บทที่ 1252 ใจใฝ่ในมหาเต๋า
บทที่ 1252 ใจใฝ่ในมหาเต๋า
ความเกลียดชังคืออะไรกันแน่?
ไม่แน่ว่าหลากสรรพสิ่งที่มีชีวิตอยู่บนโลกล้วนมีความเข้าใจแตกต่างกันไป แต่สำหรับเฉินซีแล้ว ความเกลียดชังนั้นอยู่คู่กับเขามาตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะจนถึงตอนนี้
บนบ่ามีภาระหนักอึ้งมากเกินไป หากเป็นคนอื่นต้องแบกภาระหนักหนาเช่นนี้ก็คงรู้สึกหายใจไม่ออกจนล้มไปแล้ว
แต่เฉินซีไม่ใช่เช่นนั้น เขามักจะมุ่งหน้าต่อไปอย่างเงียบ ๆ เสมอ ตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งมาจนถึงแดนภวังค์ทมิฬ จากแดนภวังค์ทมิฬไปภพเซียน เส้นทางล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม ไม่ได้ราบรื่นง่ายดาย มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่จะเข้าใจ
ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจากความเกลียดชัง
ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความเกลียดชังดีกว่าใครอื่น
ดวงตาจึงไม่เคยถูกความเกลียดชังบดบัง
หากไม่เป็นเช่นนั้น มีหรือจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ได้?
เฉินซีไม่ใช่พวกที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ตามอำเภอใจ กลับกันเขาชอบช่วยเหลือมิตรสหาย หากเห็นความอยุติธรรมก็จะไม่นิ่งเฉย แต่เมื่อต้องจัดการศัตรูก็จะไร้ความปรานี
เขาเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์และซื่อสัตย์ต่อตนเองมาโดยตลอด!
…
ต่อมา เฉินซีก็เหมือนนักล่าระหว่างดวงดาวผู้มากฝีมือที่เดินทางไปมาระหว่างดาวทุกดวงบนสมรภูมิฝันร้าย พลางตามล่าศัตรูไปตลอดทาง
ชายหนุ่มเคยเห็นผู้เยี่ยมยุทธจากต่างพิภพมานักต่อนัก พบวัตถุดิบเซียนหลากหลาย เจอสมบัติและแร่มากมายที่มีอยู่นอกพิภพเท่านั้น…
แต่เขาก็พบอันตรายและการลอบโจมตีมากมายเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เรื่องพวกนั้นนับว่าไม่ใช่เรื่องถึงชีวิตแล้ว
อย่างไรสมรภูมิฝันร้ายก็เป็นสนามรบขนาดกลาง ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่อยู่ในนี้ล้วนอยู่ขอบเขตเซียนทองคำหรือต่ำกว่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายต่อเฉินซี
หรือก็คือ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจอในสุสาน และเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นบนดาวหมึกโลหิตแล้ว ประสบการณ์เช่นนี้ก็ดูดาษดื่นเห็นได้ทั่วไปทีเดียว
สองเดือนต่อมา
ดาววิญญาณจันทรา
บนยอดเขาเดียวดายลูกหนึ่งที่สูงเสียดฟ้า แสงจันทร์สีเงินส่องกระทบผิวน้ำ สายลมกระจ่างพัดเข้ามาเชื่องช้า ต้นไม้พากันไหวปลิว ได้ยินเสียงอสูรคำรามดังก้องมาจากที่ไกล ยิ่งทำให้สถานที่นี้ดูเงียบสงัดไร้สิ่งมีชีวิตใดยิ่งกว่าเดิม
เฉินซีนั่งสบายอารมณ์อยู่ตรงหน้าผา ยกน้ำเต้าขึ้นมาพลางชมท้องฟ้าดาราพร่างพราว
ลมบนหุบเขาทำให้อาภรณ์สีเขียวพลิ้วไสว ผมสีดำสนิทขยับเคลื่อนไปตามแรงลม จันทร์เต็มดวงเหนือศีรษะปลดปล่อยแสงสว่างสีกระจ่างอาบไปทั่วกาย
ชิงชิงนอนเอกเขนกอยู่ด้านข้าง กำลังเลียกระดูกอยู่
รอก่อนเถอะ ข้าจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเมื่อไหร่ ต้องไปหาให้ได้ว่ามหาเต๋ามีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใดกันแน่… ชายหนุ่มเหม่อมองดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าอย่างเงียบงัน เฉินซีคล้ายกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ทำให้มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้น ฉับพลันก็หัวเราะเสียงเบาออกมาก่อนจะจิบสุราในน้ำเต้า
หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นก่อนตะโกนเสียงดังใส่ท้องฟ้า
“ใต้หล้าหาได้กว้างใหญ่ไปกว่าความทะเยอทะยานของข้าไม่ สวรรค์นั้นไซร้ไม่กว้างใหญ่เท่าวิสัยทัศน์ที่ข้าเห็น หากถามว่าใจข้าเป็นสิ่งใด เช่นนั้นก็คงต้องเป็นมหาเต๋า เมื่อถึงยามนั้น ใต้ฝ่าเท้าข้าจะมีลมหนุน เดินทางท่องไปทั่วโลกา มหาเต๋าเชื้อเชิญให้ข้ายกจอก ทว่าข้ากลับหัวร่อมหาเต๋าที่มีอารมณ์อ่อนไหวเกินควร!”
