บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1268 รางวัลตอบแทน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1268 รางวัลตอบแทน

บทที่ 1268 รางวัลตอบแทน

เสียงของนางประหนึ่งเสียงของธรรมชาติ มันใสกังวาน ไพเราะ นุ่มนวล และน่าสัมผัส ชวนให้เคลิบเคลิ้ม จากนั้นฝนแสงสีม่วงอ่อนโปรยปรายลงมา ขณะที่ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นร่างที่สง่างาม เพรียวบาง และดูแปลกตาราวกับอยู่คนละโลก

แม้แต่เฉินซีที่คุ้นเคยกับโฉมสะคราญมากมายก็ยังรู้สึกอึ้งอยู่เล็กน้อย เพราะหญิงสาวคนนี้งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้จริง ๆ

หลังจากนั้น เฉินซีก็ขมวดคิ้ว และพบว่าเซวียนหยวนอวิ่น วิปลาสหลิ่วหรือชีเซียวอวี่ พวกเขาต่างดูคล้ายกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ตัวคนราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน

“เจ้าทำอะไร?” จู่ ๆ หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหว และเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยท่วงทำนองแห่งเต๋า ตั้งใจจะปลุกเซวียนหยวนอวิ่นและคนอื่น ๆ ให้ได้สติ แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์

“อย่าได้กังวล พวกเขาแค่ไม่ได้ยินเราในตอนนี้” หญิงงามที่ปรากฏตัวจากมุมห้องหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ มือเรียวหยิบไหสุราชั้นเลิศขึ้นมาดม พลันขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สุรานี้ถือได้ว่าธรรมดา มันไม่มีกลิ่นแม้แต่น้อย”

“โอ้” เฉินซีจ้องมองนางด้วยสีหน้านิ่งสงบ แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความระแวงระวัง เพราะหญิงสาวคนนี้ปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และหากไม่ใช่เพราะเนตรเทวะแห่งความจริง เขาแทบจะไม่สังเกตเห็นนางเลย

ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่นางปรากฏตัว นางยังแยกเซวียนหยวนอวิ่นและคนอื่น ๆ ออกจากเขาได้อย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งความสามารถดังกล่าวน่ากลัว และเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!

หญิงสาวคนนี้มีรูปลักษณ์ที่งดงาม รูปร่างสง่าเพรียวบาง ผมสีดำขลับปลิวไสว หน้าผากกลมเกลี้ยงเกลาดุจพระจันทร์ ดวงตาเปล่งประกายด้วยสติปัญญา คิ้วรูปทรงใบหลิว ดวงตาสีดำสดใส และความงามดั่งเทพธิดา

“ลองชิมสุราที่ข้านำมาสิ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากสีแดงระเรื่อเบา ๆ เกิดเป็นรอยยิ้มเสี้ยวเล็ก ๆ จากนั้นก็พลิกฝ่ามือขึ้น ทำให้ไหหยกสีขาวปรากฏขึ้น นางเอียงไหเล็กน้อยและสุราที่ดูเหมือนอำพันสีเขียวก็ไหลออกมา จากนั้นจึงรินใส่จอกสุราให้เฉินซี

ทันใดนั้นกลิ่นหอมชวนมึนเมาก็ฟุ้งกระจายไปรอบ ๆ และดูเหมือนว่ามันจะแทรกซึมไปถึงส่วนลึกของกระดูก

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด และสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า พลังงานที่บรรจุอยู่ในสุรานี้ถือว่าเข้มข้นมากจริง ๆ เพียงแค่กลิ่นของมัน ก็ทำให้พลังชีวิตในร่างกายมีชีวิตชีวาขึ้น และมันก็ไม่ด้อยไปกว่าสมุนไพรอมตะชั้นเลิศเลยสักนิด

“สุราไว้ดื่มในภายหลัง ข้าแค่อยากทราบว่าด้วยความสามารถของแม่นาง มันไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีจากการไล่ล่าของคนเหล่านั้น แล้วเหตุใดถึงเจ้าถึงมาหลบในห้องนี้?”

เฉินซีจ้องมองที่หญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาลุ่มลึกดุจดวงจันทร์ในบ่อน้ำโบราณ เนื่องจากหญิงสาวคนนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ท่าทางของนางจึงดูวิเศษและมีชีวิตชีวา ครอบครองความงามเหนือโลก แต่ทุกการเคลื่อนไหวและการกระทำกลับมีเสน่ห์ตามธรรมชาติอย่างเหลือล้น นางเป็นเหมือนการหลอมรวมระหว่างเทพธิดาและนางปีศาจ ทำให้มีเอกลักษณ์มาก

ที่สำคัญที่สุด เขารู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านั้นอันตรายอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ เขายังไม่สามารถมองเห็นพลังที่แท้จริงของนางได้ ความระแวดระวังพวยพุ่งอยู่ในอก

“โอ้ ไม่เคยมีศิษย์จากเขาเทพพยากรณ์คนไหนที่ขี้ขลาดเหมือนเจ้ามาก่อน” ทันใดนั้นหญิงสาวก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ซึ่งเผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัวสวย นางจึงดูงดงามและน่าหลงใหล ยิ่งกว่านั้น เสียงของนางยังมีร่องรอยหยอกล้อไม่น้อย “หรือกลัวว่าข้าจะกินเจ้า?”

เฉินซีรู้สึกตกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเปิดเผยตัวตนของเขา!

‘หญิงสาวคนนี้คงจะไม่ใช่ผู้สืบทอดของตำหนักเต๋าหนี่หวาหรือนิกายอำนาจเทวะกระมัง?’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากล่าวอย่างใจเย็น “แม่นาง ไยไม่ลองดูว่าข้าขี้ขลาดหรือไม่?”

ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็มั่นใจมากขึ้นว่าหญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะมาหาตนโดยเฉพาะ!

“โอ้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ากล้าหาญหรือไม่?” หญิงสาวกล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเผยอเย้ายวน แสดงท่าทางที่น่าหลงใหลอย่างแปลกประหลาด

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก แต่หลังจากเงียบอยู่นาน จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เหยียดมือออกไป นิ้วทั้งห้ากางออกจากกัน และเคลื่อนตรงเหมือนสายฟ้าคว้าคอของหญิงสาวตรงหน้า

ฟิ่ว!

การโจมตีครั้งนี้ค่อนข้างกะทันหัน และทันทีที่ลงมือ ตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุก็ระเบิดพลังออกมาอย่างดุร้าย ซึ่งในระยะใกล้เช่นนี้ เฉินซีมั่นใจว่านางคงยากจะหลบเลี่ยงได้

แต่หญิงสาวกลับยิ้มอย่างอ่อนหวาน ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ขยับเลยสักนิด แต่กระแสพลังที่ไร้รูปร่างได้หลั่งไหลออกมาจากร่างกายเพรียวบาง ทำให้ฝ่ามือของเฉินซีไม่อาจเคลื่อนไปถึงคอของนางได้!

ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ทว่าในจังหวะที่รั้งมือกลับ ข้อมือของหญิงสาวก็พลิกขึ้นกะทันหัน และคว้าหมับเข้าที่ฝ่ามือของเฉินซี

เมื่อมือที่เรียวยาวดั่งหยกของหญิงสาวคว้าลงบนฝ่ามือของอีกฝ่าย มันให้ความรู้สึกที่เย็นเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ในที

ปลายนิ้วของนางขยับเบา ๆ ลูบไล้ฝ่ามือของชายหนุ่ม ทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นพลุ่งพล่านไปทั่วกาย เฉินซีรีบรั้งแขนกลับทันที ในขณะที่แสดงสีหน้าโกรธเคือง พร้อมกับกัดฟันกล่าว “เจ้าเป็นใครกันแน่? มีธุระอันใด?!”

“ข้าล้อเล่น แค่นี้ก็โกรธหรือ?” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ร่างกายที่เย้ายวนสั่นไหวเล็กน้อย และร่างที่ขาวราวหิมะก็อบอวลไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าหลงใหล นางเป็นเหมือนดอกบัวน้ำแข็งที่ส่ายไปมาตามสายลม เกิดเป็นภาพงดงามจับใจ

เฉินซียังคงเงียบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากขณะจ้องนางอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น เขารู้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของนางอาจเหนือกว่าตนมาก มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือการโจมตีเมื่อครู่ได้อย่างง่ายดาย

“โอ้ ทั้งที่เจ้าเป็นคนเริ่มก่อน หากกล่าวตามเหตุผลแล้วข้าควรจะเป็นฝ่ายโกรธเสียด้วยซ้ำ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากสีแดงระเรื่อ นิ้วเรียวยาวเริ่มม้วนปอยผมสีดำสนิทเล่นด้วยท่าทียั่วเย้า

หลังจากนั้น เมื่อนางเห็นเฉินซียังคงนิ่งเงียบและจ้องมองนางอย่างระมัดระวัง นางก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าคงเข้าใจแล้วว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”

เฉินซีทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงหยิบไหสุราขึ้นและดื่มมันในรวดเดียว ชายหนุ่มลิ้มรสมันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะกล่าวเสียงทุ้ม “สุราดี”

มันเป็นสุราที่ดีจริง ๆ กลมกล่อมและยอดเยี่ยม กลิ่นหอมที่อธิบายไม่ได้ ทันทีที่มันไหลเข้าไปในลำคอ ความเย็นเสียดท้องก็กลายเป็นกระแสความอบอุ่นที่แล่นไปทั่วกาย ทั้งยังมีพลังที่น่าตกใจ และทำให้การบ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่งในทันที

หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนหวานเมื่อเห็นสิ่งนี้ “เจ้าไม่กลัวแล้วหรือ?”

เฉินซีไม่ได้ละสายตาจากนาง และเพียงแค่จ้องไปที่ไหสุราในมือ “ไม่ว่าจะในกรณีใด ข้าก็เอาชนะเจ้าไม่ได้ ดังนั้นต่อให้ข้าระวังตัวก็เปปล่าประโยชน์”

“ไม่เลว เช่นนั้นเรามาคุยธุระกันเถอะ” หญิงสาวชักรอยยิ้มกลับเมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าดูบริสุทธิ์และไร้ความรู้สึก ในขณะที่ประกายแห่งชีวิตชีวาฉายแสงอยู่ที่หว่างคิ้ว ดวงตาที่ใสดุจน้ำจ้องมองเฉินซีแล้วกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงในปีหน้า จากนั้นช่วยไปที่สถานที่หนึ่งกับข้า”

“ช่างเป็นเงื่อนไขที่แปลกอะไรอย่างนี้!” ความคิดแล่นเข้าสู่หัวใจของเฉินซีทันที “หนึ่งปี? เป็นไปไม่ได้”

“ช่างน่าขันอะไรอย่างนี้ เพราะการที่ข้าบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางได้นั้น เป็นเพราะการเผชิญหน้ากับอุปสรรคในสุสานแห่งนั้น และแม้แต่ตัวข้าเองก็รู้สึกว่าไม่มีความหวังมากนัก หากจะบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงภายในหนึ่งปี”

“เจ้าทำได้” นัยน์ตาของหญิงสาวเปล่งประกายแวววาว นางดึงกล่องหยกออกมาและเปิดมันช้า ๆ “สำหรับรางวัลตอบแทน สมบัติชิ้นนี้จะเป็นของเจ้าเมื่อเรากลับมาจากที่นั่น”

เดิมทีเฉินซีตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เมื่อจ้องมองไปที่กล่องหยก เขาก็ตกตะลึงทันที “ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก?”

มันเป็นวัตถุรูปทรงกระดองเต่าที่แตกหักซึ่งมีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ มันดำสนิท อีกทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณและลึกลับ ในปัจจุบันเฉินซีได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมาห้าชิ้นแล้ว ดังนั้นเขาจะจำมันไม่ได้ …ได้อย่างไร

‘หญิงสาวคนนี้เป็นใครกัน? นางไม่เพียงรู้ว่าข้ามาจากเขาเทพพยากรณ์ แต่ทั้งยังรู้ว่าข้าตามหาชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมาโดยตลอด!’

จู่ ๆ คลื่นลูกใหญ่ก็เกิดขึ้นในใจของชายหนุ่ม และรู้สึกมากขึ้นว่าภูมิหลังของหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา

“แล้วเราจะไปที่ใดกัน?” เฉินซีเงียบไปนาน ก่อนที่จะละสายตาจากกล่องหยก สีหน้าพลันสงบลง เนื่องจากหญิงสาวสามารถใช้สมบัติดังกล่าวเป็นรางวัลตอบแทนได้ ดังนั้นนางจะต้องมีแผนการอย่างแน่นอน และนี่ก็หมายความว่าอันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน เขาจึงต้องตรวจสอบให้แน่ชัด

“เจ้าจะได้รู้เมื่อถึงเวลา” หญิงสาวเก็บกล่องหยกไป

“อย่ากังวลไป เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไม่ยอมให้มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นแก่เจ้าอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเขาเทพพยากรณ์คงไม่ปล่อยข้าไปแน่ และนั่นจะทำให้ข้าปวดหัวยิ่งกว่าการถูกไล่ล่าเสียอีก” เมื่อนางกล่าวมาถึงจุดนี้ ดวงตาที่สุกใสก็เปล่งประกายด้วยปัญญา รอยยิ้มอันสงบของนาง ทำให้ดูเหมือนปกคลุมด้วยกลิ่นอายลึกลับอันยิ่งใหญ่ และทรงพลังอย่างสุดจะพรรณนาได้…

เฉินซีครุ่นคิดในใจ ‘นางเหมือนจะเกรงกลัวเขาเทพพยากรณ์จริง ๆ ดังนั้นการรับมือจึงเป็นเรื่องง่าย อย่างน้อยที่สุดหากนางคิดร้ายต่อข้า นางจะต้องไตร่ตรองถึงผลที่มาจากการล่วงเกินเขาเทพพยากรณ์เสียก่อน’

“ฮิ ๆ ข้าต้องไปแล้ว พลังของร่างอวตารวิญญาณนี้ลดลงไปมาก ถ้าข้ายังไม่กลับไป ร่างที่แท้จริงของข้าอาจตกอยู่ในอันตราย จำไว้ว่าข้าจะมาพบกับเจ้าอีกครั้งในอีกหนึ่งปีข้างหน้า แน่นอนถ้าเจ้าบรรลุก่อนถึงเวลาที่กำหนด เจ้าก็มาหาข้าได้ที่ทวีปรัตติกาล” หญิงสาวคนนั้นเหยียดร่างที่สง่างามขึ้น เกิดเป็นเส้นโค้งอันน่าทึ่ง จากนั้นก็แย้มรอยยิ้มอย่างอ่อนหวานให้เฉินซี แล้วจึงกลายเป็นฝนแสงสีม่วงอ่อนที่แผ่กว้างและกำลังจะจากไป

ร่างอวตารวิญญาณ?

นั่นไม่ใช่ร่างอวตารที่ควบแน่นจากพลังงานสูงสุดหรอกหรือ?

เฉินซีรู้สึกตกใจอย่างมาก ก่อนที่จะรู้สึกประหลาดใจในที่สุด เกรงว่าความแข็งแกร่งของนางน่าจะเหนือกว่าขอบเขตเซียนปราชญ์!

“ช้าก่อน เจ้ายังไม่ได้บอกนามของเจ้าเลย” เมื่อเห็นฝนแสงสีม่วงอ่อนกำลังจะหายไปอย่างสมบูรณ์ เฉินซีก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นต่อไปได้ และตะโกนถามด้วยเสียงดังลั่น

“โอ้ เรียกข้าว่าเตียนเตี้ยน ไม่ว่าในกรณีใด ๆ คนจากเขาเทพพยากรณ์ทั้งหมดต่างรู้เรื่องนี้ แต่เจ้าไม่สามารถบอกคนอื่นได้ เข้าใจหรือไม่?” ท่ามกลางเสียงที่แผ่วเบา คมชัด และก้องกังวานของนาง ฝนปรอยก็หายไปอย่างสมบูรณ์

“เตียนเตี้ยนหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ชื่อจริงของนาง…”

เฉินซีจ้องมองไปยังบริเวณที่สายฝนหายไป และจมดิ่งสู่การครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง… รูปลักษณ์ของหญิงสาวคนนี้แปลกนัก ข้าสงสัยว่านางวางแผนจะทำอะไร? เหตุใดถึงต้องการให้ข้าร่วมมือกับนาง หรือนางสนใจสมบัติที่ข้าครอบครอง? หรือต้องการใช้ตัวตนของข้าในฐานะศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์?

ทวีปรัตติกาล? นางคงไม่ใช่ราชันเซียนรัตติกาลผู้ลึกลับหรอกกระมัง?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็ส่ายศีรษะทันที เพราะตัวตนอย่างราชันเซียนนั้น เป็นตัวตนที่สูงส่ง ดังนั้นแม้ราชันเซียนจะต้องการไปที่ไหนสักแห่ง แล้วจะต้องร่วมมือกับเซียนทองคำได้อย่างไร

ในขณะเดียวกัน เซวียนหยวนอวิ่น วิปลาสหลิ่ว และชีเซียวอวี่ก็กลับมารู้สึกตัวเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้างุนงง และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รับรู้เรื่องเมื่อครู่แม้แต่น้อย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท