บทที่ 1208 ดินแดนอมตะสวรรค์มายา
บทที่ 1208 ดินแดนอมตะสวรรค์มายา
หอคัมภีร์เงียบสงัด
ศิษย์ทุกคนกำลังอ่านตำราคนละเล่มอย่างเงียบ ๆ และเฉินซีก็ไม่มีข้อยกเว้น
ปัจจุบันเขาติดอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง และขาดความเข้าใจขั้นสุดท้าย ก่อนจะค้นพบเส้นทางที่นำไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้
อย่างไรก็ตาม การทะลวงขอบเขตก็มีความเสี่ยงต้องแบกรับไว้เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใครก็ตามทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ แต่ถ้าเส้นทางที่เลือกมีข้อบกพร่อง เมื่อนั้น คนผู้นั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความยากลำบาก และแม้คนผู้นั้นจะสามารถรอดชีวิตได้ ก็ไม่อาจมุ่งหน้าต่อไปบนวิถีสู่ความเป็นเซียนได้อีก
ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นศิษย์ของมหาอำนาจที่หยิ่งยโส และทะนงถึงขีดสุด พวกเขาก็ยังต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่อต้องรับมือกับด่านนี้ ไม่มีใครกล้าประมาทแม้แต่น้อย
โดยปกติแล้ว เฉินซีจะไม่ประมาท แต่เขาจะไม่ยับยั้งดวงจิตแห่งเต๋าของตน เนื่องจากความกังวล
ขณะนี้ ชายหนุ่มไม่มีเวลาพิจารณาเรื่องการทะลวงขอบเขตเลยจริง ๆ เพราะทั้งจิตใจ และหัวใจถูกความลึกล้ำในตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ครองงำจนหมดสิ้น เขาหมกมุ่นอยู่กับมัน และไม่สามารถหลุดพ้นจากมันได้
เป็นเพราะมันเขียนโดยฝูซี และมีเนื้อหาที่เข้าใจง่ายยิ่ง หากแต่สิ่งนี้ไม่มีกลวิธีใด ๆ ที่จะทะลวงขอบเขตเขียนไว้ ทว่ามันกลับทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจต่อความรู้ที่สำคัญที่สุดของขอบเขตเซียนทองคำ
ความลึกซึ้งในนั้นไม่ได้ถือว่าเข้าใจยากหรือคลุมเครือ แต่มันกว้างใหญ่และลึกล้ำอย่างไร้ขอบเขต อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ในชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เฉินซีไม่ได้ตระหนักถึงกาลเวลาที่ผ่านเลย
หนึ่งเดือนต่อมา
ศิษย์บางคนออกไป ศิษย์คนใหม่เข้ามา มีเพียงเฉินซีนั่งขัดสมาธิโดยไม่ขยับเขยื้อน ชายหนุ่มเหมือนรูปปั้นดินเผาที่นิ่งสนิท
“เขาเข้าใจเต๋าหรือไม่”
“อาจจะ หรืออาจจะไม่”
“โอ้ ข้าคิดว่าเขาอาจจะรับภารกิจในตราดารม่วง เขาทำภารกิจหลายอย่างในเต๋าแห่งยันต์อักขระสำเร็จเมื่อเร็ว ๆ นี้”
“น่าแปลกนัก หรือกำลังทำภารกิจที่หอคัมภีร์? เฉินซีผู้นี้มักไม่ทำสิ่งต่าง ๆ เฉกเช่นคนปกติทั่วไป”
“บางทีเขาอาจกดดันตนเองมากเกินไป และต้องการเข้าร่วมในการสอบสำนักฝ่ายในที่กำลังจะเริ่มขึ้น แต่ก็ไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้รับแต้มดารา จึงต้องทำเช่นนี้”
“เฮ้อ ถ้าเฉินซีเป็นศิษย์จากกองกำลังชั้นนำ เขาคงแซงหน้าเจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ไปนานแล้ว”
“ใช่แล้ว เหล่าศิษย์ของกองกำลังชั้นนำไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหาแต้มดารา และสามารถมุ่งความสนใจไปที่การบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ แล้วเฉินซีจะเปรียบเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร? จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าจี้เซวียนปิง และจ้าวเมิ่งหลีได้มุ่งหน้าไปยังศิลาจารึกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขา ทั้งคู่ได้ไต่อันดับขึ้นสู่ห้าสิบอันดับแรกแล้ว”
“ใช่แล้ว ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน จงหลีสวิน เจี้ยงฉางไฮ่ อ๋าวอู๋หมิงและคนอื่น ๆ กำลังขัดเกลาตนเองอยู่ที่แดนเซียนสวรรค์มายาเช่นกัน และจะทดสอบตัวเองที่ศิลาจารึกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ทันทีที่เสร็จสิ้น”
“เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ก่อนการสอบของสำนักฝ่ายในจะเริ่มขึ้น แต่เฉินซียังไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ ช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก!”
“หนึ่งปีที่แล้ว เขายังเป็นเพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ต่อให้ตั้งใจพุ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำในอีกหนึ่งปีหลังจากนี้ แม้แต่ข้ารู้สึกว่าไม่มีความหวังเลย”
“เราได้แต่รอดูเท่านั้น”
เมื่อใดที่เห็นเฉินซี ทุกคนในศาลาจะสนทนากันเกี่ยวกับเขา และเนื้อหาของการสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการสอบของฝ่ายในที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้
พร้อมกับการสอบของสำนักฝ่ายในที่จัดขึ้นทุก ๆ สิบปี บรรยากาศในสำนักฝ่ายนอกก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น มีศิษย์ที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาแสวงเต๋าแทบจะทุกขณะ เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของการจัดอันดับในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
นอกจากนี้ยังมีศิษย์จำนวนมากเร่งการบ่มเพาะของตน และขัดเกลาความแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาแลกเปลี่ยนแต้มดาราเป็นสมบัติล้ำค่า หรือโอสถทิพย์ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังต่อสู้… อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ เพื่อเตรียมความพร้อมจะเข้าร่วมในการสอบของสำนักฝ่ายใน
เพราะเป้าหมายเดียวที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จเพื่อเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน คือการเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์!
น่าเสียดาย จนถึงตอนนี้ชื่อของเฉินซียังไม่ปรากฏในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ นับประสาอะไรกับการเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับแรก เหตุผลนั้นธรรมดายิ่ง เป็นเพราะเขายังไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้
สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์มากมายจากสำนักฝ่ายนอก บางคนกังวล บางคนยังคงเฉยเมย และบางคนแน่ใจว่าเฉินซีจะไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบของสำนักฝ่ายในในครั้งนี้ได้
คนผู้นี้เพิ่งอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงแทบไม่มีความหวังจะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำก่อนการสอบของสำนักฝ่ายใน ที่กำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งปีข้างหน้าเลย
…
ในเดือนที่สองหลังจากเข้าไปยังชั้นที่สามของหอคัมภีร์ ในที่สุดเฉินซีที่ดูเหมือนกับรูปปั้นก็ลืมตาขึ้น ดวงตาดูกว้างใหญ่และลุ่มลึก ขณะจ้องมองความว่างเปล่า ราวกับรู้แจ้ง
ชายหนุ่มวางตำราทดสอบแก่นแท้แห่งมวลสวรรค์ และค้นหาตำรามุมมองล้ำลึกเกี่ยวกับการทะลวงขอบเขต ซึ่งเขียนโดยอวิ๋นฝูเซิง และตำราย้อนรอยเต๋าสู่มวลสวรรค์ที่เจ้าสำนักทิ้งไว้เบื้องหลัง
…
ในเดือนที่สาม เฉินซีเสร็จสิ้นในการทำความเข้าใจต่อตำราทั้งสองเล่ม ชายหนุ่มไตร่ตรองอย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลาสามวันสามคืน ก่อนจะเริ่มอ่านตำราอื่น ๆ บนชั้นสาม
“บันทึกผู้แสวงหาเต๋าสูงสุด”
“ตำราสัจธรรมทั้งเจ็ดประการ”
“ตำราภาพประกอบเทพสวรรค์”
การอ่านในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการทำความเข้าใจในครั้งก่อน ความเร็วในการอ่านของเฉินซีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความรวดเร็วอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มอ่านตำราจบทุก ๆ หนึ่งก้านธูป
ฉากนี้ทำให้ศิษย์หลายคนประหลาดใจ
เป็นที่ทราบกันทั่วว่า บรรดาตำราทั้งหมดที่ถูกรวบรวมเก็บรักษาเอาไว้ภายในหอคัมภีร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งล้ำค่าบนโลก และมีความล้ำลึกไร้ขอบเขต ศิษย์ธรรมดาทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน หรือสามถึงห้าปี ในการทำความเข้าใจตำราเล่มเดียวอย่างถ่องแท้
แม้แต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมีความสามารถในการทำความเข้าใจไม่ธรรมดา ก็ไม่อาจเข้าใจตำราได้อย่างถ่องแท้ในทุก ๆ หนึ่งก้านธูป
ด้วยเหตุนี้ ท่าทางของเฉินซีจึงยิ่งโดดเด่น และทำให้ผู้อื่นงงงวงอย่างยิ่ง
“สหายเฉินซีคนนี้ คงไม่ถูกปีศาจครอบงำใช่หรือไม่?”
“เฮ้อ เขาคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน แต่ยังไม่สามารถทะลวงขอบเขตเซียนทองคำได้ ทั้งที่ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว บางทีดวงจิตแห่งเต๋าของเขาอาจเสียสมดุล”
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะเป็นอันตรายต่อการบ่มเพาะอย่างมาก เราควรเตือนเขาหรือไม่”
“ห๊ะ เจ้าน่ะหรือ? เขาเป็นศิษย์ผู้ได้อันดับหนึ่ง และมีฝีมือที่หาตัวจับยากในขอบเขตเซียนลึกลับ เจ้ามีคุณสมบัติอันใดไปตักเตือนเขา?”
เฉินซียังคงไม่แยแสต่อการสนทนาเหล่านี้ และยังคงอ่านตำราหลายเล่มที่เขียนโดยผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตด้วยความเร็วคงที่
การกระทำเหล่านี้ดำเนินต่อไปจนเข้าเดือนที่สี่
ในวันนี้ แม้แต่ชายชราชุดดำที่ดูแลหอคัมภีร์ก็ยังตื่นตระหนก และเข้ามาที่ชั้นสามอย่างเร่งรีบ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นเฉินซีกำลังพลิกตำราอย่างรวดเร็ว
“จิตใจและความคิดไม่หยุดนิ่ง พลังชีวิตโคจรอย่างไม่มีสิ้นสุด เขากำลังทำความเข้าใจต่อเต๋า หรือถูกครอบงำโดยปีศาจภายในใจ?” ในฐานะอาจารย์ของฝ่ายสงวนคัมภีร์ ชายชราเคยเห็นศิษย์หลายคนทำความเข้าใจต่อเต๋าในขณะที่ดูแลหอคัมภีร์ แต่ไม่เคยเห็นใครมีสภาพเช่นนี้มาก่อน
แต่ถ้าบอกว่าเฉินซีถูกปีศาจในใจครอบงำ มันก็มีหลายส่วนที่ไม่ใช่
เพราะเหตุนี้ ทำให้ชายชราขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น และเมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของเฉินซี เขาจึงตัดสินใจปลุกเด็กคนนี้ให้ตื่นขึ้น และสอบถามอย่างเป็นกังวล
ทว่าเมื่อเข้าใกล้เฉินซี ชายชรากลับถูกภูติคัมภีร์เปิ่นจี่หยุดไว้ทันใด “หรือตัวเจ้าจะลืมอวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว”
มันเป็นเพียงประโยคเดียว แต่มันทำให้ชายชราหยุดทันที ในขณะที่เผยสีหน้าตกใจ จากนั้นฉากของอวิ๋นฝูเซิงที่อ่านตำราเมื่อหลายปีก่อนก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด
เช่นเดียวกับเฉินซี ตำราถูกอ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ในสถานะของการรู้แจ้งถึงเต๋าหรือถูกครอบงำโดยปีศาจภายในใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มผู้นี้กำลังทำความเข้าใจ และพยายามเข้าใจต่อความลึกล้ำของตำราอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำความเข้าใจและการอนุมานของพวกเขาได้บรรลุถึงระดับที่เหลือเชื่อ อีกทั้งยังน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ดังนั้น สภาวะที่พวกเขาเป็นอยู่ จึงดูแตกต่างจากศิษย์คนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
“อวิ๋นฝูเซิง? หากอวิ๋นฝูเซิงอีกคนสามารถปรากฏตัวในสำนักได้ ตระกูลจั่วชิวย่อมกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน…” ชายชราครุ่นคิด ทำให้ความเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะส่ายหน้า แล้วจากไป
“ความสามารถในการหยั่งรู้เช่นนี้คืออันใดกัน? เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เฉินซีจะกลายเป็นอวิ๋นฝูเซิงคนที่สอง เพราะแม้แต่อวิ๋นฝูเซิงก็ไม่เป็นเช่นนั้น…” เปิ่นจี่ลอบถอนหายใจ และจ้องมองเฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนจะหายตัวไปในอากาศ
…
ในเดือนที่ห้านับตั้งแต่เข้ามาในหอคัมภีร์ ในที่สุดเฉินซีก็หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ และยืนอยู่ตรงจุดนั้น ในขณะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ทุกคนที่ให้ความสนใจกับการกระทำของเฉินซี อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถทนได้ หากเฉินซียังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป
คนเหล่านี้รวมถึงเซวียนหยวนอวิ่น
เขามาหอคัมภีร์บ่อยครั้งในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา ด้านหนึ่งก็เพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหาของตำรา และอีกด้านหนึ่ง เขามักจะให้ความสนใจกับอาการของเฉินซี เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
เหตุผลที่ทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคำแนะนำของอาซิ่ว
“เฉินซี เจ้าจะไปไหน?” เมื่อสังเกตเห็นว่า สหายตนตั้งใจจะออกจากหอคัมภีร์ เซวียนหยวนอวิ่นก็หายจากอาการตกใจทันที และรีบเอ่ยถาม
“ดินแดนเซียนสวรรค์มายาของฝ่ายบำเพ็ญเต๋า” สีหน้าของเฉินซีนั้นสงบยิ่ง ที่หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยของความงุนงง เนื่องจากดูเหมือนยังไม่ฟื้นจากสภาวะความเข้าใจประหลาดที่เป็นมาก่อนอย่างเต็มที่
“เจ้าพบเส้นทางที่จะทะลวงแล้วหรือ?” เซวียนหยวนอวิ่นรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาจึงมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจและชื่นชม
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป มันก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงเช่นกัน พวกเขาตกใจอย่างมาก และจ้องมองเฉินซีเป็นตาเดียว
เฉินซีไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ และพยักหน้าอย่างสบาย ๆ ก่อนจะจากไป ในขณะนี้ ความเข้าใจต่าง ๆ ได้พลุ่งพล่านในใจ ดังนั้นชายหนุ่มจึงคว้าโอกาสนี้ เพื่อทดสอบพวกมันที่แดนเซียนสวรรค์มายาเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์
อีกทั้งในเวลานั้น จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะทะลวงขอบเขตได้!
เมื่อเห็นเฉินซีพยักหน้า ทุกคนรวมถึงเซวียนหยวนอวิ่นก็ตกใจ “เขาเข้าใจเส้นทางทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ หลังจากอยู่ในหอคัมภีร์เพียงห้าเดือน?”
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าจินตนาการถึง ท้ายที่สุดแล้ว การบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำนั้น เป็นสิ่งยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นทุกคนได้แต่พึ่งพาวาสนาและความสามารถในการเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีพรสวรรค์โดยกำเนิดพิเศษเพียงใด หากคนผู้นั้นไร้วาสนาและไร้ความสามารถในการเข้าใจ ก็เป็นไม่ได้ที่คนผู้นั้นจะก้าวเท้าผ่านธรณีประตูสู่ขอบเขตเซียนทองคำ
แต่เฉินซีกลับใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งปี ในการค้นหาเส้นทางสู่ขอบเขตเซียนทองคำ หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะทำให้เกิดความแตกตื่นโกลาหลครั้งใหญ่ในสำนักอย่างแน่นอน!
“เดี๋ยวก่อน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เซวียนหยวนอวิ่นรีบไล่ตามไป เมื่อเห็นร่างของเฉินซีหายไปจากชั้นสาม เขาไม่เต็มใจจะพลาดช่วงเวลาที่เฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการบรรลุของตน หากสามารถสังเกตการบรรลุของเฉินซีได้
ส่วนความจริงอีกประการก็คือ เขาต้องการสัมผัสกับแดนเซียนสวรรค์มายามานานแล้ว !