก การแสดงความคิดเห็นและการอธิบาย เป็นการตีความและการรับรู้ของคนรุ่นหลัง
เมื่อเห็นชื่อผู้แต่งที่แท้จริง ดวงตาของเฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะหดลงเล็กน้อย หัวใจสั่นไหวเพราะชื่อนั้นคือฝูซี!
แท้จริงแล้วเป็นฝูซี! ราวกับก้อนหินถูกขว้างเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่ม ทำให้เกิดคลื่นนับร้อยนับพันขึ้น
“เหตุใดจึงมีตำราที่เขียนโดยผู้อาวุโสฝูซีอยู่ภายในสำนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสฝูซีจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับจักรพรรดิเต๋า?” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก แม้ภูติคัมภีร์เปิ่นจี่ตบแต้มดาราห้าหมื่นแต้มจากตนไป แต่มันก็คุ้มค่าที่จะได้อ่านตำราที่เขียนโดยผู้อาวุโสฝูซี
เพราะตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ มรดกทั้งหมดที่เขาบ่มเพาะนั้นมาจากเคหา และเคหาก็เป็นของฝูซี อาจกล่าวได้ว่า เฉินซีถือได้ว่าเป็นศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์แล้ว!
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ราวกับได้รับสมบัติล้ำค่าเมื่อได้เห็นตำราของฝูซี
ชายหนุ่มพลิกเปิดหน้าแรก…
ชู่ว!
แต้มดาราแปดพันแต้มถูกหักจากตราดาราม่วงทันที!
สิ่งนี้ทำให้จิตใจของเฉินซีกลับมาแจ่มชัด เขาหัวเราะอย่างขมขื่นในใจ “แน่นอนว่าถ้าข้าต้องการบางอย่างจากสำนัก ข้าก็ต้องจ่ายราคาสำหรับมัน”
แต่หลังจากนั้น เฉินซีไม่สามารถใส่ใจคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ได้อีก เพราะจิตใจและจิตวิญญาณถูกครอบงำโดยเนื้อหาในตำราอย่างสมบูรณ์
“เต๋าแห่งเซียนทองคำนั้นบอบบาง แต่ก็ชัดเจน มันก่อตัวขึ้นเป็นตราศักดิ์สิทธิ์ที่อธิบายถึงหลักการเบื้องหลังร่องรอยของสวรรค์”
“ในขอบเขตนี้ หัวใจและเต๋าจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เคล็ดวิชาและร่างกายก็เช่นเดียวกัน เพียงทำความเข้าใจในเต๋า เมื่อเหลือบมองเพียงแวบเดียว ก็จะรู้แจ้งถึงมันทั้งหมด…”
ทุกถ้อยคำและแม้แต่ทุกจังหวะของการเขียนมีความลึกซึ้งสูงสุด และถ้าผู้ใดพยายามไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าใจกลิ่นอายมากมายของเต๋าภายในทุก ๆ ตัวอักษร
หลังจากอ่านข้อความสั้น ๆ แม้จะมีความสามารถในการทำความเข้าใจที่ไม่ธรรมดา แต่ชายหนุ่มก็ยังต้องทำความเข้าใจ และแยกแยะอยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ อ่านข้อความถัดไป ไล่เรียงอ่านทำความเข้าใจไปทีละประโยค มิฉะนั้นเขาก็ไม่อาจอ่านต่อได้
ใช่ เฉินซีไม่ได้ดูความคิดเห็นและคำอธิบายของจักรพรรดิเต๋า แต่อ่านข้อความต้นฉบับโดยตรง ดังนั้น สิ่งที่เขาเข้าใจ ย่อมมาจากความรู้ของตนที่มีต่อมหาเต๋า
ชายหนุ่มทำเช่นนั้น เพื่อให้เข้าใจตำราเล่มนี้อย่างถ่องแท้ ก่อนที่จะค่อย ๆ ตรวจสอบสิ่งที่ตนเข้าใจกับความคิดเห็น และคำอธิบายของจักรพรรดิเต๋า
ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า ให้ใช้ทรัพยากรทั้งหมด ก่อนจะวาดแผนผังเพื่อเปรียบเทียบ