น้ำเสียงกระจ่างใสดั่งระฆัง แต่ละคำที่พูดดั่งก้องไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า กังวานไปทั่วทั้งดาววิญญาณจันทรา และค่อย ๆ สะท้อนไปบนท้องฟ้าพร่างดาวอันไร้ขอบเขต…
ตอนนี้ ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาววิญญาณจันทราหยุดทุกการกระทำแล้วเงี่ยหูฟังอย่างเงียบเชียบ บนใบหน้ามีความหวาดกลัว ทั้งยังคล้ายกับความมึนเมา ราวกับกำลังฟังเสียงของมหาเต๋าอยู่
ทุกถ้อยคำประหนึ่งเต็มไปด้วยท่วงทำนองแห่งมหาเต๋า แต่เมื่อค่อย ๆ ลิ้มรสมันกลับสังเกตได้ว่าเป็นเพียงคำพูดเรียบง่าย ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยคำออกมามีกระแสมหาเต๋าอยู่ด้วย
เต๋านั้นไร้นาม แต่ผู้แข็งแกร่งกลับตั้งชื่อให้มันว่าเต๋า
คำพูดไร้คารม แต่กลับมีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับเต๋า
…
เสียงตะโกนดังยาวทำให้กลิ่นอายชั่วร้ายที่ก่อกำเนิดขึ้นในใจเฉินซีตลอดสองเดือนที่ผ่านมาถูกกวาดล้างหายสิ้น ดวงจิตแห่งเต๋ากลับมามั่นคงบริสุทธิ์อีกครั้ง
นับตั้งแต่เข้าสู่ภพเซียนมาก็เจอคนไล่ล่าหมายสังหารมานักต่อนัก หลังจากเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ถูกกดขี่เจออุปสรรคมากมาย ตอนที่เข้าสมรภูมิฝันร้าย ก็ต้องฝึกปรือฝีมือในการเผชิญหน้าและการต่อสู้นองเลือดนับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มได้สัมผัสมาแล้วทั้งความยินดี ความโกรธเกรี้ยว ความเศร้าโศก และความเกลียดชัง
อารมณ์ทั้งหมดที่สั่งสมอยู่ในใจได้กลายเป็นประสบการณ์ฝากเอาไว้ หลังสิ้นสุดเสียงตะโกนลั่นนั่นแล้ว สิ่งทั้งหลายที่กองอยู่ภายในก็พลันแปรเปลี่ยน!
ความทะเยอทะยานของเขาไม่ยึดติดอยู่กับอดีตอีกต่อไป
วิสัยทัศน์ของเขามุ่งตรงไปยังจุดสูงสุดแห่งมหาเต๋า!
…
เมืองเมฆาสุบิน
บรรยากาศตรงหน้าจัตุรัสกลางดูกดดันเงียบสนิท ราวกับมวลอากาศถูกแช่แข็งไปแล้ว
ถึงเวลาปิดฉากการสอบฝ่ายใน ศิษย์หลายคนจากเจ็ดสำนักใหญ่เสร็จสิ้นการสอบและกลับเมืองกันมาตาม ๆ กัน
หากว่ากันโดยหลักเหตุผล มันควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและความสุขใจ แต่ด้วยเหตุบางอย่าง ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ที่นี่จึงมีสีหน้าไม่น่ามองนัก
โดยเฉพาะอาจารย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล พวกเขามีสีหน้ามืดมนเป็นพิเศษ กระทั่งอาจารย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอก สำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ และสำนักศึกษากระแสวาตะยังมีสีหน้าดูสับสนและประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
มีเพียงอาจารย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างโจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่มีสีหน้าประหลาดพิกล เหมือนอยากหัวเราะแต่ก็ไม่มีอารมณ์หัวเราะออกมา เพื่อไม่ให้ไปกระตุกอารมณ์ผู้อื่น
หลากหลายสีหน้าเหล่านี้ก็เป็นสีหน้าของศิษย์จากเจ็ดสำนักเช่นกัน หากไม่มืดมนก็ดูสับสนประหลาดใจ หรือไม่ก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
และทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากคนคนเดียว เฉินซี!
“เขาทำเกินไปแล้ว! เกินไปแล้วจริง ๆ ! ที่นี่คือสมรภูมินอกพิภพแห่งสามภพ ควรจะมีศัตรูเหมือนกันและทำลายพวกต่างพิภพเสีย แต่เด็กเฉินซีนั่นกลับสังหารศิษย์เราไปมากมาย เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายน่าขุ่นเคืองยิ่ง!” ทันใดนั้นก็มีอาจารย์คนหนึ่งจากสำนักศึกษานภาไพศาลไม่อาจหยุดยั้งไฟโกรธในใจได้อีก คำรามออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม เขามีนามว่าฉือหลิงจื่อ เป็นคนค่อนข้างอารมณ์ร้อน
แต่จะโทษที่เขาก็ไม่ได้ เพราะในหมู่ผู้เข้าร่วมการสอบในสมรภูมิฝันร้าย สำนักศึกษานภาไพศาลของเขาสูญเสียหนักที่สุด มีศิษย์กลับมาเพียงยี่สิบกว่าคนจากที่เข้าไปห้าสิบคน!
“ในความคิดข้า เด็กคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกต่างพิภพ การกระทำโหดเหี้ยมยิ่งนัก ครั้งนี้เราไม่ยกโทษให้เขาแน่!” อาจารย์อีกคนจากสำนักศึกษาระทมสันต์เอ่ยเสียงเย็น เค้นคำออกมาลอดไรฟัน
“อะไรกัน? สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ายังไม่ออกมาพูดให้ชัดเจนอีกหรือ? หรือคิดจะปกป้องมารร้ายที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบเช่นมัน?” เมื่อเห็นว่าโจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเงียบต่อ ฉือหลิงจื่อจึงยิ่งโกรธ พลางเอ่ยตำหนิเสียงต่ำ
ทั้งอาจารย์และศิษย์สำนักอื่น ๆ ต่างสงสัยตาโกรธแค้นไปทางคนสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเช่นกัน
“ทุกคนคลายอารมณ์ลงก่อนเถิด ในเมื่อนี่เป็นการสอบ เช่นนั้นจะเลี่ยงการต่อสู้จนตัวตายได้อย่างไร อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสมรภูมิฝันร้าย เพราะฉะนั้น… เรื่องร้ายเองก็เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน” ผู้สูงส่งจากศาลเซียนที่พำนักอยู่ในเมืองเมฆาสุบิน ตงจวินโหว พลันลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แต่คำพูดคำจากลับเข้าข้างสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอยู่เล็กน้อย
จึงทำให้อาจารย์และศิษย์สำนักอื่น ๆ ยิ่งรู้สึกโกรธและไม่พอใจกว่าเดิม
“ก็ได้! เช่นนั้นหยุดคุยเรื่องนี้กันก่อน แต่เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่สังหารศิษย์เราเท่านั้น ยังชิงสมบัติล้ำค่าของสำนักเรา ‘น้ำเต้าฟ้าดิน’ ไปด้วย เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายใช่หรือไม่?” ฉือหลิงจื่อยังคงสีหน้ามืดมนไว้ยามเค้นคำออกมา
“ผนึกเทวศสวรรค์สำนักศึกษาระทมสันต์ก็ด้วย!”
“ตะเกียงวังไหมเขียวสำนักศึกษามหาเดียวดายก็เช่นกัน!”
ทันทีที่ฉือหลิงจื่อเอ่ยคำ ก็ทำให้อีกสองสำนักเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อกล่าวถึงสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นขึ้นมา เหล่าอาจารย์ก็แทบคลั่ง ความเกลียดชังและความโกรธแค้นผสมผสานกันรุนแรง
ตอนนี้กระทั่งตงจวินโหวก็ได้แต่หัวเราะเสียงขื่น ถอนหายใจอยู่ภายในเท่านั้น ตัวข้าคิดว่าอวิ๋นฝูเซิงเป็นเจ้าบ้าที่แกร่งที่สุดเมื่อครั้งข้าอยู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว ไม่คิดเลยว่าเฉินซีคนนี้จะบ้ายิ่งกว่าอวิ๋นฝูเซิง ทั้งฆ่าทั้งชิงสมบัติของอีกสามสำนักมาเช่นนี้…
ตอนนี้โจวจื่อหลีจึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเสียงกระแอมแหบแห้ง ก่อนไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “พวกเราเข้าใจความรู้สึกของสหายเต๋าดี แต่นี่คือการสอบ ไม่มีกฎข้อไหนที่ห้ามทำเช่นนั้น”
“ข้ออ้าง!” ฉือหลิงจื่อด่าเข้าให้ น้ำลายเกือบกระเด็นโดนหน้าโจวจื่อหลี “ในเมื่อไม่มีกฎ เช่นนั้นก็สามารถฆ่าชิงสมบัติผู้อื่นมาได้เลยหรือ? ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!”
“หึ! เรื่องกฎนั่นข้าไม่สนหรอก หากครั้งนี้เจ้าไม่ส่งเฉินซีมา ข้าจะทำให้เจ้าส่งเขามาเอง!” อาจารย์สำนักอื่นเอ่ยขึ้นมาตาม ๆ กัน
ตอนนี้โจวจื่อหลีเองก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว มองอาจารย์สำนักอื่นหน้าคว่ำ “เท่าที่ข้ารู้ หากศิษย์สำนักพวกเจ้าไม่ไปล่วงเกินเขาก่อน เช่นนั้นด้วยนิสัยของเฉินซี เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“พี่โจว ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก พวกเขามีความสามารถด้อยกว่า แต่ยังกล้าหาเรื่องเราเช่นนี้ ก็นับว่าสมควรตายแล้ว!” หวังต้าวหลูที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยเสียงเย็นชาขัดขึ้น เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
คำนี้แทงใจศิษย์จากสำนักอื่นหลายคน ทำให้นัยน์ตาพวกเขาเต็มไปด้วยไฟโกรธลุกโชน
“ถ้าเป็นเช่นนั้น จะไม่ส่งเขามาใช่หรือไม่?” ฉือหลิงจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเค้นคำลอดไรฟัน หว่างคิ้วเต็มไปด้วยจิตสังหาร นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว
สิ้นคำนั้น บรรยากาศก็เต็มไปด้วยการเผชิญหน้าทันใด
ตงจวินโหวมุ่นคิ้ว แต่โจวจื่อหลีโบกมือหยุดไว้ โจวจื่อหลียืดเส้นยืดสายอยู่สักพัก ก่อนใบหน้าสงบนิ่งจะเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยออกมาเสียงเนิบช้า “ข้าไม่ได้ประลองฝีมือกับสหายเต๋ามานานกี่ปีแล้วนะ? หากวันนี้ได้ต่อสู้สักหน่อย ในใจก็คงไร้ความเสียใจใด ๆ แล้ว”
ความหมายที่จะสื่อคือ ให้อีกฝ่ายเลือกว่าจะสู้หรือจะหุบปาก ไม่ว่าจะเลือกอะไร ก็ไม่มีทางส่งเฉินซีไปแน่ เป็นคำพูดที่ดูไม่รุนแรง แต่กลับขู่ขวัญอีกฝ่ายได้ดียิ่ง
ตอนนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยจิตสังหารเคร่งเครียดนัก การต่อสู้อาจปะทุขึ้นมาเมื่อใดก็ได้
“ผู้อาวุโสช้าก่อน” ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่มีน้ำเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น ถัดจากน้ำเสียงก็ปรากฏร่างของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาผู้มีนัยน์ตาสีดำลึกล้ำเหมือนดาราค่ำคืน คนผู้นั้นคือเฉินซีนั่นเอง
พอทุกคนเห็นเฉินซีก็ร้อนใจขึ้นมาทันที ยิ่งอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล พวกเขาไม่ปิดบังความเกลียดชังและจิตสังหารแม้แต่น้อย เหมือนพร้อมจะลงมือเต็มที
โจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ กลับมุ่นคิ้วแทน แต่ไม่ได้กล่าวอะไร พวกเขามั่นใจว่าสามารถคุมสถานการณ์อยู่ ดังนั้นจึงสามารถรับประกันความปลอดภัยให้เฉินซีได้เช่นกัน
เฉินซีมีท่าทีเหมือนเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตนแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเดินมาตรงหน้าโจวจื่อหลี แล้วส่งแผ่นหยกให้ “ผู้อาวุโส เหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในแผ่นหยกนี้แล้ว ให้ทุกคนดูเอาเองเถอะว่าใครผิดใครถูก ไม่ใช่ข้า เฉินซี ที่ไร้ความปรานีหรอก แต่เป็นพวกเขาที่…รนหาเรื่องเอง”