บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1217 การตอบโต้ที่เหนือกว่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1217 การตอบโต้ที่เหนือกว่า

บทที่ 1217 การตอบโต้ที่เหนือกว่า

ฟิ้ว!

พื้นที่โดยรอบราวกับภาพตัด ขณะที่ร่างของเฉินซีเคลื่อนที่ผ่านมัน สิ่งนี้คือการเคลื่อนย้ายมิติ ซึ่งเป็นความสามารถของขอบเขตเซียนทองคำ

การที่เฉินซีเป็นผู้ถือครองตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติ ส่งผลให้พื้นที่มิติในชั้นต่าง ๆ รอบตัวกลายเป็นเหมือนวัตถุซึ่งสามารถจับต้องได้ ชายหนุ่มจึงสามารถเคลื่อนไหวภายในนั้นได้อย่างง่ายดายราวกับกระแทกหมัดลงบนผิวน้ำ

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงสง่าก็หยุดอยู่ที่ลานด้านนอก

ในตอนนี้ เฉินซีไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามราวสวรรค์เหล่านั้น สายตาเหี้ยมเกรียมประหนึ่งเปลวไฟแผดผลาญ ในพริบตา แสงแปลบปลาบก็สว่างออกมาจากกายดุจระเบิดไฟ

หลิวเจ๋อเฟิง! หากเจ้าคิดว่าเหตุการณ์ที่ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าในวันนั้นข้าทำให้เจ้าเสียหน้าแล้ว คราวนี้ข้าจะทำให้รู้สึกยิ่งกว่าอัปยศเสียอีก!

ณ เบื้องหน้าโบราณสถานฝ่ายนอก

ตอนนั้นเอง คนจำนวนมากกำลังรวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสกว้างใหญ่ นิ้วของพวกเขาชี้ไปยังอาคารโบราณหลังนั้นเพียงจุดเดียว

“ศิษย์พี่หลิวเจ๋อเฟิงดูดุดันนัก คงตั้งใจจะล้างอายให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นแน่”

“ถือเสียว่ามีละครฉากใหญ่ให้ชมก็แล้วกัน เฉินซีน่ะอวดดีเกินไปไม่รู้จักถ่อมตน เพราะแบบนี้เขาก็เลยทำให้ศิษย์อาวุโสทั้งหลายไม่พอใจมานานแล้ว”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่เฉินซีเข้ามาในสำนักศึกษาของเรา เขาก็เอาแต่ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่รู้จักลู่ตามลมไม่นานก็ต้องหักโค่นลงสักวัน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นศิษย์ใหม่ที่ไร้กองกำลังใดหนุนหลัง การก่อตั้งพันธมิตรดาราขึ้นมานี่มันไม่ดูหยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ? บางทีการสั่งสอนให้ตระหนักถึงความโง่งมของตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไร”

“เหอะ! คนที่ไม่มีกำลังหนุนหลังไม่มีสิทธิสร้างพันธมิตรอย่างนั้นหรือ? ศิษย์ใหม่จะต้องยอมอดทนอดกลั้น และอ่อนน้อมยอมคนอย่างนั้นหรือ? นี่มันตรรกะบ้าอันใดกัน? ในสายตาข้า พวกเจ้าก็แค่ริษยาเฉินซีเท่านั้นแหละ!”

เสียงสนทนาดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แม้ว่าพวกเขาจะถกเถียงกันอย่างดุเดือด ทว่าสายตาหาได้ละจากอาคารหลังนั้น ราวกับกลัวว่าตนจะพลาดรายละเอียดสำคัญบางอย่างไป

ขณะเดียวกันนั้นเอง ภายในห้องโถงใหญ่ก็เต็มไปด้วยคลื่นเสียงสนทนาอันอื้ออึงไม่ต่างกัน พวกมันพวยพุ่งไปด้วยแรงโทสะอันยากระงับ

พวกเขาเป็นสมาชิกของพันธมิตรดาราจำนวนสิบกว่าคน ตอนนี้กำลังมองไปทางด้านหน้าห้องโถงด้วยความโกรธเกรี้ยว เนื่องจากมีคนจำนวนมากกำลังยืนยิ้มหยันให้พวกตน

คนเหล่านั้นยืนกอดอกด้วยสีหน้าไร้ปรานี ดูเหมือนพวกเขากำลังใช้สายตาเหยียบย่ำอีกฝ่ายให้จมดิน ร่างกายเต็มไปด้วยรัศมีน่าเกรงขามอย่างน่าเหลือเชื่อ เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำ

ผู้นำของกลุ่มดังกล่าวคือ หลิวเจ๋อเฟิง ชายผู้ครองอันดับแปดบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์

เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางที่กลุ่มพันธมิตรดาราจะต้านทานกลุ่มคนเหล่านี้ได้

เหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงยืนเคียงกันที่ด้านหน้าของกลุ่มพันธมิตรดารา ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง ด้วยคนเหล่านั้นปิดกั้นทางเข้าออกมาตั้งแต่เช้าตรู่

จริงอยู่ที่พวกเขาสามารถฝึกฝนภายในห้องโถงนี้ต่อไปได้ ทว่าความรู้สึกของการถูกยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่ใช่สิ่งที่จะอดทนอดกลั้นไปได้ตลอด ในตอนนี้ พวกเขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นผู้ร้ายที่ถูกคุมขังอย่างไรอย่างนั้น

“ไอ้พวกนี้ชักจะเกินไปแล้วนะ! หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงน้อยอาซิ่วออกไปบ่มเพาะนอกสำนักศึกษากับอาจารย์ของนาง พวกเขาก็คงไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องเช่นนี้!” เหลียงเริ่นกัดฟันพยายามระงับอารมณ์

ที่นี่คือสถานที่รวมตัวของพันธมิตรดารา อาซิ่วให้พวกเขาเช่าในราคาแต้มดาราสามแสนดวงต่อปี มันถูกจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อให้สมาชิกของพันธมิตรดาราพบปะกัน ทว่าตอนนี้ หลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ กลับมาสร้างปัญหาก่อกวนถึงถิ่น แล้วอย่างนี้จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร

ไม่ใช่เพียงเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงเท่านั้น แต่สมาชิกคนอื่น ๆ ของพันธมิตรดาราต่างก็เดือดดาลไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นในบรรดาศิษย์ใหม่ จริงอยู่ที่ไม่อาจเทียบกับเฉินซี เจิ่นลู่ หรือพวกตัวประหลาดอื่น ๆ ได้ ทว่าก็จัดเป็นศิษย์ใหม่อันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน การกระทำของหลิวเจ๋อเฟิงจึงถือเป็นการหยามหน้าไม่น้อย

ถึงกระนั้น แม้ว่าหลิวเจ๋อเฟิงและพวกจะทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างมาก ทว่าจนถึงตอนนี้กลับไม่มีใครสักคนที่ยอมจำนน ด้วยรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น ไอ้สารเลวเหล่านี้ก็คงมิวายโพนทะนาว่าพันธมิตรดาราเกรงกลัวพวกมันอย่างเหลือล้น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เกียรติภูมิถือเป็นสิ่งที่จำต้องสงวนรักษายิ่ง

ความกดดันที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ทำให้พวกเขาเริ่มรวมกลุ่มกันอย่างแน่นหนา หัวใจประสานเป็นหนึ่งเดียวแข็งแกร่งไม่ต่างจากกำแพงสูงชัน พวกเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนเหล่านี้จะบีบคั้นกันจนถึงเมื่อไร

“อีกสามเค่อก็จะถึงเวลาแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่ส่งตัวแทนออกมาประลอง ก็อย่าได้ถือโทษหากพวกข้าจะโจมตีพวกเจ้าทุกคน!” ตอนนั้นเอง ชายรูปร่างอ้วนท้วนที่ยืนอยู่ข้างกายหลิวเจ๋อเฟิงก็เย้ยหยันผ่านเสียงหัวเราะ

“โอหัง!” เสียงเกรี้ยวกราดของสมาชิกพันธมิตรดาราดังขึ้น

“โอ้ เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเค่อ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าจะได้เห็นว่าข้า หวงเทียนหู่จะทำตามที่ได้พูดไว้หรือไม่” ชายเจ้าเนื้อผู้นั้นหาได้แยแสต่อท่าทางของสมาชิกพันธมิตรดารา เขายังคงยิ้มไปพูดไปเสียงเนิบช้า

“พี่เหลียงเริ่น มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าทำให้ทุกคนต้องผิดหวังแล้ว หากไม่ใช่เพราะข้าไม่รู้จักอดทนอดกลั้น และคล้อยตามไปกับคำยั่วยุของคนเหล่านั้น ทุกคนก็คงไม่ต้องมาติดร่างแหไปด้วยเช่นนี้” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำพูดขึ้นด้วยความละอายใจ เขาก้าวไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจังก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจะรับผลที่ตามมาเอง!”

“เซวียหุน! ช้าก่อน! เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นใครกัน?” เหลียงเริ่นตวาดเสียงเข้มจริงจังขณะที่ลากเซวียหุนกลับมาที่เดิม “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าทำพลาดแล้วครั้งหนึ่ง ก็อย่าได้คิดจะทำพลาดเป็นครั้งที่สอง! คราวนี้หากเจ้าแพ้ก็ไม่มีใครจะสามารถแบกรับผลที่ตามมาได้อีกแล้ว!”

“เซวียหุน ฟังเหลียงเริ่นและอยู่นิ่ง ๆ ซะ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เรามีเพียงแต่ต้องยืนหยัดเคียงข้างกันเท่านั้น ตอนนี้เรื่องราวมันไปไกลกว่าการท้าทายแล้ว อย่างไรเสียเราเป็นสหายร่วมพันธมิตรดารา การต้องแบกรับปัญหาร่วมกันก็ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตอนนี้เจ้าจะต้องไม่อ่อนไหวไปตามแรงกระตุ้นใด ๆ” กู่เยวหมิงเตือนสติ

เซวียหุนชะงัก ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ แต่ก็ยอมรับฟังกู่เยวหมิงและเหลียงเริ่น เขากลับไปยืนตรงจุดเดิมอย่างเงียบ ๆ ทั้งใจคล้ายถูกกรีดแทง หากในวันนี้การต่อสู้เกิดขึ้นจริง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ตนก็จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของพันธมิตรดาราต้องเสื่อมเสียเป็นอันขาด!

“ให้ตายเถิด ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะจงรักภักดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดาย ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ก็รอดูพันธมิตรดาราของพวกเจ้าล่มสลายไปได้เลย เว้นแต่พวกเจ้าจะยอมเข้าร่วมสมาคมจั่วชิวของข้าแต่โดยดี ฮ่า ๆ! แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลไป ความภักดีของพวกเจ้า ข้าชื่นชมด้วยใจจริง ดังนั้นแล้ว หากพวกเจ้าเข้าสมาคมจั่วชิวละก็ ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นอย่างดี” หวงเทียนหู่ระเบิดเสียงหัวเราะ ใบหน้าอ้วนท้วนเต็มไปด้วยความพึงใจ

“ชักจะมากเกินไปแล้ว!”

“พี่เหลียงเริ่น พวกเราพร้อมจะสู้ด้วยทุกสิ่งที่เรามี!”

“ไอ้บัดซบสมาคมจั่วชิว พวกเจ้าทำได้ก็แค่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น หากข้าได้เข้าไปเป็นศิษย์ฝ่ายใน ข้าจะค่อย ๆ จัดการกับสมาชิกจั่วชิวของพวกเจ้าให้หมดทุกคน ข้าน่ะ…จะให้พวกเจ้าได้ชดใช้ต่อความอัปยศนี้เป็นสิบเท่า!”

สมาชิกของพันธมิตรดาราพูดขึ้นด้วยความโกรธ ดวงตาของพวกเขาขึงโตจ้องเขม็ง เรียกได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยากที่จะควบคุมต่อไปได้

หลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหยียดหยันเมื่อเห็นภาพนี้ พวกเขามองสถานการณ์ตรงหน้าราวกับรอคอยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาโดยตลอด แน่นอน พวกเขาตั้งตารอให้อีกฝ่ายสูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้ามาโจมตี

“ทุกคน…” เหลียงเริ่นพึมพำเสียงเบา พลางพยายามจะหยุดสถานการณ์คุกรุ่น แต่แล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกห้องโถง ที่ด้านนอกนั้นมีแสงวูบวาบพาดผ่านก่อนที่ร่างอันคุ้นเคยจะปรากฏขึ้น และพุ่งตรงมาในห้องโถงด้วยความรวดเร็ว

“นั่นเฉินซี! เฉินซีมาแล้ว!” เหลียงเริ่นตะโกนด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เฉินซีมาแล้วหรือ?” ตอนนั้นเอง สายตาของผู้คนที่ไม่ว่าจะอยู่ในห้องโถงหรืออยู่นอกห้องโถง ก็ล้วนจดจ้องไปยังร่าง ๆ หนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศบางเบา

“เฉินซี!” หลิวเจ๋อเฟิงและพวกหันกลับมามองร่างนั้นเช่นกัน หวงเทียนหู่แค่นหัวเราะเสียงเย็น “ในที่สุดเจ้าเด็กนั่นก็ยอมปรากฏตัวสักที!”

ในด้านหนึ่ง หลิวเจ๋อเฟิงที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เงยหน้าขึ้นด้วยความรวดเร็ว แววตาที่สบมองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอันน่าสยดสยอง

ไอ้บัดซบพวกนี้อยู่ที่นี่จริง ๆ!

เฉินซีสาวเท้าเข้าไปในห้องโถง ครั้นเมื่อเห็นว่าเหลียงเริ่น กู่เยวหมิง และคนอื่น ๆ ถูกกลุ่มคนที่นำโดยหลิวเจ๋อเฟิงปิดกั้นทางเข้าออกห้องโถง ดวงตาพลันเดือดดาลไปด้วยโทสะ

“เฉินซี คือ…” เหลียงเริ่นรุดหน้าเพื่อจะอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ แก่สหายตน

เฉินซีโบกมือไปมาเพื่อปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ “ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น คิด ๆ ดู นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เข้ามาในเขตแดนของพันธมิตรดารา ทว่าสิ่งที่ข้าอยากรู้มากกว่านั้นก็คือไอ้พวกนี้มันเป็นใคร? เหตุใดจึงเข้ามาในเขตแดนของเราได้?”

ขณะที่เฉินซีพูด สายตาก็จับจ้องไปยังหลิวเจ๋อเฟิง และคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา

“เหอะ! พวกเราเป็นใครอย่างนั้นหรือ? พวกข้าน่ะเป็นสมาชิกของสมาคมจั่วชิว ที่เรามาในครั้งนี้ก็เพื่อขอท้าประลองกับพันธมิตรดาราของเจ้า!” หวงเทียนหู่ตะโกนขึ้นเสียงเรียบ

“ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าพวกเจ้าก็ไม่ใช่สมาชิกของพันธมิตรดาราสินะ?” เฉินซียังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์

“หึ! พันธมิตรดาราอะไรนั่น จะต้องพินาศย่อยยับหลังจากนี้!” หวงเทียนหู่ระเบิดเสียงหัวเราะ

“ตอนนี้ข้าจะยังให้โอกาสพวกเจ้า รีบไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นแม้คลานออกไปก็คงยากเย็น” เฉินซียังคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน หากสุ้มเสียงยังคงยืนกรานหนักแน่น

สมาชิกของพันธมิตรดารารู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ในทางกลับกัน ดวงหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงและพวกกลับเขียวคล้ำด้วยความโกรธ พวกเขามองไปยังเฉินซีอย่างไม่เป็นมิตรนัก

“อยากให้พวกข้ายอมรามืออย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆ เด็กน้อย เจ้าช่างสามหาวเกินไปแล้ว นี่คิดว่าตัวเองบรรลุขอบเขตเซียนทองคำแล้ว จะสามารถพูดจากับศิษย์พี่อย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ…”

ปัง!

พูดยังไม่ทันจบประโยค เฉินซีก็สะบัดฝ่ามือ บังเกิดเสียงหวีดหวิว แรงที่ออกมาจากการเคลื่อนไหวนี้รุนแรงประหนึ่งพายุโหม พุ่งเข้าหาหวงเทียนหู่ทันที

การโจมตีครั้งนี้อัดแน่นไปด้วยกฎแห่งเซียนทองคำที่เอ่อล้น คล้ายกับพลังของมันสามารถห่อหุ้มสรรพสิ่งและสยบโลกาไว้ใต้ฝ่ามือ ชวนให้รู้สึกได้ว่าเป็นการโจมตีที่ไม่มีทางหลบหลีกไปได้เลย แม้แต่ความเร็วของมันก็ยังรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

ในชั่วพริบตา รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนใบหน้าหวงเทียนหู่พลันแข็งค้าง ใบหน้าด้านขวาตั้งแต่โหนกแก้มไปจนถึงสันจมูกยุบลงไปทันตา เพียงครู่เดียว ริมฝีปากของเขาก็เผยอออก ฟันซี่หนึ่งหลุดกระเด็นออกมา

ร่างกายอ้วนท้วนไม่อาจทนต่อความแข็งแกร่งของฝ่ามือนี้ได้ ร่างใหญ่โตกระเด็นออกไป ก่อนจะกลิ้งเกลือกไปตามเส้นทางของห้องโถงราวกับลูกทรงกลมขนาดยักษ์

เสียงโอดครวญประหนึ่งสัตว์ถูกเชือดดังระงม ทำเอาผู้คนที่อยู่นอกห้องโถงตกใจจนต้องหลีกทางด้วยความตระหนก

เฉินซีเช็ดมือกับเสื้อก่อนจะพูดเสียงเรียบเฉย “ข้าขอให้เจ้าหุบปาก ทว่าเจ้าก็ยังปากมากไม่หยุด ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงต้องส่งเจ้าออกไปด้วยตัวเองเท่านั้น”

ชายหนุ่มพูดพลางมองหลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ อีกครั้ง “เอาล่ะ เลือกมาได้เลยว่าจะจากไปเอง หรือจะให้ข้าเป็นคนเชิญพวกเจ้าออกไป!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท