บทที่ 1282 หดหู่ใจ
บทที่ 1282 หดหู่ใจ
หลังจากออกจากป่าต้นไม้เงาทมิฬมาแล้ว เฉินซีก็ไม่ได้รีบกลับเคหา แต่เดินเตร่อยู่ในสำนักศึกษา
จิตใจไร้ซึ่งสมาธิ รู้สึกเหมือนในอกมีหินถ่วงอยู่ เศร้าใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ทั้งหมดนี้มาจากข่าวการตายของมารบงกช
ภูเขาหมอกเซียนถูกทำลายไปแล้ว ทว่ามารบงกชก็ถูกตามล่าและสังหารโดยราชันเซียนจากนิกายอำนาจเทวะเช่นกัน ทำให้เฉินซียิ่งเชื่อว่าการตายของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลเมื่อหลายปีก่อนต้องเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะอย่างแน่นอน!
ไม่รู้ว่าหากผู้อาวุโสเต๋าบงกชรู้จะรู้สึกอย่างไร… เฉินซีถอนหายใจยาวออกมา ปล่อยจิตใจให้ไหลไปตามความคิด นึกถึงเต๋าบงกชที่อยู่ในถ้ำกระบี่ชั้นเก้าสิบเก้าในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองขึ้นมา
มารบงกชกับเต๋าบงกชเป็นพี่น้องฝาแฝดตัวแทนสองขั้วที่แตกต่างกันของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล มารบงกชขู่ขวัญไร้เหตุผลและบ้าคลั่งเหมือนมารที่เกิดจากความมืด ส่วนเต๋าบงกชนั้นสง่างามใสกระจ่างและอบอุ่นดังแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปทั้งใต้หล้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นขั้วไหน ทั้งคู่ล้วนปกป้องนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอยู่อย่างเงียบเชียบ ด้วยมันเป็นสำนักที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลหลงเหลือไว้ และก็เป็นเพราะพวกเขาที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองยังสามารถดำรงอยู่ในสามภพได้จนถึงตอนนี้
แต่ทว่ามารบงกชสิ้นแล้ว…
เฉินซีกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ส่วนลึกของนัยน์ตาดำทะมึนราวกับหุบเหวไร้ก้นฉายแววโหดเหี้ยม ความรู้สึกหดหู่ในใจยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ
นิกายอำนาจเทวะ!
ชายหนุ่มรู้ดีว่าสาเหตุที่ใจไม่อาจสงบลงได้ก็เป็นเพราะนิกายนี้แข็งแกร่งและยืนอยู่เหนือสามภพมาเนิ่นนาน ทั่วทั้งสามภพนี้ มีเพียงเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาที่สามารถเทียบเคียงได้
เห็นจากแผ่นหยกสีโลหิตที่บันทึกข่าวการถูกทำลายล้างของภูเขาหมอกเซียนไว้ก็ชัดเจนแล้ว กระทั่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ายังนับว่ามันเป็นความลับ ผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คนในสำนักศึกษาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลชิ้นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครในสามภพกล้าเอาเรื่องนี้ไปเกี่ยวพันถึงนิกายอำนาจเทวะ ซึ่งนั่นก็รวมถึงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วย
ทว่าไม่ว่าจะเป็นการแก้แค้นให้มารบงกช หรือจะเป็นการจบความแค้นที่เกี่ยวข้องกับดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ไม่อาจมองข้ามนิกายอำนาจเทวะไปได้อยู่ดี
ถึงตนจะเป็นศิษย์เขาเทพพยากรณ์ แต่ความหวังที่จะเอาชนะนิกายใหญ่เทียบเท่ากับเขาเทพพยากรณ์ได้ก็มีเพียงเล็กน้อยจนแทบจะเป็นไปไม่ได้
โอกาสนั้นยากกว่าการทำลายตระกูลจั่วชิวอยู่หลายเท่าตัว!
“เอ๋ นั่นมันศิษย์พี่เฉินซีนี่?”
“เขาเพิ่งเข้ามาที่เขตฝ่ายในนี่? แล้วมาทำอะไรที่แดนเซียนสวรรค์มายา ? คงไม่ได้จะมา…ท้าทายมันอีกกระมัง?”
“เป็นไปได้ ศิษย์พี่เฉินซีเข้าใจเต๋าระหว่างขึ้นแดนเซียนสวรรค์มายา และขึ้นสู่ขอบเขตเซียนทองคำก่อนการสอบฝ่ายในมานานแล้ว อีกทั้งยังสร้างสถิติเป็นประวัติการณ์ รั้งอยู่อันดับหนึ่งในแดนเซียนสวรรค์มายาทั้งสามสิบหกด่าน กระทั่งผู้อาวุโสอวิ๋นฝูเซิงยังถูกผลักตกลงมาเป็นที่สอง”
“สวรรค์! เช่นนั้นหรือเป็นไปได้ว่าศิษย์พี่เฉินซีมาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่?”
ได้ยินเสียงคุยกันอื้ออึงดังมา ดึงเฉินซีหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว ถึงได้เห็นว่าตนเดินมาถึงหน้าทางเข้าแดนเซียนสวรรค์มายาแล้ว
ตอนนี้มีศิษย์สายนอกขอบเขตเซียนลึกลับมองตนเป็นตาเดียว หากสีหน้าไม่แสดงความเคารพก็แสดงความรุ่มร้อน
เฉินซีจึงชะงักไปก่อนส่ายหัว เขาอยากหมุนตัวเดินกลับ แต่หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วหยุดเคลื่อนไหว
ตอนนี้ในใจมีหินถ่วงอยู่ ให้สงบจิตใจลงคงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะส่งผลถึงการบ่มเพาะพลัง เหตุใดไม่ใช้โอกาสนี้ท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายาด่านที่สามสิบเจ็ด เพื่อขัดเกลาฝีมือและระบายอารมณ์ไปด้วยเล่า… เฉินซีจึงหันกลับไปมองทางเข้าแดนแล้วเงียบไปเป็นเวลานาน สุดท้ายชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วร่างก็แวบผ่านเข้าประตูไป
“เข้าไปแล้วจริง ๆ!”
“พวกเจ้าคิดว่าครั้งนี้ศิษย์พี่เฉินซีจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้หรือไม่?”
“ไม่จำเป็นต้องเดาหรอก เราตามดูสถานการณ์ด่านสามสิบเจ็ดถึงด่านเจ็ดสิบสองไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะอยู่ขอบเขตเซียนทองคำ แล้วได้เข้าไปยังด่านต่ำกว่าสามสิบเจ็ด ไม่เช่นนั้นก็จะไม่รู้อะไรเลย”
เมื่อทุกคนเห็นเฉินซีเข้าแดนเซียนสวรรค์มายาไป ศิษย์ทั้งหลายตรงหน้าทางเข้าก็พากันยกเรื่องขึ้นมาพูดคุยกันอย่างออกรส
…
ตอนนี้ศิษย์หลายคนรวมตัวกันอยู่บนชั้นนี้ แต่พลังบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำกันทั้งนั้น ส่วนมากจะเป็นศิษย์สายใน แต่ก็มีสายนอกอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อเฉินซีปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็สังเกตเห็นเขาทันที เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้น บางคนประหลาดใจ บางคนระแวดระวัง บางคนแปลกใจ…
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ตอนนี้เฉินซีเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสำนัก เป็นเหมือนตะวันระอุยามเที่ยงวัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาจารย์จากสายในหรือสายนอก ทุกคนล้วนรู้จักเฉินซีกันทั้งนั้น
ชายหนุ่มดูเหมือนไม่รู้เรื่องนี้ สายตามองเพียงศิลาวิถีที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างเท่านั้น
ศิลานี้สูงหนึ่งจั้ง สีดำสนิท พื้นผิวส่องแสงสีทองเลือนราง มันบันทึกชื่อผู้ที่ผ่านด่านที่สามสิบเจ็ดถึงด่านที่เจ็ดสิบสองของแดนนี้เอาไว้ โดยมีอยู่ทั้งหมดสิบชื่อ
อันดับสิบ ศิษย์สายใน มู่ต้าวฟู่ ใช้เวลาสามเค่อ 15 ลมหายใจ
อันดับเก้า ศิษย์สายใน อ๋าวหลิง ใช้เวลาสามเค่อ 12 ลมหายใจ
อันดับแปด ศิษย์สายใน เซวียนหยวนเชอ ใช้เวลาสองเค่อ 93 ลมหายใจ
…
อันดับสาม อวิ๋นฝูเซิง ใช้เวลาหนึ่งเค่อ 26 ลมหายใจ
อันดับสอง ศิษย์สายใน เยี่ยถัง ใช้เวลาหนึ่งเค่อ 19 ลมหายใจ
และน่าประหลาดที่อันดับหนึ่ง คือหลิงชิงอู๋ ใช้เวลาหนึ่งเค่อ 7 ลมหายใจ
เมื่อเห็นชื่อมู่ต้าวฟู่ติดสิบอันดับแรก เฉินซีก็อึ้งไป หากจำไม่ผิด มู่ต้าวฟู่เป็นคนจากตระกูลมู่ รั้งอันดับที่ยี่สิบสามของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงของฝ่ายใน
อันดับนี้ก็ทำให้คนฝ่ายในจำนวนมากเทียบไม่ติดแล้ว แต่เมื่อเห็นชื่อเขาปรากฏอยู่บนศิลาวิถีแดนเซียนสวรรค์มายาก็ทำให้ตกใจอยู่บ้าง
ย่อมดูแปลกที่ผู้ได้อันดับที่ยี่สิบสามบนเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงสามารถรั้งสิบอันดับแรกบนศิลาวิถีได้ แต่คนที่ได้อันดับเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงดีกว่ากลับไม่สามารถมีชื่ออยู่บนศิลาวิถีได้ด้วยซ้ำ
ดูท่าเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงจะวัดแค่ความต่างของพลังบ่มเพาะและความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่หากเป็นเรื่องพลังต่อสู้ ไม่แน่ว่าอันดับศิลาวิถีอาจจะน่าเชื่อถือกว่า…
ความแข็งแกร่งและพลังบ่มเพาะนำมาเทียบกับพลังต่อสู้ไม่ได้ เพราะบางคนมีพลังบ่มเพาะสูงส่งแต่ไร้ประสบการณ์ต่อสู้ ดังนั้นพลังต่อสู้ที่สามารถดึงออกมาได้จึงมีจำกัด
ตัวอย่างเช่น เหล่าผู้อาวุโสชายหญิงทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หรือมู่หลิงหลงที่ตนรู้จักตอนเพิ่งขึ้นภพเซียน ทั้งหมดล้วนมีพลังบ่มเพาะโดดเด่น แต่ต่อสู้ไม่เก่ง เพราะไม่ค่อยมีประสบการณ์ต่อสู้เท่าไหร่
เห็นได้ชัดว่ามู่ต้าวฟู่ที่รั้งสิบอันดับแรกบนศิลาวิถีเป็นผู้ที่ไม่ได้มีเพียงพลังบ่มเพาะสูงส่ง แต่ยังมีพลังต่อสู้โดดเด่นด้วย
ในทางกลับกัน เมื่อเห็นอันดับของอวิ๋นฝูเซิงถูกดันไปอยู่อันดับสาม เฉินซีก็ชะงักไป คิดในใจว่า หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังสมกับที่เป็นหกสุริยันอันเจิดจ้าแห่งภพเซียน
เฉินซีจ้องศิลาวิถีเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนเก็บสายตากลับไป แล้วเงยหน้ามองทางเข้าด่านที่สามสิบเจ็ด
ครั้งก่อนข้าบังเอิญขึ้นขอบเขตเซียนทองคำที่ด่านที่สามสิบเจ็ด ครั้งนี้เพื่อเอาชนะความหดหู่ในหัวใจ ข้าย่อมต้องเดินหน้าต่อไปอย่างกล้าหาญ ต่อสู้จนหนำใจให้ได้!
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนร่างจะพุ่งเข้าประตูสู่ด่านที่สามสิบเจ็ดไปอย่างรวดเร็ว จังหวะที่ผ่านเข้าประตูไปนั้น แต้มดาราในตราดาราม่วงก็ถูกหักออกไปทันที
ช่วยไม่ได้นี่นะ ใครจะเข้าแดนเซียนสวรรค์มายาไปเฉย ๆ ได้อย่างไร จะต้องจ่ายแต้มดาราจำนวนหนึ่งก่อนเข้าทุกครั้ง…
…
“ศิษย์พี่หลัวเซวียน อย่าหยุดข้าเลย เจ้าหมอนั่นเข้าแดนเซียนสวรรค์มายาเพื่อเลี่ยงการต่อสู้กับข้า ให้ข้าดูหน่อยว่าเขามีดีอะไรบ้าง ไม่ต้องห่วงไปศิษย์พี่หลัวเซวียน ข้าไม่ทำอะไรผลีผลามและเข้าต่อสู้กับเขาที่นี่หรอก” จังหวะที่ร่างเฉินซีหายไป ห้วงอากาศก็เกิดความผันผวนขึ้นอีกครั้ง เงาร่างคนสองคนปรากฏขึ้นตามมา คนหนึ่งปล่อยผมสยายยาวเคลียไหล่ ใบหน้าเคร่งขรึม เขาคือเมิ่งฉีที่เคยอยู่อันดับที่สามสิบของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง
ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มรูปงามสวมชุดนักพรตเต๋าปักลายลมและไฟ สวมที่ครอบผมสีเงิน เข็มขัดหยกซึ่งมีลวดลายเหมือนเกล็ดห้อยอยู่ที่เอว สวมรองเท้าลายเมฆและต้นสน
เขามีผิวเนียน ดวงตากระจ่างดั่งดารา สันจมูกค่อนข้างโด่ง และมีเครื่องหน้าน่ามอง ริมฝีปากอวบอิ่มหยักโค้งเล็กน้อย ท่วงท่าดูสบาย ๆ ปลดปล่อยกลิ่นอายสูงส่งออกมา
“ศิษย์พี่หลัวเซวียน! ศิษย์พี่เมิ่งฉี!”
เมื่อทุกคนเห็นทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ก็พลันได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นมาทันใด ยิ่งเมื่อเห็นหลัวเซวียน ศิษย์หญิงทั้งหลายก็ตาปรอยด้วยความเสน่หา
หลัวเซวียนเป็นหนึ่งในศิษย์เลื่องชื่อของสายใน รั้งอันดับเก้าบนเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดสูงส่ง เป็นถึงหลานสายตรงคนโตของนายท่านแห่งศาลาเซียนคลื่นทองคำ ซึ่งหาได้ทั่วไปในภพเซียน!
สำหรับฝ่ายใน หลัวเซวียนมีฉายาอยู่ คือ ‘เทพบุตรหน้าหยกแห่งความมั่งคั่ง’ ความหมายก็เป็นไปตามนั้น เพราะเขาทั้งหล่อทั้งรวย ทั้งยังแข็งแกร่งอีกต่างหาก มีหรือคนอื่นจะไม่สนใจ?
อีกทั้งสิ่งที่ยกย่องและหาได้ยากที่สุดนั่นคือหลัวเซวียนเป็นคนอบอุ่น และถ่อมตัวเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์อาจารย์ในสำนักจึงเป็นมิตรกับเขามาก
ตอนนี้ เมื่อหลัวเซวียนได้ยินเสียงทุกคนทักทาย เขาก็ยิ้มบางให้แล้วพยักหน้าตอบ เสร็จแล้วจึงดึงเมิ่งฉีไปด้านข้างแล้วหัวเราะเสียงขื่น “เหตุใดต้องเอะอะเสียงดังด้วย? ก็แค่อันดับเท่านั้น”
เมิ่งฉีกลับกัดฟันแน่น “มันไม่ใช่แค่เรื่องอันดับ!”
ว่าแล้วเขาก็เงยหน้ามองทางเข้าด่านที่สามสิบเจ็ดแล้วพูดเสียงเย็น “คนคนนั้นคงจะเข้าแดนไปแล้ว มาดูกันว่าเขาจะไปได้ไกลสักแค่ไหน หากสามารถติดอันดับบนศิลาวิถีได้ ข้าจะไปขอโทษและยอมรับว่าข้าด้อยกว่าทันที… แต่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้!”