บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1269 ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1269 ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

บทที่ 1269 ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

อากาศภายในห้องส่วนตัวยังคงมีร่องรอยของกลิ่นหอมเย็นเฉียบและกลมกล่อมจากสุรา ชวนให้เคลิบเคลิ้ม

เซวียนหยวนอวิ่น วิปลาสหลิ่ว และชีเซียวอวี่ต่างก็มึนงงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น? ร่างที่ก่อตัวขึ้นจากอากาศนั้นอยู่ที่ใด? ไยถึงหายไปแล้ว?”

“นางจากไปแล้ว” เฉินซีอธิบายสั้น ๆ ที่จริงแม้แต่เขาก็ไม่รู้แน่ชัดว่าหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าเตียนเตี้ยนใช้ความสามารถอะไรในการแยกประสาทสัมผัสของเซวียนหยวนอวิ่นและคนอื่น ๆ

“นางจากไปแล้วหรือ?” เซวียนหยวนอวิ่นตกตะลึง และกำลังอ้าปากเพื่อกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเฉินซีขมวดคิ้ว เขาก็หุบปากเงียบทันที เพราะสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ควรถาม

“ไปกันเถอะ”

เฉินซีหมดความสนใจในอาหารมื้อนี้แล้ว และไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป

เซวียนหยวนอวิ่น วิปลาสหลิ่ว และชีเซียวอวี่ไม่คัดค้าน พวกเขาลุกขึ้นยืนและออกจากห้องรับรองส่วนตัวพร้อมกับเฉินซีทันที

ทว่าเมื่อพวกเขาก้าวออกจากห้อง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินปรี่ตรงมา

บุคคลที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มร่างสูงที่สวมชุดคลุมธรรมดาหลวม ๆ เส้นผมยาวสลวยถึงไหล่ รูปลักษณ์หยาบกร้าน ย่างก้าวอย่างทรงพลัง และมีประกายสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวในดวงตาอย่างไม่มีใครเทียบได้

น่าแปลกที่กลุ่มของเมิ่งถงกำลังตามหลังชายผู้นั้นมาอย่างกระชั้นชิด พวกเขาทั้งหมดมีใบหน้าฟกช้ำและสีหน้าเศร้าหมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นกลุ่มของเฉินซีเดินออกจากห้องรับรองส่วนตัว สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“หืม?” ชายผู้นั้นหยุดก้าวเดิน พลางกวาดสายตาไปทางเฉินซีราวกับสายฟ้าเยียบเย็น คล้ายจำเฉินซีได้ ทำให้คิ้วที่หนาและดำสนิทขมวดเข้าหากัน

เซวียนหยวนอวิ่นก็ตกใจเช่นกัน เขารีบกล่าวผ่านกระแสปราณไปหาเฉินซีว่า “คนผู้นี้คือเมิ่งฉี อยู่อันดับที่สามสิบในเทียบอันดับตราดาราม่วงของสำนักฝ่ายใน เมื่อครู่เราได้ทุบตีสหายของเขา ดังนั้นเขาน่าจะมาเพื่อล้างแค้น”

ตอนนั้นเองที่เฉินซีตระหนักได้อย่างฉับพลัน เมื่อเพ่งสายตาไปทางเมิ่งฉี จึงสังเกตเห็นว่า คนผู้นั้นมีกลิ่นคาวเลือดหนาแน่น เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาและผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน

“ศิษย์สายในเหล่านี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ กลิ่นอายดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่มีศิษย์สายนอกคนใดเทียบเคียงได้” เฉินซีดูเหมือนจะจมอยู่กับความคิด

ทว่าเมิ่งฉีไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้เฉินซียำเกรงได้ ชายหนุ่มจึงตั้งใจที่จะจากไปทันที

“นี่เจ้าคิดจะหนีหรือ? หยุดอยู่ตรงนั้นซะไอ้บัดซบ!”

“พี่ใหญ่เมิ่งฉี เป็นเพราะคนพวกนี้ ถ้าพวกมันไม่หยุดเรา เราคงจับหัวขโมยน้อยนั่นได้นานแล้ว!”

“บัดซบ! เจ้าหัวขโมยนั่นดันขโมยไหสุราที่เราตั้งใจจะมอบให้พี่ใหญ่เมิ่งฉีโดยเฉพาะ เราเกือบจับตัวหัวขโมยนั่นได้แล้ว แต่คนพวกนี้กลับทำมันพัง!”

เมื่อเห็นว่าเฉินซีกำลังจะจากไป เมิ่งถงและคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้ และพุ่งตัวออกไปเพื่อขวางทางอีกฝ่ายไว้ พลางด่าทอด้วยน้ำเสียงดุร้าย

ไหสุราถูกขโมยไป? เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเอง “สุราที่เตียนเตี้ยนนำมา คงไม่ใช่สุราที่คนเหล่านี้ตั้งใจมอบให้กับเมิ่งฉีใช่หรือไม่?”

“อะไร? พวกเจ้ายังถูกทุบตีไม่พออีกหรือ? ผิวของพวกเจ้าคงเริ่มคันอีกแล้วกระมัง?” เซวียนหยวนอวิ่นแค่นหัวเราะ ทั้งยังกวาดตามองเมิ่งถงและคนอื่น ๆ ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเมิ่งฉี แม้สีหน้าจะเย็นชา แต่ก็เผยท่าทียั่วยุอยู่ราง ๆ

เมิ่งฉีขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นจึงโบกมือเพื่อห้ามคนอื่น ๆ ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าไม่คิดว่าจะมีศิษย์น้องมากินอาหารที่นี่ ดูเหมือนว่าคนของข้าจะเสียมารยาทแล้ว”

“ศิษย์น้อง?” คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเมิ่งฉีตกตะลึง และมีสีหน้าตกใจเมื่อตระหนักได้ในที่สุด “ที่แท้พวกเขาก็เป็นศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ไม่แปลกใจที่พวกเขากล้าอวดดีเช่นนั้น”

“ในเมื่อรู้ว่าตัวว่าเสียมารยาท แล้วทำไมยังยืนอยู่เฉยอยู่อีก? อย่าบอกนะว่าที่พวกเจ้ามาที่นี่อย่างก้าวร้าวก็เพียงเพื่อจะขออภัย?” เซวียนหยวนอวิ่นกล่าวอย่างไร้ปรานี

เมิ่งถงและคนอื่น ๆ พลันโกรธอย่างสุดขีด เพราะแม้ทั้งสามจะมาจากสำนักเดียวกัน แต่ศิษย์น้องที่กล้าพูดจาโอหังกับศิษย์อาวุโสเช่นนี้ ถือว่าอวดดียิ่ง!

ทว่าเมิ่งฉีไม่ใส่ใจต่อท่าทีเช่นนี้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่สนใจเซวียนหยวนอวิ่นเลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็จ้องมองพินิจเฉินซีอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าศิษย์น้องเฉินซีเป็นอันดับหนึ่งของการสอบของเขตฝ่ายใน เมื่อได้พบเจ้า ชื่อเสียงนี้คู่ควรกับเจ้าแล้วจริง ๆ”

เฉินซีพูดเสียงเรียบ “ศิษย์พี่กรุณาเกินไปแล้ว”

เมิ่งฉียังคงสงบนิ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “ทว่าเขตฝ่ายในไม่เหมือนกับเขตฝ่ายนอก ศิษย์น้องได้ล่วงเกินตระกูลจั่วชิว และในฐานะศิษย์พี่ ข้าขอเตือนเจ้าว่า เจ้าควรระมัดระวังเมื่อเข้าสู่เขตฝ่ายใน เพราะหากต้นไม้ยิ่งเติบโตสูงเท่าใด มันก็ยิ่งล้มลงยากขึ้นเท่านั้น”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็เหลือบมองเฉินซีอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะหันหลังกลับและจากไป

เมิ่งถงและคนอื่น ๆ ตกตะลึง ไม่คาดคิดว่ามันจะจบลงเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็รู้ตัวว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ จึงทำได้เพียงจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจและรีบเดินตามหลังเมิ่งฉีไปติด ๆ

“พี่ใหญ่เมิ่งฉี เราจะปล่อยมันไปอย่างนั้นหรือ?”

“เราวางแผนและเตรียมการมานาน กว่าที่จะซื้อสุราไหนั้นมาอย่างยากลำบากจากปรมาจารย์ด้านการบ่มสุรา บอกตามตรง เราค่อนข้างไม่พอใจที่มันถูกขโมยไป”

“เฮ้อ หยุดเถอะ พวกเจ้าไม่สังเกตบ้างหรือ พี่ใหญ่เมิ่งฉีได้ตัดสินใจแล้ว?” ในระยะไกล เสียงของเมิ่งถงและคนอื่น ๆ ยังคงได้ยินอย่างแผ่วเบา

“ไอ้สารเลวเหล่านี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันพึ่งพาบารมีของเมิ่งฉี มิฉะนั้นอย่าเรียกข้าว่าเซวียนหยวน ถ้าข้าปล่อยให้พวกมันคนใดคนหนึ่งก้าวออกไปจากที่นี่!” พวกเขาไม่พอใจและเซวียนหยวนอวิ่นก็เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงเย็น แต่แม้จะกล่าวอย่างดุเดือด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขายำเกรงต่อเมิ่งฉีอยู่หลายส่วน

เฉินซีกลับยิ้มแทน ในขณะที่มองดูเมิ่งฉีและคนอื่น ๆ จากไป “ไปกันเถอะ”

เซวียนหยวนอวิ่นพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าคำพูดประโยคสุดท้ายของเมิ่งฉีนั่นมีเจตนาร้าย”

“เพราะมันคือเขตฝ่ายใน การแข่งขันของที่นั่นย่อมโหดร้ายกว่าเขตฝ่ายนอกเป็นธรรมดา แต่ถ้าเขาตั้งใจจะมารังแกข้า คนที่ต้องระวังก็คือเขา” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น แม้มันจะไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ในน้ำเสียง แต่กลับแสดงถึงความมั่นใจและเหนือกว่าชัดเจน

ในวันเดียวกัน เฉินซีและเซวียนหยวนอวิ่นได้ส่งวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ไปยังที่พักของตระกูลเซวียนหยวนที่อยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์ ในที่สุดเฉินซีก็วางใจได้ เมื่อเห็นว่าตระกูลเซวียนหยวนได้จัดแจงสถานที่บ่มเพาะชั้นเลิศ ซึ่งมีการป้องกันแน่นหนาให้กับวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ เขาจึงหันหลังกลับและจากไปได้อย่างสบายใจ

ณ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ภายในเคหาระดับจักรพรรดิบนภูเขาเมฆาไพศาล

ทันทีที่กลับมา เฉินซีก็ถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนพื้น

มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ เพราะทันทีเขากลับมาจากสมรภูมินอกพิภพ เขาก็ได้รับยันต์หยกสื่อสาร จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทวีปเซียนสายหมอกกับเซวียนหยวนอวิ่น แล้วช่วยชีเซียวอวี่ที่ถูกจับเป็นทาส ก่อนจะบุกเข้าไปในเขตเหมืองหลอมวิญญาณอย่างดุดัน เพื่อช่วยอาจารย์ของตนอย่างวิปลาสหลิ่ว และท้ายที่สุดก็ถูกศิษย์ของตระกูลจั่วชิวที่อยู่ภายในเมืองเซียนสัประยุทธ์ยั่วยุ…

เมื่อหวนคิดว่าตนมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ทั้งที สหายของเมิ่งฉี ซึ่งเป็นศิษย์สายในก็สร้างปัญหาให้กับตน เดิมทีชายหนุ่มตั้งใจจะรักษาไมตรีและแก้ไขปัญหา แต่ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่เรียกว่าเตียนเตี้ยนจะปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่นางจะรู้ตัวตนของเขาในฐานะศิษย์เขาเทพพยากรณ์ แต่นางยังตั้งใจให้เขาร่วมมือกับนางในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เพื่อรับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเป็นรางวัลตอบแทน…

สรุปแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ และทำให้เฉินซีรู้สึกเหนื่อยล้า จิตใจสับสน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว

“โชคดีที่ข้าจะกลายศิษย์สายในอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันนี้ และถือได้ว่าไม่ต้องแบกรับภาระใด ๆ อีก” เฉินซีเริ่มคิดถึงเส้นทางในอนาคตของตน

เพียงอาศัยตำแหน่งในฐานะอันดับหนึ่งในการสอบของเขตฝ่ายใน มันก็เพียงพอที่จะเข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าได้อย่างราบรื่นในอีกสามปีข้างหน้า และค้นหามรดกของจักรพรรดิเต๋าจากภายในนั้น

ตอนนี้ชายหนุ่มจำเป็นต้องรวบรวมแต้มดาราให้เพียงพอ เพราะด้วยวิธีนี้ ตราบใดที่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า เขาจะสามารถซื้อชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ในคราวเดียว

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้หลังจากได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าแล้วเท่านั้น

นอกจากนี้ เฉินซียังต้องบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียร เพราะหากสามารถทะลวงขอบเขตได้อีกครั้งภายในหนึ่งปี และบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง เขาก็สามารถร่วมมือกับเตียนเตี้ยน หญิงสาวผู้ลึกลับคนนั้น และได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีอีกชิ้นจากนาง

ทว่าเฉินซียังคงสงวนท่าทีและระแวดระวังอย่างมากต่อเรื่องนี้ การร่วมมือกับนางในอีกหนึ่งปีนับจากนี้ เขาจะต้องเตรียมการล่วงหน้าอย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงกับการเผชิญภัยพิบัติใด ๆ

“โอ้ ข้าคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมผู้อาวุโสจั่วชิวไท่อู่ด้วย เพื่อที่จะได้ถามเขาเกี่ยวกับตระกูลจั่วชิว แต่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หลังจากเข้าไปในเขตฝ่ายใน ค่อยหาเวลาไปเยี่ยมเขาก็ยังไม่สาย และด้วยตัวตนในฐานะหัวหน้าอาจารย์ของเขตฝ่ายใน เขาคงไม่ปฏิเสธการมาเยี่ยมของข้า…” ขณะที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งอย่างต่อเนื่อง เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ และเวลาก็ดูเหมือนจะน้อยลงเรื่อย ๆ

“หมื่นปีนั้นยาวนานเกินไป สิ่งที่ข้าต้องทำคือใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด”

เฉินซียักไหล่พลางหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ในใจกลับตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อแรงกดดันที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้น มันจะพิสูจน์ทางอ้อมว่าตนได้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือมารดาอย่างจั่วชิวเสวี่ย หรือการค้นหาเกี่ยวกับความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองและภูเขาเซียนสายหมอก…

หากเป็นในอดีต ชายหนุ่มคงได้แต่ฝืนยืนกรานอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้หรือไม่ แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขาตั้งหลักในภพเซียนได้แล้ว และมีพลังฝีมือที่น่าเกรงขาม ดังนั้นความหวังเล็ก ๆ ที่เคยมีในอดีต ก็ชัดเจนมากขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘มีแต่ต้องพากเพียรเท่านั้น แล้วความหวังจะมาปรากฏตรงหน้า’

“น่าเสียดาย พลังข้ายังไม่เพียงพอ ข้าต้องใช้เวลาบ่มเพาะให้คุ้มค่าที่สุด!” หลังจากนั้น ท่าทางที่เชื่อมั่นปรากฏบนใบหน้าของเฉินซี เมื่อเป้าหมายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ความหวังที่จะทำสำเร็จก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน รวมถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือ พากเพียรบ่มเพาะและยืนหยัดในเส้นทางของตนต่อไป

เพราะเส้นทางนี้อันตรายเกินไป และไม่อาจมีข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งยังไม่มีที่ว่างให้เหลาะแหละและอ่อนแอ!

“ฮึ่ม! ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ” ทันใดนั้น จู่ ๆ หม้อใบจิ๋วก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายและมีความสุข

“เจ้าประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรหรือ?” เฉินซีตกตะลึงในขณะที่ความคิดถูกขัดจังหวะ

“โดยปกติแล้ว ย่อมเป็นการขัดเกลาหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์ ลองดูมันสิ แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถใช้มันกับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้าได้ แต่มันก็เป็นสมบัติที่จำเป็นในการบ่มเพาะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลก”

ขณะที่กล่าว ร่างของหม้อใบจิ๋วก็เปล่งรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมา พร้อมกับเสียงแปลก ๆ ดังกระจายไปทั่วเคหา ซึ่งเฉินซีก็สังเกตเห็นได้ราง ๆ ว่า ภายในรัศมีที่สวยงามและพร่ามัว มีหม้อสัมฤทธิ์โบราณเก้าใบลอยอยู่ในอากาศ …

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท