บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1229 กวาดล้างให้เกลี้ยง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1229 กวาดล้างให้เกลี้ยง

บทที่ 1229 กวาดล้างให้เกลี้ยง

ฟิ้ว!

ภายใต้ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไร้สิ้นสุด ร่างของเฉินซีกะพริบพร่างเพียงแวบหนึ่งก่อนจะเลือนหาย ในช่วงเวลาดังกล่าว เขากำลังใช้ปีกนภาดารกะควบคู่ไปกับการเคลื่อนย้ายมิติ

สิ่งนี้เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ แค่การกระพือปีกเพียงครั้งเดียวก็สามารถฉุดกระชากดวงดาวนับพัน ส่งผลให้รอบ ๆ ของมันถูกโอบล้อมด้วยแสงดาวส่องประกาย ภาพของเฉินซีที่กำลังใช้ปีกนภาดารกะท่ามกลางทะเลดาวอันไร้ขอบเขตนี้ช่างคล้ายกับมัจฉาว่ายวนในสายธาร

หากมองจากระยะไกล จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นคล้ายกับแสงดาวที่ส่องประกายระยับพริบพราวในอวกาศ ทุก ๆ ครั้งที่มันกะพริบ ชายหนุ่มจะอยู่ห่างจากจุดเดิมออกไปประมาณดาวสิบดวง เรียกได้ว่าเป็นความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเขาเคลื่อนที่บนเส้นทางระหว่างดวงดาว ดังนั้นปีกนภาดารกะจึงเปรียบเสมือนเครื่องป้องกันที่ช่วยอำพรางสายตาจากการพบเห็น

ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าปีกนภาดารกะจะมีความสามารถเช่นนี้ มันดูดซับพลังดวงดาวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้ด้วย… ขณะที่เฉินซีกำลังเดินทาง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าจุดลมปราณแต่ละจุดภายในร่างกายกำลังดูดซับพลังดวงดาวผ่านปีกนภาดารกะ ก่อนจะถูกแปลงสภาพให้เป็นปราณเซียนบริสุทธิ์อันทรงพลังยิ่ง

ภายใต้การส่งเสริมจากพลังดวงดาว ไม่เพียงปราณเซียนที่เพิ่งใช้ไปจนหมดจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มปราณเซียน และขัดเกลาการบ่มเพาะไปในตัว!

วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพเป็นเคล็ดวิชาที่ดึงเอาพลังดวงดาวมากระตุ้นร่างกาย ในขณะที่ปีกนภาดารกะนั้นได้รับผลในทางส่งเสริมพลัง บางทีอาจจะเป็นเรื่องปกติที่มันสามารถครอบครองความลึกล้ำเช่นนี้ได้ เพียงแต่ข้าไม่เคยสังเกตมาก่อนก็เท่านั้น… เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่สั้น ๆ เพื่อพินิจถึงเหตุผลเบื้องหลัง ผ่านไประยะหนึ่ง วิญญาณก็ได้รับการฟื้นฟู การทดสอบฝ่ายในครั้งนี้กินระยะเวลาสามเดือน หากเขาสามารถดูดซับพลังดวงดาวได้ทุกวัน บางที่อาจสามารถบรรลุสู่ระดับกายาสวรรค์ ซึ่งเป็นขั้นกลางของขอบเขตเซียนทองคำได้…

ตึง!

ทันใดนั้น เกลียวคลื่นอันรุนแรงพลันก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าดาดาษดาราซึ่งอยู่ห่างออกไป มันเป็นเหมือนฟ้าคะนองที่พาดผ่าน และถักเกลียวเป็นระลอกคลื่น

เฉินซีหยุดการเคลื่อนไหวและความคิดลง ดวงตาที่สามเหนือหว่างคิ้วกวาดมองไปยังที่แห่งนั้น ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีร่างของคนอย่างน้อยสองสามคนกำลังเคลื่อนที่มาหาตนด้วยความรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น เบื้องหลังของคนเหล่านั้นคือกองทัพจากต่างพิภพที่เนืองแน่นไปทั้งฟ้าดิน พวกเขาเผยให้เห็นถึงแรงกดดันอันกว้างใหญ่และทรงพลังมหาศาล

“เร็วเข้า! เหล่านี้คือกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพจำนวนสามพันคน ชัดเจนเลยว่าพวกเราถูกซุ่มโจมตี!”

“ให้ตายเถิด! มีผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำเป็นผู้นำตั้งแปดคน เจ้าพวกนี้วางแผนกันมาแล้วสินะ!”

“อย่าเอาแต่บ่นไร้สาระ! หนีไปซะ! ให้ไวเลย!”

ทันใดนั้น กลุ่มคนดังกล่าวก็มาถึงตัวของเฉินซี

ชายหนุ่มพลันสังเกตเห็นว่าคนเหล่านี้เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเมฆาหมอก ในหมู่ของพวกเขาประกอบไปด้วยผู้ชายสามคน และผู้หญิงอีกสองคน ที่ไหล่ซ้ายมีสัญลักษณ์เมฆาหมอกปักไว้

“โอ้? นั่นสหายเต๋าจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่ใช่หรือ?” พวกเขาก็สังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน หนึ่งในนั้นอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ แน่ละ ที่พวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายมาจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็เพราะตราดาราม่วงที่ติดอยู่บนไหล่ซ้ายนั่นเอง

ทว่าพวกเขากลับหน้าถอดสีในฉับพลัน พลางเผยให้เห็นถึงรอยแห่งความประหวั่นสะท้อนอยู่ในแววตา

“สหายเต๋า ข้าขอถือวิสาสะเตือนท่านว่า ควรรีบหนีไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า” สตรีนางหนึ่งในขุดสีเขียวมรกตอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ชี้แนะ ข้าเองก็สังเกตเห็นสิ่งที่ตามหลังพวกท่านมาเช่นกัน” เฉินซีประสานมือคารวะ ศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอกเหล่านี้หาใช่คนเลวร้ายอะไร อย่างน้อย คนเหล่านี้ก็ยอมสละเวลาหลบหนีของตนเพื่อเตือนเขา

“สหายเต๋า ท่านไม่คิดจะหนีหรือ? จริงอยู่ที่ท่านมาจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่หากถูกล้อมไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพสามพันคนเพียงลำพังเช่นนี้ ก็คงไม่อาจหลีกเร้นจากภยันตรายได้” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีดำพูดพลางขมวดคิ้ว

“ช่างเขาเถิดศิษย์พี่ฉู่ อย่าได้โน้มน้าวเขาต่อไปเลย อย่างไรเสียเขาก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า คนเช่นนี้คงไม่ต้องการคำเตือนจากเราเท่าไรนักหรอก หากอยากสำแดงความเก่งกล้าก็เรื่องของเขา ส่วนพวกเราน่ะควรจะไปจากที่นี่โดยเร็ว” หญิงสาวรูปร่างอวบขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก คล้ายตั้งใจบ่นว่าสหายของตนนั้นเป็นพวกจุ้นจ้าน

เฉินซีชะงัก ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวผู้นั้นก่อนจะละสายตาออกไป ในที่ที่ไกลออกไป บัดนี้กองทัพของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขนาดมหึมาได้เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ จนสามารถตามทันได้ในระยะเวลาอันสั้น

แรงกดดันของกองทัพนี้ยิ่งใหญ่และทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด้านหลังของกองทัพนั้น ได้ปรากฏรัศมีแห่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวอัดแน่นไปทั้งฟ้าดิน เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำทั้งแปดที่ศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอกเพิ่งจะกล่าวถึงไป

หลังจากตามหามานาน ในที่สุดข้าก็ได้พบกับเป้าหมาย… หลังจากจัดการกับพวกเขาสิ้นแล้ว ตัวข้าคงจะอู้ฟู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เฉินซีพึมพำกับตัวเองในใจ ดวงตาที่มืดมิดบัดนี้สุกสกาวในทันใด

“สหายเต๋า เช่นนั้นก็ขอให้ท่านโชคดี พวกเราไปกันเถอะ!” เมื่อชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ฉู่เห็นว่าเฉินซีไม่ได้ใส่ใจกับคำเตือนนั้น เขาก็ขมวดคิ้วด้วยนึกยอมแพ้ ก่อนจะพาคนอื่น ๆ ออกไปจากตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว

สำหรับพวกเขาแล้ว การเผชิญหน้ากับกองทัพผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพสามพันคน โดยมีแปดคนอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำนั้นไม่ต่างจากพาตัวเองไปตายเปล่า ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกทางอื่นนอกจากหนีเท่านั้น

ส่วนตัวเฉินซี ในเมื่อพวกเขาเตือนแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไปเห็นถึงคุณค่าในน้ำใจนี้ ก็ไม่คิดเซ้าซี้ให้มากความ คนทั้งห้าพากันถอนหายใจยาว ให้ตายเถิด ศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านี่ช่างหยิ่งทระนงกันเสียจริง…

ปัง!

ยังไม่ทันที่ศิษย์พี่ฉู่และคนอื่น ๆ จะไปได้ไกลนัก ความรู้สึกของโลกที่กำลังสั่นสะเทือนไปด้วยความผันผวนอันน่าเกรงขามก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของพวกตน ไม่นาน คลื่นเสียงแห่งการต่อสู้ที่ชวนให้หวาดผวาก็กึกก้องไปทั้งท้องฟ้า

“นี่พวกเขาสู้กันจริง ๆ หรือ?” กลุ่มศิษย์สำนักศึกษาเมฆาหมอกหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำเอาพวกเขาถึงกับพูดไม่ออก

ท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาวที่ไร้ขอบเขต ร่างสูงสง่ายืนอยู่กลางอากาศ ชายผู้นั้นกวัดแกร่งกระบี่เซียนที่อยู่ในมือด้วยท่าทางสบาย ๆ ส่งผลให้ปราณกระบี่หนาแน่นทะลักออกมาประหนึ่งคลื่นยักษ์ มันกวาดกลืนแนวหน้าของกองทัพต่างพิภพให้กลายเป็นทะเลเลือด หากนับไปแล้ว คงมีผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพหลายร้อยคนสิ้นชีพในทันที

นี่เป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะสร่างจากอาการตกใจ ภาพของสายใยปราณกระบี่ที่งดงามจำนวนมากก็ปรากฏสู่สายตา พวกมันเต็มไปด้วยอานุภาพที่รุนแรงขณะถักทอจนปกคลุมเต็มผืนนภา ทันใดนั้น กองทัพต่างพิภพก็ถูกตัดผ่า เลือดคาวคลุ้งกระจายไปทั้งบริเวณราวกับพายุคลั่งกำลังก่อตัว

ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งเสียงการต่อสู้ เสียงโอดครวญ และเสียงโหยหวนแห่งโทสะก็สอดกังวานไปรอบบริเวณอย่างไม่มีวี่แววจะเงียบลง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุการณ์ที่พบขึ้นได้บ่อยครั้งในสมรภูมิฝันร้าย แน่ละ สนามรบที่ไร้การต่อสู้ จะเรียกว่าสนามรบได้อย่างไร

ถึงอย่างนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ค่อนข้างเป็นภาพหายาก ไม่ง่ายนักที่จะได้พบการต่อสู้ระหว่างคนเพียงคนเดียวกับกองทัพขนาดมหึมา ยิ่งไปกว่านั้น จากรูปการณ์ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายที่กำลังต่อสู้เพียงคนเดียวนั้นกลับเป็นฝ่ายเหนือกว่า!

ตายซะ!

ตายซะ!

ตายซะ!

เลือดแดงฉานสาดกระจายพร้อมกับร่างที่ร่วงหล่น

ตอนนี้ เฉินซีเป็นเหมือนกับคมกระบี่ไร้เทียมทาน ชายหนุ่มฟาดฟันกับกองทัพต่างพิภพอย่างรุนแรง และปลิดชีวิตอีกฝ่ายคราแล้วคราเล่า ไม่ว่าชายผู้นี้จะผ่านไปที่ใด ความไร้ปรานีก็ฉายชัดบนการโจมตีที่แสนดุดันนั่น

จริงอยู่ การพูดว่ากองทัพผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพจำนวนกว่าสามพันคนจะฟังดูเป็นปริมาณที่น้อย ทว่าหากพินิจด้วยตาแล้ว จะเห็นว่ามันยิ่งใหญ่จนแทบจะปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น กองทัพนี้ก็ถูกบดขยี้โดยตัวของเฉินซีเพียงผู้เดียว เลือดที่ไหลเจิ่งนองย้อมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวให้กลายเป็นสีแดงฉาน!

“สหายเต๋าผู้นี้ไม่… ไม่ประหลาดเกินไปหน่อยหรือ?” หนึ่งในศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอกแทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำทั้งแปดคนเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาล้อมบุรุษหนุ่มรูปงามเอาไว้อย่างแน่นหนา ทว่ากลับไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนใดให้แก่ศัตรูได้

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น หากศิษย์คนอื่น ๆ ก็แสดงสีหน้าตะลึงลานไม่ต่างกัน สุดยอด! น่าเกรงขาม! คนผู้นี้เป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริง!

“นี่เราควร… เข้าไปช่วยเขาหรือไม่?” หญิงสาวรูปร่างอวบอ้วนเอียงคอด้วยนึกลังเลใจ “นั่นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำตั้งแปดคนเชียวนะ มันคงเป็นเรื่องยากมากที่จะจัดการปัญหานี้ด้วยตัวคนเดียว หากเราลงมือตอนนี้ เราก็จะสามารถช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์เลวร้าย แถมยังบรรลุบททดสอบไปได้ข้อหนึ่ง เรียกได้ว่าเขวี้ยงหินก้อนเดียวได้นกสองตัวเลยนะ”

คนอื่น ๆ เดาได้ในทันทีว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจที่จะ ‘ส่งถ่านให้กลางหิมะ*[1]’ หลังจากเห็นว่ากองทัพของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพแพ้ยับเยิน และผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำทั้งแปดคนไม่สามารถทำอะไรเฉินซีได้

แน่นอนว่าการส่งถ่านให้กลางหิมะนี้ถือได้ว่าเป็นการฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่ากลับไม่มีผู้ใดที่คิดเอ่ยแย้ง ด้วยกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นตะลึง

“ศิษย์พี่หลิ่ว มันคงไม่ดีที่จะทำเช่นนั้นหรอกกระมัง?” หนึ่งในนั้นพูดอย่างลังเลพร้อมเม้มริมฝีปาก

“มีตรงไหนไม่ดีบ้างเล่า? เราได้กลายเป็นผู้ช่วยเหลือเลยนะ ไม่เพียงหมอนั่นจะไม่รังเกียจ แต่อาจจะถึงขั้นรู้สึกขอบคุณพวกเราเลยด้วยซ้ำ” ศิษย์พี่หลิ่วพูดอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางใจที่เต้นระรัวขึ้นเรื่อย ๆ นั้น หญิงสาวคล้ายจะลืมไปแล้วว่าตนเคยมองเฉินซีอย่างเฉยชา แถมยังนึกเย้ยหยันที่คนผู้นั้นพยายามอวดเก่ง

“ไม่ทันแล้วล่ะ” ตอนนั้นเอง ศิษย์พี่ฉู่ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มก็โพล่งขึ้นมา เมื่อคนอื่น ๆ หันไปตามสายตา ฉากอันเด่นชัดของสมรภูมิทำเอาสีหน้าของพวกเขาต้องแปรเปลี่ยนไปในทันที

ในขณะนี้ ร่างของเฉินซีที่กำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำทั้งแปดเปล่งประกาย มันเอ่อล้นไปด้วยรัศมีพลังเรืองรองซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมากถึงสองเท่า!

ชายหนุ่มสะบัดฝ่ามือเพื่อลงกระบี่ ทันใดนั้น ปราณกระบี่ที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็สำแดงประกายอันศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างไปทั่วทั้งฟ้า มันกวาดรัศมีออกไปในทุกสารทิศ

ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!

หัวทั้งแปดกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า โลหิตอุ่นร้อนสีแดงสดกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ สีหน้าของหัวเหล่านั้นยังคงเต็มไปด้วยความดุดัน เหี้ยมเกรียม และกระหายเลือด บางที ตอนที่ถูกปลิดชีพ พวกเขาอาจจะยังไม่ทันได้ตระหนักถึงเภทภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น

ด้วยการโจมตีผ่านกระบี่เพียงครั้งเดียวผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพขอบเขตเซียนทองคำทั้งแปดก็ถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น!

เมื่อศิษย์ทั้งห้าจากสำนักศึกษาเมฆาหมอกได้เห็นฉากที่น่าประหลาดใจนี้ พวกเขาก็อ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ ม่านตาหดเกร็งอย่างรวดเร็ว แม้แต่ร่างกายก็พลันสะท้านไปถึงกระดูก ราวกับกำลังตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง

ไม่มีใครคาดคิดว่ากลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่มีพลังอันน่าเกรงขามเช่นนั้น จะถูกทำลายล้างโดยชายหนุ่มรูปงามเพียงคนเดียวในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ!

สหายเต๋าผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก!

เขาเป็นศิษย์ชั้นนำคนใดของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ากัน?

ตอนนี้เอง ศิษย์พี่ฉู่พึมพำด้วยเกิดความคิดมากมายผุดขึ้นมาในใจ

โดยเฉพาะศิษย์พี่หลิ่ว สีหน้าของนางซีดลงไปถนัดตา ก่อนหน้านี้นางตั้งใจที่จะ ‘ส่งถ่านให้เฉินซีกลางหิมะ’ ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เฉินซีหาได้ต้องการความช่วยเหลือจากนางแม้เพียงนิด นั่นเป็นการตบหน้านางทางอ้อมชัด ๆ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดในใจขึ้นมา

แกร๊ง!

กระบี่ตะขอดารากลับเข้าฝักพลางส่งเสียงเกรียวกราวสะเทือนไปทั้งท้องฟ้า สร้างความตะลึงลานให้แก่ศิษย์พี่ฉู่และคนอื่น ๆ ไม่น้อย

ภาพของเฉินซีที่ยืนอยู่อย่างเด็ดเดี่ยว กำลังกวาดล้างสนามรบที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งปกคลุมไปด้วยซากศพ และกองเลือดท่ามกลางท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขตเบื้องหลัง มันช่างดูนองเลือด และงดงาม สั่นสะท้านไปทั้งใจผู้ชม

[1]ส่งถ่านให้กลางหิมะ (雪中送炭) หมายถึงการแสดงน้ำใจช่วยเหลือผู้คนในขณะตกทุกข์ได้ยาก

—————————————————-

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท