บทที่ 1275 เหนือความคาดหมาย
บทที่ 1275 เหนือความคาดหมาย
ฟู่!
มีเสียงถอนหายใจดังก้องในห้องโถง และพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มผู้เงียบขรึมที่เข้ามาในห้องโถง ในยามต่อสู้กลับมีกลิ่นอายที่ดุร้ายและน่ายำเกรงได้ถึงปานนี้
ชายหนุ่มร่างกำยำผู้นั้นมีนามว่า เมิ่งทา เขาถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเขตฝ่ายใน ครองอันดับที่แปดสิบสามของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง ซึ่งมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง
แต่ที่สำคัญที่สุด คือพลังฝีมือของเมิ่งทานั่นไม่ธรรมดาเหมือนกับอันดับของเขา ในยามต่อสู้ เขาจะน่าเกรงอย่างหาที่เปรียบมิได้ และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนที่มีอันดับสูงกว่า ก็ไม่กล้าเผชิญหน้าอย่างบุ่มบ่าม
แต่ตอนนี้เพียงแค่เสี้ยวพริบตา เมิ่งทากลับถูกยกขึ้นเหมือนไก่และฟาดลงกับพื้นอย่างกับขยะ จนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก!
นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไป!
“ดั่งที่คาดไว้ ข้ารู้ว่าผู้ที่สามารถเป็นอันดับหนึ่งในการสอบของเขตฝ่ายในได้นั้น ย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” ศิษย์สายในหลายคนรู้สึกโชคดีที่พวกตนไม่ได้แส่หาเรื่องก่อนหน้านี้
ขณะที่มองเมิ่งทาซึ่งกำลังร้องโหยหวนอยู่บนพื้น ความโกรธในใจของเฉินซีก็คลายลงเล็กน้อย เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่ขวางทางข้า และไม่โจมตีข้าโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ บางทีข้าอาจจะสุภาพกับเจ้าได้ แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่คู่ควรกับมัน และในอนาคต ข้ายินดีรับคำท้าของเจ้าได้ทุกเมื่อ แต่ครั้งหน้าข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีก็ตบมือ ก่อนจะหันไปมองชิงเยี่ยที่ดูมึนงง พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกันเถอะ”
ชิงเยี่ยพยักหน้า จากนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ศิษย์พี่เฉินซี การต่อสู้ในสำนักจะทำให้ถูกหักแต้มดารา”
เฉินซีกล่าวว่า “ข้ารู้ มันก็แค่แต้มดาราหนึ่งหมื่นแต้ม”
“แต่ท่านไม่รู้หรือว่า การต่อสู้ระหว่างศิษย์สายในจะทำให้ถูกหักหนึ่งแสนแต้มในทุก ๆ ครั้ง” ชิงเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
เฉินซีตกตะลึงทันที ก่อนมุมปากจะกระตุกอย่างเหลือเชื่อ “เขตฝ่ายในนี้…ไม่เหมือนกับเขตฝ่ายนอกจริง ๆ!”
ชิงเยี่ยยิ้มอย่างเขินอาย เมื่อเห็นเฉินซีเข้าใจข้อเสียของการวิวาทแล้ว “ข้ารู้สึกว่าความหมายของการบ่มเพาะไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านการต่อสู้ และในอนาคต ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่ตัดสินทุกสิ่งด้วยกำลัง เพราะบางครั้งการต่อสู้อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเสมอไป”
เฉินซีพยักหน้า แม้ชิงเยี่ยจะดูเหมือนยังเด็ก แต่เขาก็เป็นศิษย์ของฉือฉางเซิง และเพราะมีนิสัยที่บริสุทธิ์และไม่ชอบการต่อสู้ ที่เขาพูดมันจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
“ช้าก่อนศิษย์น้อง! มันไม่ถูกต้องที่จะจากไปหลังจากทำร้ายคนจริงหรือไม่?” เมื่อเห็นเฉินซีกำลังจะจากไป ศิษย์สายในอีกคนก็ก้าวเท้าออกมา
เขามีผมสีเงิน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่ง และสวมเสื้อคลุมสีเงินหลวม ๆ ทุกการเคลื่อนไหว ยังแผ่กลิ่นอายกดดันและเหนือกว่าอย่างชัดเจน
“เจี้ยงอวี่คงไม่สามารถทนดูต่อไปได้ หลังจากที่เมิ่งทาถูกทุบตี”
“ศิษย์พี่เจี้ยงอวี่อยู่ในอันดับที่สี่สิบห้าในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง และแม้อันดับจะด้อยกว่าเฉินซี แต่ถ้าในแง่ของพลังฝีมือ บางทีเฉินซีอาจด้อยกว่า”
“ถูกต้อง ศิษย์พี่เจี้ยงอวี่เป็นศิษย์ของตระกูลเจี้ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ เขาบ่มเพาะที่เขตฝ่ายในมาเป็นเวลาพันปี และยังครอบครองสมบัติอมตะโบราณที่สืบทอดภายในตระกูลเจี้ยง ถ้าเขาเคลื่อนไหวเพื่อจัดการศิษย์ใหม่อย่างเฉินซี ย่อมสามารถสยบความเย่อหยิ่งของคนผู้นี้ได้อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นชายหนุ่มผมสีเงินเดินออกไป ผู้คนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน สายตามองมาเต็มไปด้วยร่องรอยความยินดีจากความโชคร้ายของเฉินซีไม่มากก็น้อย
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าจะยังมีคนที่ขวัญกล้าและก้าวเท้าออกมาภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
หรือเมื่อครู่ข้าจะจัดการกับเมิ่งทาเบาเกินไป และยังไม่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู?
“ศิษย์พี่เจี้ยงอวี่…” ชิงเยี่ยกล่าวอย่างระมัดระวังคล้ายตั้งใจจะปรามเจี้ยงอวี่ ทว่าอีกฝ่ายกลับขัดจังหวะ และแสดงสีหน้าเรียบเฉย “ชิงเยี่ย นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยออกไปซะ”
“แต่…” ชิงเยี่ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่เฉินซีเพิ่งเข้ามาที่เขตฝ่ายในวันนี้ ซึ่งข้ารับผิดชอบในการต้อนรับและจัดแจงสถานที่บ่มเพาะให้เขา ในเมื่อข้าเป็นคนพาศิษย์พี่เฉินซีมาที่นี่ แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร?”
การแสดงออกของเขาชัดเจน ใบหน้าบริสุทธิ์และใสเหมือนลำธาร ซึ่งปราศจากมลทินใด ๆ ทำให้เป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะรู้สึกไม่ดีต่อเขา
ทว่าเจี้ยงอวี่กลับไม่พอใจเล็กน้อย และกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้านี่มันโง่เสียเหลือเกิน เหตุใดถึงต้องแส่หาปัญหาใส่ตัวเช่นนี้ด้วย? รีบถอยไปซะ มิฉะนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
“เจ้าโง่ชิงเยี่ย รีบถอยออกไปเร็วเข้า!”
“คนผู้นี้โง่จริง ๆ ข้าสงสัยว่าทำไมอาจารย์ใหญ่ฉือฉางเซิงถึงเลือกคนโง่งมเช่นนี้มาเป็นศิษย์ของเขากัน”
คนอื่น ๆ รู้สึกขบขันอย่างมาก และถากถางอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ ชิงเยี่ยที่มักจะขี้อายและเก็บตัวอยู่เสมอ กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในวันนี้
แม้แต่เฉินซีก็ยังตกตะลึง ชายหนุ่มไม่คิดว่าชิงเยี่ยจะยืนหยัดปกป้องตนถึงเพียงนี้ ทำให้ความประทับใจที่มีต่อชิงเยี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงกล่าวกับตัวเองในใจว่า ‘ถ้าเจี้ยงอวี่กล้าที่จะทำอะไรในภายหลัง ข้าจะไม่ยอมให้เขาทำร้ายชิงเยี่ยเป็นอันขาด’
ในขณะนี้ คิ้วของชิงเยี่ยขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น พลางมองเจี้ยงอวี่ด้วยสีหน้าลำบากใจ “ศิษย์พี่เจี้ยงอวี่ ท่านช่วยปล่อยเขาไปได้หรือไม่?
“เจ้านี่มันฉลาดเสียเหลือเกิน! รีบถอยไปซะ!” เจี้ยงอวี่ไม่พอใจมากยิ่งขึ้น แววตาพลันกลายเป็นเย็นชา เขาจึงตั้งใจผลักชิงเยี่ยให้พ้นทาง
แต่กลับพลาดเป้า! โดยที่ชิงเยี่ยไม่ได้ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาแต่อย่างใด เขาแค่ขยับไหล่ไปข้างหลังและหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลง ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจ “นี่มันความลึกล้ำแห่งมิติ!”
ชิงเยี่ยไม่ได้ขยับไหล่แม้แต่น้อย เพียงใช้พลังมิติรูปแบบหนึ่ง ทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งไหล่ของตนได้!
นึกไม่ถึงเลยว่าชิงเยี่ยจะเข้าใจความลึกล้ำแห่งมิติเช่นกัน ข้าสงสัยนักว่ามันเป็นกฎแห่งมิติเช่นใด… เฉินซีดูเหมือนจมอยู่กับความคิด
ในทางกลับกัน เจี้ยงอวี่คิดว่าตนเองประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน แต่ชิงเยี่ยกลับหลบการโจมตีของตนได้ และมันทำให้สีหน้าของเขาไม่น่าดูอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่เจี้ยงอวี่ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้า… ข้า…” ท่าทางของชิงเยี่ยดูลังเลและลำบากใจ
“เจ้าจะทำไม?” ใบหน้าของเจี้ยงอวี่ดิ่งลง ดวงตาเผยประกายชั่วร้าย “เจ้าคิดจะสู้กับข้าหรือ? เศษขยะโง่ ๆ อย่างเจ้าน่ะหรือ? ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมอาจารย์ใหญ่ฉือฉางเซิงถึงรับเจ้าเป็นศิษย์ ถ้าไม่ใช่เพราะตัวตนของเจ้า ในอดีตเจ้าคงถูกทุบตีนับครั้งไม่ถ้วน แล้วตอนนี้ยังกล้ามาขู่ข้าอีกเหรอ?”
ขณะที่กล่าว เขาก็เงื้อมือขึ้น และพยายามผลักชิงเยี่ยอีกครั้ง “ถอยออกไปซะ…”
แต่ยังกล่าวไม่ทันจบ สีหน้าลำบากใจและลังเลบนใบหน้าของชิงเยี่ย พลันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายเฉียบคม ราวกับกระบี่ที่ไร้เทียมทานได้หลุดออกจากฝัก ยามนี้ตัวชิงเยี่ยไม่ต่างจากคมกระบี่ที่เยียบเย็น!
ในพริบตาต่อมา ชิงเยี่ยก็ลงมือ แม้ร่างจะดูไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เจี้ยงอวี่เงื้อมือได้เพียงครึ่งเดียว มือเรียวขาวก็คว้าคอของอีกฝ่ายไว้แล้ว!
เร็วมาก!
ทุกคนรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างวูบไหวผ่านตา และเดิมทีพวกเขาคิดว่าจะได้เห็นฉากที่ชิงเยี่ยถูกซัดกระเด็น แต่ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ได้เห็น คือภาพที่ชิงเยี่ยคว้าคอเจี้ยงอวี่ และยกร่างของอีกฝ่ายขึ้น!
โครม!
เสียงโครมครามดังขึ้น เจี้ยงอวี่ไม่มีเวลาแม้แต่จะขัดขืน ถูกชิงเยี่ยกดลงกับพื้นอย่างแรง แรงกระแทกทำให้ห้องโถงสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ร่างกายของเจี้ยงอวี่สั่นสะท้าน มีสภาพไม่ต่างจากเมิ่งทาที่พ่ายแพ้ให้กับเฉินซีก่อนหน้านี้ แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือมือของชิงเยี่ยยังคงบีบลำคอแน่น ทำให้เจี้ยงอวี่ไม่อาจเปล่งเสียงได้ แม้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด อีกทั้งยังทำให้เจี้ยงอวี่หายใจไม่ออกจนใบหน้าแดงก่ำ เส้นประสาทบนใบหน้าปูดโปน ทำให้รูปลักษณ์ดูน่าสยดสยอง น่าสมเพช และทรมานอย่างยิ่ง
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง และแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง …ตัวโง่งมผู้นี้ได้กลายเป็นคนน่าเกรงขามตั้งแต่เมื่อใดกัน? เขา… ยังเป็นชิงเยี่ยผู้บริสุทธิ์และเรียบง่ายที่มักเรียกตัวเองว่าคนโง่อยู่อีกหรือ?
ในทางกลับกัน เฉินซีพอคาดเดาสิ่งนี้ได้ราง ๆ เพราะพลังฝีมือของเจี้ยงอวี่ไม่เพียงพอที่จะทำอันตรายชิงเยี่ยได้แน่นอน แต่คาดไม่ถึงว่ายามต่อสู้ ชิงเยี่ยจะดุร้าย ตรงไปตรงมา ว่องไว และใช้วิธีการที่แม่นยำที่สุด เพื่อสยบคู่ต่อสู้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
“ที่แท้คนผู้นี้ก็แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ” เฉินซีลอบถอนหายใจแผ่วเบา
โครม!
ทันใดนั้น ชิงเยี่ยก็เงื้อมือขึ้น และใช้พลังเพื่อทำให้เจี้ยงอวี่หมดสติ ถึงค่อยปล่อยมือออกจากคอของอีกฝ่าย ก่อนยืนขึ้นด้วยท่าทางสำรวม ไม่มีพิษไม่มีภัย และขี้อายดังเดิม ทั้งยังไม่พบร่องรอยกลิ่นอายแหลมคมอย่างเมื่อครู่เลยสักนิด
แต่ในสายตาของทุกคน ไม่มีใครกล้าประเมินชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ต่ำเกินไปอีกแล้ว ถึงขนาดที่หลายคนเผยแววตาแห่งความกลัวออกมาราง ๆ เพราะไม่ใช่ใครจะสามารถสยบเจี้ยงอวี่ที่อยู่ในอันดับที่สี่สิบห้าของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
“ศิษย์พี่เฉินซี ต้องขออภัยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วย” ชิงเยี่ยก้มศีรษะลง ดูท่าทางเขินอายเล็กน้อย
“ข้าเข้าใจ” เฉินซีเพียงยิ้มเบา ๆ แต่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง
“นี่…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต่อสู้จริง ๆ” ชิงเยี่ยมีท่าทางกระวนกระวายทันที เมื่ออีกฝ่ายดูไม่เชื่อ คล้ายเด็กน้อยที่ถูกใส่ร้าย “ท่านอาจารย์บอกข้าเสมอว่า หากมีคนต้องการจะทำร้ายข้า ข้าควรสยบอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะได้ทันเคลื่อนไหว ข้า…ไม่ได้หลอกท่านจริง ๆ”
เฉินซีจ้องมองที่ชิงเยี่ยด้วยสายตาว่างเปล่า “อาจารย์ของเจ้าได้บอกอะไรอีกบ้าง?”
ชิงเยี่ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ได้สอนข้าหลายอย่างในช่วงหลายปีมานี้ แต่ข้าโง่เขลาเกินไป และจำได้แค่บางเรื่องที่เขามักบ่นอยู่เสมอ”
เฉินซีเอามือกุมหน้าผาก พลางถอนหายใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในใจ …ถ้าชายหนุ่มรูปงามคนนี้ไม่บริสุทธิ์ ก็คงชั่วร้ายอย่างสุดขีด!
หลังจากนั้น ไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขาอีกต่อไป ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังส่วนลึกของห้องโถงได้อย่างราบรื่น
“ชิงเยี่ยผู้สมองทึบ ที่แท้ก็เสแสร้งอยู่ตลอดเวลา…”
“บัดซบ! เขาหลอกเราได้สนิท!”
“ไม่แปลกใจที่อาจารย์ใหญ่ฉือฉางเซิงรับเขาเป็นศิษย์ คนเป็นอาจารย์มีอารมณ์ร้อนและดุร้าย ส่วนศิษย์ก็เป็นคนซ่อนคม!”
เมื่อพวกเขาจ้องมองเมิ่งทาที่ยังคงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นและเจี้ยงอวี่ที่สลบไป ก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ และต่างถอนหายใจเบา ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
คนหนึ่งเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายใน แต่ก็เอาชนะเมิ่งทาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มักทำตัวโง่งมอยู่ในสายตาของทุกคนเสมอ แต่กลับระเบิดพลังฝีมือได้อย่างน่าสะพรึงกลัว จนแม้แต่เจี้ยงอวี่ก็ไม่สามารถต่อกรได้…
เป็นดั่งคำที่ว่า เราไม่สามารถตัดสินหนังสือจากหน้าปก!