บทที่ 1240 สู้ตัวคนเดียว
บทที่ 1240 สู้ตัวคนเดียว
เสียงตะโกนยังไม่สิ้นสุด เงาร่างจำนวนมากก็พุ่งเข้าใส่เฉินซีแล้ว
พวกเขาคือศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ นอกจากศิษย์ที่ครอบครองขุมทรัพย์อมตะโบราณเพื่อรับมือกับราชาปลาหยินหยางแล้ว ศิษย์ที่เหลือก็พุ่งเข้ามาพร้อมกัน
เงาร่างจำนวนมากพุ่งผ่านฟ้าเข้าหาเฉินซีจากทั่วทุกทิศด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
เช่นเดียวกับสำนักศึกษานภาไพศาล สำนักศึกษาระทมสันต์เองก็ถูกอวิ๋นฝูเซิงท้าทายไว้เมื่อนานมาแล้ว ผลลัพธ์ออกมาไม่ต่างกัน อวิ๋นฝูเซิงเอาชนะคนรุ่นเดียวกันไปได้อย่างหมดจด ทำให้พวกเขาสูญเสียชื่อเสียงอย่างยิ่ง
ทำให้ภายในเกิดความรู้สึกเกลียดชังต่อศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ในขณะนี้ และการกระทำของเฉินซีก็จุดประกายไฟในหัวใจพวกเขาขึ้นมา!
ฆ่ามัน!
วิชาน่าเกรงขามจำนวนมากซัดผ่านฟ้า รวมกันเข้ามาเป็นคลื่นพลัง สาดเข้าใส่เฉินซีจากไกล ๆ พร้อมกับแรงกดดันหนาแน่น
“ไม่ต้องทำอะไร เฉินซีทำตัวเอง พวกเจ้าไม่ได้ยินเขาไล่ให้พวกเราไสหัวไปอย่างนั้นหรือ?” ศิษย์อาวุโสหลายคนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามุ่นคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้ คิดจะลงมือช่วยเหลือ แต่ก็ถูกจั่วชิวจวินยั้งไว้ “ให้เขาทนทุกข์สักหน่อยจนไร้ทางเลือก และต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย จะได้เป็นบทเรียนให้เขา ต่อไปจะได้ไม่ทำตัวเย่อหยิ่งเช่นนี้อีก”
คนอื่น ๆ ได้ยินแล้วจึงเงียบไป ยอมรับคำของจั่วชิวจวินไปโดยปริยาย เพราะคำพูดก่อนหน้านี้ของเฉินซีก็ทำพวกเขาเสียหน้าไม่ใช่น้อย ในเมื่อจั่วชิวจวินว่าเช่นนั้น พวกเขาย่อมใช้โอกาสนี้อย่างเต็มใจ
ทว่าเหล่าศิษย์สำนึกอื่นที่คอยระแวดระวังอยู่กลับถอนหายใจออกมา และรู้สึกยินดีในโชคร้ายของเฉินซีขึ้นมาในใจ ความสัมพันธ์ของเฉินซีกับคนอื่นช่างน่ากลัวยิ่ง กระทั่งศิษย์จากสำนักเดียวกันยังไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะคนผู้นี้เย่อหยิ่งเกินไปกระมัง! แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อจังหวะที่ศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ลงมือ เฉินซีกลับชิงลงมือก่อน ทั้งยังน่าเกรงขามกว่าที่คาดคิดไว้เสียด้วยซ้ำ
…
เฉินซีโกรธขึ้นมาจริง ๆ เขาทนคนเหล่านี้ไม่ไหวแล้ว ไม่เพียงเข้ามาขัดขวางหม้อใบจิ๋ว แต่ยังคิดฉวยโอกาสจากสถานการณ์อีก นับว่าทำเกินไปจริง ๆ
ที่สำคัญคือเขาอยากช่วยหม้อใบจิ๋ว!
ขุมทรัพย์อมตะโบราณเหล่านั้นถูกควบคุมโดยศิษย์ตรงหน้า หากสามารถบีบให้คนเหล่านั้นเข้าต่อสู้ได้ แรงกดดันจากสี่ขุมทรัพย์อมตะโบราณที่ข่มหม้อใบจิ๋วไว้ก็จะไร้ผล
ตูม!
วิชาของพวกศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ทะยานขึ้นฟ้า และมาบรรจบกันเหมือนภูเขาสีแดง ก่อนจะซัดลงมาที่เฉินซี กระแสเพลิงสีเลือดอันน่าเกรงขามจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากภูเขานั้น ผสานเข้ากับพลังกฎแห่งไฟรอบข้างได้อย่างสมบูรณ์
แสดงให้เห็นว่าศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ไม่ธรรมดา สามารถใช้สภาพแวดล้อมในการต่อสู้ได้
น่าเสียดาย แม้พวกเขาไม่ได้ประเมินตนสูงไป แต่ก็นับว่าประเมินศัตรูครั้งนี้ต่ำเกินไป
เฉินซีมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงทองแห่งเซียนทองคำ ฝ่ามือเรียวถือกระบี่ตะขอดาราไว้ มันพลันหายวับไป ก่อนคลื่นกระบี่ทับซ้อนหลายชั้นจะกรีดเสียงระรัวลงมา!
นี่คือเคล็ดกระบี่วารี… มหาสมุทรไร้พรมแดน!
ความต่างเพียงหนึ่งเดียวคือการโจมตีครั้งนี้มีพลังของตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ!
ตูม!
ภูเขาสีแดงเพลิงถูกพลังครั้งนี้ทำลายสิ้น กระจายกลายเป็นสะเก็ดไฟปลิวว่อนทั่วฟ้าแล้วโปรยลงมา ทำให้ผูู้คนสงสัยว่ามันทำมาจากกระดาษหรืออย่างไร เหตุใดท่ากระบี่เดียวยังทานทนไม่ได้
นี่มันอะไรกัน?
ทุกคนต่างตกตะลึง
ต่อจากนั้นปราณกระบี่ก็พุ่งออกมาเป็นแนวราบและแนวตั้ง ทั้งห้าธาตุโคจร ปราณเซียนพิสุทธิ์ที่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันร้อยเท่าพลันปะทุ เข้าโอบล้อมทุกคนตรงหน้าไว้
“ไม่นะ!” เหล่าศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ตื่นตะลึง พยายามต้านด้วยกำลังทั้งหมดที่มี พากันโคจรปราณเซียนพิสุทธิ์สุดกำลังซัดพลังหลากหลายออกไป แต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อเจอกับปรานกระบี่ที่มีตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ
ตูม! ตูม! ตูม!
พริบตาเดียว เงาร่างจำนวนมากก็ต้องส่งเสียงกรีดร้องแล้วถูกดีดกระเด็น กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น หากไม่กระอักเลือด กระดูกหัก ก็บาดเจ็บหนักถึงจิตวิญญาณ
เหตุการณ์นี้ดังลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน กวาดเอาใบไม้แห้งไปในคราวเดียวจนหมดจด ไม่มีใครหาญกล้าต้านทานแรงพลังสูงส่งได้!
ส่งผลให้ศิษย์สำนึกอื่น ๆ ตื่นตะลึงจนหวาดกลัว ไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะมีพลังน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ ทั้งยังยืนอยู่บนสะพานสู่ห้วงลึก เผยแววจองหองอวดดีอย่างถึงที่สุด
ถึงขนาดที่หลายคนมีความคิดขึ้นมาว่า เมื่อครั้งอวิ๋นฝูเซิงท้าประลองสามสำนักด้วยตัวคนเดียวตอนอยู่ขอบเขตเซียนทองคำ พลังต่อสู้ของเขาท้าทายสวรรค์เช่นนี้หรือไม่?
พลังต่อสู้ของไอ้บัดซบคนหนึ่งจะสูงสะท้านฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!? จั่วชิวจวินใจสะท้าน สีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
อ๋าวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ เองก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน พลังต่อสู้ของเฉินซีนั้นสูงมากจนเกินที่ใครจะคาดคิดได้
“ศิษย์น้อง!!!” เมื่อเห็นศิษย์ในสำนักตนพ่ายแพ้ สีหน้าของชายหนุ่มที่คุมขุมทรัพย์อมตะโบราณเพื่อชิงราชาปลาหยินหยางก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เบิกตาแทบถลนแล้วตะโกนดังลั่น
พริบตาต่อมา เขาก็หยิบขุมทรัพย์อมตะโบราณออกมาซัดเข้าหาเฉินซีทันที
ขุมทรัพย์อมตะโบราณนี้คือผลึกสี่เหลี่ยม เต็มไปด้วยแสงเรืองสีเขียวเข้ม บนพื้นผิวสลักไว้ด้วยลวดลายลึกล้ำ กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นรุนแรงจนแทบแยกฟ้าดินออกจากกันได้ ถึงขนาดว่าซัดมหาเต๋าเป็นรูได้ทีเดียว!
นี่คือผนึกเทวศสวรรค์!
สมบัติล้ำค่าที่สืบทอดกันมาในสำนักศึกษาระทมสันต์ เทียบคู่ได้กับน้ำเต้าฟ้าดิน ตามตำนานเล่าไว้ว่า มีผนึกเซียนอยู่สี่อย่างเรียกว่า เทวศสวรรค์ พลิกสวรรค์ เพลิงสวรรค์ และบรรลัยสวรรค์ ทั้งหมดล้วนเป็นขุมทรัพย์อมตะที่มีพลังสูงส่งจนสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งสามภพ
ทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ก็เหลือเพียงผนึกเทวศสวรรค์ที่ยังคงอยู่ในสำนักศึกษาระทมสันต์ ส่วนอีกสามผนึกเซียนโบราณที่เหลือหายไปในภพเซียน และไม่เคยปรากฏอีกเลย
ตอนนี้เมื่อผนึกเทวศสวรรค์ถูกนำขึ้นมาใช้ พลังรุนแรงจึงกรีดฟ้า ปลดปล่อยเสียงดังครืนดั่งสายฟ้าฟาด แสงเรืองสีเขียวเข้มของมันส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน แรงกดดันน่ากลัวสุดขีด
“ผนึกเทวศสวรรค์ ความเกลียดชังไร้ขอบเขตที่แม้แต่สวรรค์ก็ไม่สามารถต้านทานได้ ผืนดินไม่อาจฝืนทน นับว่าเป็นพลังที่รุนแรงจนเกินพรรณนา!” คนอื่น ๆ รอบข้างร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เฉินซีหรี่ตา สีหน้ายังคงความสุขุมไว้ดังเดิม มีเพียงกระบี่ตะขอดาราในมือเขาเท่านั้นที่ระเบิดแสงดาราพร่างพราว เมื่อตวัดมัน ก็ราวกับปลดปล่อยดวงดารานับไม่ถ้วนออกมาด้วย
เคร้ง!
ผนึกเทวศสวรรค์ปะทะเข้ากับกระบี่ตะขอดารา เสียงการปะทะดังก้องดั่งฟ้าลั่นลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า แสบแก้วหูนักจนทำให้กลิ่นอายของศิษย์ที่อยู่โดยรอบสะท้านสะเทือนไม่รู้จบ
ทว่าแรงพลังหลังจากการปะทะกลับยิ่งน่าเกรงขามกว่า มันกวาดออกไปรอบทิศ โอบล้อมไปทั่วทั้งสะพาน หากไม่ใช่เพราะสะพานแห่งนี้มีสนามพลังไร้รูปคอยปกป้องเอาไว้ คงถูกทำลายจนเหลือเพียงผุยผงไปแล้ว
ทว่าทุกคนไม่ได้ตกใจเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะผนึกเทวศสวรรค์กลับถูกกระบี่ของเฉินซีตีถอยกลับมา อีกทั้งมันยังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แทบจะหลุดออกจากการควบคุมด้วยซ้ำ!
ส่วนเฉินซีเพียงถอยกลับไปสามก้าว นอกจากนี้ยังไร้รอยขีดข่วน และกลิ่นอายยังแข็งแกร่งคงเดิม
“หมอนี่ไม่แกร่งเกินไปหน่อยหรือ!”
“กระทั่งขุมทรัพย์อมตะโบราณยังกำราบมันไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามีพละกำลังสูงเกินไปแล้ว”
“น่าเสียดาย เสวี่ยเหลียนฉยงไม่สามารถดึงเอาพลังทั้งหมดของผนึกเทวศสวรรค์มาใช้ได้ ไม่เช่นนั้นแค่แรงปะทะก็สามารถบดขยี้เด็กนั่นเป็นผุยผงได้แล้ว”
ทุกคนมุ่นคิ้ว รู้สึกว่าพลังต่อสู้ของคนผู้นี้สูงเกินไปจริง ๆ
ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มสำนักศึกษาระทมสันต์นามเสวี่ยเหลียนฉยงนั้น ทั้งตกใจและตื่นตะลึง ความโกรธเลือนหาย เขารู้ดีว่าพลังโจมตีครั้งนี้น่าเกรงขามมากเพียงใด เพราะกระทั่งยอดฝีมือในหมู่คนรุ่นเดียวกันยังต้านไว้ได้ยาก ทว่าตอนนี้เฉินซีไม่เพียงสามารถต้านมันไว้ได้ แต่ยังตีผนึกเทวศสวรรค์ให้ถอยกลับมาได้อีกต่างหาก!
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอย่างไรได้?
ก็พิสูจน์ว่าเมื่อครู่หากไม่ใช้พลังผนึกเทวศสวรรค์ เขาคงแพ้เฉินซีไปแล้ว!
ฟ้าว!
เฉินซียังคงไม่สนใจสิ่งใด หลังจากตีผนึกเทวศสวรรค์ให้ล่าถอยกลับไปได้ เขาก็ไม่ลังเล พุ่งเข้าใส่อีกครั้งทันที
“พลังต่อสู้ของเจ้าเด็กนี่น่าสะพรึงกลัวนัก ร่วมมือกันต้านเขาดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เติบโตต่อไป คงต้องกลายเป็นอวิ๋นฝูเซิงคนที่สองแน่!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาใส่พวกตนด้วยท่าทางดุดัน ไม่ใช่เพียงสีหน้าของเสวี่ยเหลียนฉยงที่แปรเปลี่ยนเป็นมืดมน แต่รวมถึงศิษย์สำนึกอื่น ๆ ด้วย หนึ่งในนั้นเสนอขึ้นมาว่าให้โจมตีเข้าพร้อมกัน
ใช้เวลาไตร่ตรองเพียงเสี้ยวลมหายใจ ศิษย์สำนึกคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย
เหตุผลนั้นไม่ซับซ้อน เพราะดูจากท่าทีสูงส่งดุดันของอีกฝ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าคงไม่หยุดเท่านี้เป็นแน่ หรือก็คือหากพวกเขาปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ในอนาคต เฉินซีจะต้องสร้างปัญหาให้พวกตนแน่
ฟุ่บ!
แก้วแวววาวของตะเกียงพลันบินสูง
ชิ้ง!
กระบี่ทองสัมฤทธิ์ที่มีรอยด่างของสนิมผุดขึ้นสู่ฟ้า ตัวกระบี่เผยกลิ่นอายสังหารบดขยี้ห้วงอากาศออกมา
พวกมันคือสองขุมทรัพย์อมตะโบราณนาม ตะเกียงวังไหมเขียว และกระบี่จ้าวโลหิต มาจากสำนักศึกษามหาเดียวดาย กับสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับตามลำดับ มันเป็นขุมทรัพย์อมตะโบราณที่มีพลังเทียบเท่ากับน้ำเต้าฟ้าดิน และผนึกเทวศสวรรค์ มีความลึกล้ำและความสามารถเฉพาะตัว
หรือก็คือจังหวะนี้ ศิษย์สำนักศึกษามหาเดียวดายและสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับต่างหยิบขุมทรัพย์อมตะโบราณของตนออกมา เลิกสู้กับราชาปลาหยินหยาง หันมาโจมตีใส่เฉินซีแทน!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกกดดันมากเพียงใดเมื่อเห็นพลังอันน่าเกรงขามของเฉินซี
“หึ เด็กนั่นไม่รอดแน่” จั่วชิวจวินหัวเราะเสียงเย็น ยังคงยืนดูอยู่ด้านข้าง เขาสั่งศิษย์อาวุโสจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าคนอื่นว่า “ทุกคน อย่าไปหยุดเขาเลย ศิษย์น้องเฉินซีสร้างโอกาสอันดีให้พวกเราแล้ว เราต้องฉวยโอกาสนี้ร่วมมือกับศิษย์พี่อ๋าวจ้านเป่ยจับราชาปลาหยินหยางอย่างสุดกำลังให้ได้ ไม่เช่นนั้นคงทำให้ศิษย์น้องเฉินซีต้องผิดหวังเป็นแน่ ฮ่า ๆๆ!”
พูดจบ เขาก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ หัวเราะเสียงดังลั่น เพราะไม่คิดว่าเฉินซีจะช่วยเหลือพวกตนทางอ้อมได้มากมายเช่นนี้
ถึงแม้คนอื่นจะรู้สึกสงสารอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครต่อสู้กับราชาปลาหยินหยางอีกนอกจากหม้อยาหยกลึกลับ จึงเห็นด้วยกับคำของจั่วชิวจวิน
จริง ๆ แล้วไม่ว่าใครมาเห็นภาพตอนนี้ ก็คงคิดว่าเฉินซีคงไม่อาจรอดพ้นภัยไปได้
ทว่าเฉินซีกลับลอบถอนหายใจโล่งอก เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกกดดัน แต่ก็ช่วยลดแรงกดดันให้หม้อใบจิ๋วได้มาก ในความคิดเขาเพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว
หึ! พวกเจ้ายืนดูอยู่เฉย ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็ไม่ได้หวังให้พวกเจ้ายื่นมือเข้าช่วยอย่างจริงใจอยู่แล้ว! เฉินซีเหลือบตามอง ทันเห็นสีหน้าของจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน นอกจากจะหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจแล้ว การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้เชื่องช้าลงเลย ชายหนุ่มดีดตัวขึ้นฟ้าแล้วพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับกระบี่ในมือ!