บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1232 สวรรค์ช่างเล่นตลกกับผู้คน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1232 สวรรค์ช่างเล่นตลกกับผู้คน

บทที่ 1232 สวรรค์ช่างเล่นตลกกับผู้คน

คำพูดของเฉินซีทำให้หม้อใบจิ๋วอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นมันก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง แล้วจึงกล่าวว่า “ตามความรู้ของข้า สถานที่แห่งโชคลาภนั้นซ่อนตัวอยู่ในกระแสห้วงมิติ หากเข้าไปโดยไม่รู้รูปแบบของมัน ก็ไม่ต่างจากการเอาชีวิตไปทิ้ง”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส แล้วมีสิ่งใดซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนั้นกัน?”

หม้อใบจิ๋วนิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่มันจะกล่าวขึ้นมาว่า “สุสานของผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล”

น้ำเสียงของหม้อใบจิ๋วเจือกระแสซับซ้อนอยู่เล็กน้อย

ทว่าเฉินซีไม่ได้สังเกตเห็นมัน เพราะจิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับคำพูดของหม้อใบจิ๋ว

“ผู้ยิ่งใหญ่จากยุคบรรพกาล…”

“สุสานหรือ?”

เฉินซีไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริงว่า ขอบเขตการบ่มเพาะใดที่สามารถเรียกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่หม้อใบจิ๋วกล่าวถึง!

“มาเถิด เจ้าจะเข้าใจเมื่อเข้าไปในสุสานแล้ว ข้าได้แต่หวังว่า… มันจะไม่ถูกคนอื่นเอาไปเสียก่อน” หม้อใบจิ๋วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะมันตกอยู่ในความเงียบงัน

ในขณะเดียวกัน เฉินซีสังเกตเห็นว่า อารมณ์ของหม้อใบจิ๋วเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มคาดเดาอย่างเงียบ ๆ ว่าหม้อใบจิ๋วอาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล

เฉินซีส่ายศีรษะและเลิกคิดถึงสิ่งนี้ เพราะคงไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ แม้จะทำต่อไปก็ตาม

ต่อจากนั้น เฉินซีก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ชายหนุ่มกวาดความมั่งคั่งของหลานถิงทั้งหมด ก่อนจะมุ่งลึกเข้าไปในดาวอสูรทันที

ดาวอสูรไม่เหมือนกับดาวดวงอื่น ๆ มันมีขนาดใหญ่กว่านับสิบเท่า หรืออาจมากกว่านั้น เทียบได้กับโลกใบใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ที่ยากจะพรรณนาได้

ไม่ว่าจะเป็นภูเขาหรือที่ราบ ทุกหนทุกแห่งถูกปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพัง แม่น้ำแห้งขอด พื้นดินแตกระแหง ภูเขาพังทลาย และทะเลหินหลอมเหลวพวยพุ่ง…

ดูเหมือนว่าท่ามกลางกาลเวลา ดาวดวงนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความอ้างว้าง ประสบกับสงครามมากมาย ถึงขนาดที่สามารถมองเห็นกองซากศพจากอากาศได้

“ช่างเป็นกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าที่หนาแน่นเสียจริง!”

เฉินซีร่อนลงบนยอดเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่ง กลิ่นอายของการเข่นฆ่าจู่โจมใบหน้าทันควัน มันเป็นกลิ่นอายของสงครามที่ไม่สามารถขจัดได้ด้วยกาลเวลา หากเป็นคนอื่นที่มา คนผู้นั้นคงรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ จนจิตใจพังทลายในทันที

ทว่ากลิ่นอายของการเข่นฆ่าเล็กน้อยนี้ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเฉินซีได้แต่อย่างใด

“โอ้ นั่นมัน…”

ดวงตาของเฉินซีกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดกับบางสิ่ง มันคือสะพานลวงตาที่เชื่อมระหว่างฟ้าดินซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลโพ้น ลำแสงส่องประกายเจิดจ้า และสาดส่องให้ทั้งฟ้าดินสว่างไสว

“สิ่งนั้นคงก่อตัวขึ้นจากพลังของกระแสห้วงมิติ เป็นประตูสู่สุสานที่ว่า เจ้าของสุสานได้ใช้ความสามารถสูงสุด เปลี่ยนกระแสห้วงมิติให้เป็นของตน น่าเสียดายที่เขามีเวลาเพียงแค่ตั้งประตูนี้ จึงใช้สิ่งนี้ปกป้องสถานที่ฝังอัฐิของตนเท่านั้น” หม้อใบจิ๋วถอนหายใจยาวเหยียด

เฉินซีอ้าปากค้าง กระแสห้วงมิติเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นรูปแบบของพลังงานทางโลกและอวกาศที่วุ่นวายที่สุด ซึ่งแม้แต่ตัวตนที่ขอบเขตราชันเซียนก็ไม่กล้ายืนยันว่าจะสามารถรวบรวมพลังงานนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตอื่น ๆ พวกเขาจะต้องพินาศอย่างแน่นอน หากถูกพัดพาเข้าสู่กระแสห้วงมิติ

แต่เจ้าของสุสานแห่งนี้กลับใช้พลังของกระแสห้วงมิติเพื่อตนเอง เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวเพียงใด

“เดี๋ยวก่อน เหตุใดเขาถึงไม่หนีไป และเลือกสถานที่นี้เพื่อฝังตัวเองแทน? เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาจะรับรู้ถึงความตายของตน จึงสร้างสุสานให้ตัวเอง” เมื่อเฉินซีตระหนักถึงสิ่งนี้ ชายหนุ่มก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ใช่แล้ว เขาไม่มีเวลาหนี” หม้อใบจิ๋วกล่าว “แม้ว่าสมรภูมิฝันร้ายแห่งนี้จะเป็นสนามรบขนาดกลาง แต่ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนต่างพิภพตั้งแต่ยุคบรรพกาล แม้เขาจะฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ แต่เจ้าของสุสานก็สูญเสียพลังแก่นแท้ทั้งหมดไป”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ เสียงของหม้อใบจิ๋วก็เบาลงเล็กน้อย และดูไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงอดีต มันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวแนะนำเฉินซี “ในหลายปีหลังจากนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพทั้งสามหลายคนเคยพยายามก้าวผ่านประตูนั่น แต่เกือบทั้งหมดต้องกลับไปมือเปล่า ข้าก็ไม่กล้ายืนยันว่ายังไม่มีใครเข้าไปจนบัดนี้ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว”

เฉินซีได้รับข้อมูลเพิ่มเติม หม้อใบจิ๋วเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งในอดีต!

“มาเถิด เราไปดูกัน” หม้อใบจิ๋วออกคำสั่ง

เฉินซีพยักหน้า ก่อนจะทะยานร่างออกไป

ขณะที่บินอยู่ เฉินซีสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจ คือตอนนี้มีกลิ่นอายน่าเกรงขามมากมายรวมตัวกันอยู่ที่นี่

กลิ่นอายเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำ การค้นพบนี้ทำให้หัวใจของเฉินซี

เครียดเขม็ง เพราะสัมผัสได้อย่างราง ๆ ว่าคนมากมายน่าจะมารวมตัวกันที่นี่ เพราะสุสานของผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกระแสห้วงมิติ

“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าการสอบของสำนักธรรมดา ๆ จะกลายเป็นการแข่งขันเพื่อชิงวาสนา เกรงว่าจะมีความหมายลึกล้ำอยู่เบื้องหลังเหตุผลที่จัดให้มีการสอบของสำนักฝ่ายในที่นี่…” เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนประเมินการสอบของสำนักฝ่ายในต่ำไป เพราะหากไม่ได้คำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว เขาคงพลาดวาสนาครั้งนี้

ชายหนุ่มทราบอย่างชัดเจนว่า ตนมีข้อมูลน้อยเกินไป ไม่เหมือนศิษย์ของกองกำลังชั้นนำเหล่านั้น ที่สามารถรับการชี้นำจากกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังได้

ครืน!

ในขณะนี้ คลื่นพลังผันผวนของการต่อสู้ดังก้องไปทั่วบริเวณ และกวาดไปยังบริเวณโดยรอบด้วยแรงผลักดันอันทรงพลัง

เฉินซีหยุดเคลื่อนไหวทันที ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วเปิดขึ้นอีกครั้ง มันกวาดมองอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเห็นสถานการณ์ในสนามรบที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน รอยยิ้มแปลก ๆ ปกคลุมมุมปากแวบหนึ่ง ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ “เป็นประสงค์ของสวรรค์จริง ๆ…”

ชู่ว!

ในช่วงเวลาถัดมา ร่างของเขาก็สว่างวาบ และหายไปในอากาศ

ที่นี่เป็นช่องเขาไร้ขอบเขต ซึ่งถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นในหุบเขา มันทั้งอ้างว้างและแห้งแล้ง

ขณะนี้ มีหลายร่างกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกว่าสิบคน สถานการณ์ของการสู้รบนั้นดุเดือดรุนแรง จนทำให้ภูเขาหลายลูกพังทลาย

น่าตกใจที่ผู้นำของร่างเหล่านั้นคือจั่วชิวจวิน คนผู้นั้นกำลังสั่งการคนอื่น ๆ พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงเข้มงวด “ไอ้พวกโง่เขลากลุ่มนี้คิดลอบโจมตี และบดขยี้เรา ฆ่า! ฆ่าไอ้สารเลวพวกนี้ให้หมด!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า

“ฆ่า!” ขวัญกำลังใจของสหายของจั่วชิวจวินพวยพุ่ง พวกเขาทุ่มพลังทั้งหมด เข้าปราบปรามผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพทั้งสิบคนทันที

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จั่วชิวจวินและพรรคพวกคู่ควรกับการอยู่ในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์

“หึ! ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเราจะสามารถฆ่าเป้าหมายสองสามคนในระหว่างทางได้ ถือว่ามันได้กำไรเกินคาด ไอ้บัดซบ! ตายซะ เพื่อบรรพชน!” ศิษย์คนหนึ่งจากตระกูลจั่วชิวแค่นหัวเราะ กระบี่ในมือวูบไหว มันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำสนิทปกคลุมท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนนั้นอย่างรุนแรง

การโจมตีครั้งนี้ทั้งโหดเหี้ยมและกดขี่ มันปิดทางหนีของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเมื่อการโจมตีครั้งนี้จบลง ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนนั้นจะต้องถูกฟันเป็นชิ้น ๆ

ทว่า…

ชู่ว!

ปราณกระบี่ที่ไร้รูปร่างแผ่กระจายออกมาจากอากาศ มันทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพคนนั้น ก่อนที่กระบี่สีดำจะสาดแสงลงมา

ฟุ่บ!

เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นไปรอบ ๆ ศิษย์จากตระกูลจั่วชิวคนนั้นมีท่าทีเหมือนกระต่ายถูกเหยียบหาง คนผู้นั้นกระทืบเท้าด้วยความโกรธ และคำรามลั่น “ผู้ใดกัน?! ไอ้สารเลวคนไหนที่ฉกเหยื่อของข้าไป!?”

เสียงตะโกนนี้ดึงดูดความสนใจของจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ ทันที พวกเขารีบกวาดสายตาไปทั่วบริเวณใกล้เคียง

“นั่นมันอะไรกัน?”

“มีคนฉกเหยื่อของเราไป!”

“บัดซบ! มันคือใครกัน? เผยตัวออกมาซะ!”

ใบหน้าของจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ พลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าฉกเหยื่อของพวกตนในช่วงเวลาเช่นนี้

น่าเสียดาย ยังไม่ทันหาร่องรอยของศัตรูพบ พวกเขาก็ถูกผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสิบเข้ามาพัวพันอีกครั้ง ยากที่จะดิ้นรนให้เป็นอิสระได้

“มาจัดการกับไอ้สารเลวพวกนี้ก่อน!” จั่วชิวจวินตัดสินใจทันที และกัดฟันสั่งการอย่างโกรธเกรี้ยว

คนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา และระบายความโกรธแค้นในใจไปยังผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้

ฟิ่ว!

เมื่อศิษย์ของตระกูลจั่วชิวกำลังจะฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ปราณกระบี่ที่ไร้รูปร่างอีกเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ก่อนที่ศิษย์จากตระกูลจั่วชิวจะลงมือ

การโจมตีที่รอโอกาสอันเหมาะสมก่อนจะลงมือ มันได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว มันไม่เร็วหรือช้าเกินไป มันเป็นจังหวะเวลาเหมาะสมพอดิบพอดี และถ้าคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาคงจะปรบมือด้วยความชื่นชมอย่างแน่นอน

ทว่าทั้งหมดนี้กลับทำให้ศิษย์จากตระกูลจั่วชิวโกรธจนแทบกระอักเลือด เหยื่อที่พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มา กำลังถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกนี้ช่างน่าแค้นใจอย่างถึงที่สุด

“บัดซบ! เป็นผู้ใดกันแน่”

“ไอ้สารเลวคนไหนมาสร้างปัญหา?”

“บัดซบ! เหยื่อของข้า!”

ในขณะนี้ มีเสียงมากกว่าหนึ่งดังขึ้นไล่เลี่ยกัน พวกมันดังก้องไปทั่วบริเวณ

ศิษย์ตระกูลจั่วชิวเหลือบมองกันและกัน พร้อมกับตระหนักว่าเหยื่อของพวกตนถูกฆ่าตายในเวลาเดียวกัน!

ทันใดนั้น ใบหน้าของพวกเขาพลันกลายเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง และเมื่อมองคู่ต่อสู้อีกครั้ง ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำจากต่างพิภพเหล่านั้น ก็เหลือเพียงคนเดียวแล้ว…

“บัดซบ!!!” เสียงของจั่วชิวจวินเค้นรอดไรฟัน มันเผยให้เห็นถึงความเย็นเสียดแทงลึกถึงกระดูก เขาโกรธแค้น และฟาดฝ่ามืออย่างรุนแรงไปยังผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนสุดท้ายที่เหลืออยู่

ทว่าในขณะนั้นเอง ปราณกระบี่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันสว่างวาบ ก่อนจะตัดศีรษะของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนสุดท้าย ตัดหน้าการโจมตีของจั่วชิวจวินในเสี้ยวลมหายใจ

พรู่ด!

เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น เป็นฉากที่น่าเศร้า งดงาม และนองไปด้วยเลือด

ใบหน้าของจั่วชิวจวินแดงก่ำ เส้นเลือดบนขมับปูดโปน ทั้งร่างสั่นเทาด้วยความโกรธ เพราะคนเหล่านั้นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำทั้ง 14 คนจากต่างพิภพ แต่กลับถูกฉกไปภายใต้จมูกของเขา…

ใบหน้าของคนอื่น ๆ ก็มืดมนจนถึงขีดสุดเช่นกัน พวกเขากัดฟันจนเสียงแตกดังรอดออกมา แทบระเบิดด้วยไฟแห่งโทสะ

“ขออภัย ข้าคิดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นไม่ได้เป็นของใคร เช่นนั้นแล้วพบกันใหม่ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบพวกเจ้าทุกคนอีกครั้ง” ทันใดนั้น เสียงที่แผ่วเบาและไม่แยแสก็ดังขึ้นอย่างเนิบช้า

จั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ จึงสังเกตเห็นร่างสูงโปร่งกำลังโบกมือให้พวกตนจากระยะไกล รอยยิ้มอันอบอุ่นแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคนผู้นั้น

แต่น้ำเสียงของมันกลับเสียดหูเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อรอยยิ้มนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตา มันก็เหมือนกับการเยาะเย้ยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหล้า ดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเลือด

เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น เป็นฉากที่น่าเศร้า งดงาม และนองไปด้วยเลือด

ใบหน้าของจั่วชิวจวินแดงก่ำ เส้นเลือดบนขมับปูดโปน ทั้งร่างสั่นเทาด้วยความโกรธ เพราะคนเหล่านั้นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำทั้ง 14 คนจากต่างพิภพ แต่กลับถูกฉกไปภายใต้จมูกของเขา…

ใบหน้าของคนอื่น ๆ ก็มืดมนจนถึงขีดสุดเช่นกัน พวกเขากัดฟันจนเสียงแตกดังรอดออกมา แทบระเบิดด้วยไฟแห่งโทสะ

“ขออภัย ข้าคิดว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นไม่ได้เป็นของใคร เช่นนั้นแล้วพบกันใหม่ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบพวกเจ้าทุกคนอีกครั้ง” ทันใดนั้น เสียงที่แผ่วเบาและไม่แยแสก็ดังขึ้นอย่างเนิบช้า

จั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ จึงสังเกตเห็นร่างสูงโปร่งกำลังโบกมือให้พวกตนจากระยะไกล รอยยิ้มอันอบอุ่นแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคนผู้นั้น

แต่น้ำเสียงของมันกลับเสียดหูเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อรอยยิ้มนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตา มันก็เหมือนกับการเยาะเย้ยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหล้า ดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเลือด

“เฉินซี!!!! ไอ้สารเลว! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า! ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!” จั่วชิวจวินคำรามขึ้นฟ้า สีหน้าฉายแววอำมหิตอย่างยิ่ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท