บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1284 อานุภาพของเซียนกระบี่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1284 อานุภาพของเซียนกระบี่

บทที่ 1284 อานุภาพของเซียนกระบี่

นับตั้งแต่ที่ได้ต้นอ่อนเงาทมิฬมาจากแดนภวังค์ทมิฬเมื่อหลายปีก่อน เฉินซีก็ไม่เคยต้องกังวลว่าพลังในร่างกายจะหมดระหว่างเส้นทางแห่งการบ่มเพาะเลยสักครั้ง

เนื่องจากต้นอ่อนเงาทมิฬสามารถฟื้นฟูพลังได้ในระยะเวลาสั้น ๆ และสรรพคุณที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ ทำให้เฉินซีได้รับชัยชนะในทุก ๆ การต่อสู้ตั้งแต่นั้นมา

ทว่าเนื่องจากการมีอยู่ของต้นอ่อนเงาทมิฬ ทำให้เขาไม่รู้ถึงขีดจำกัดการบ่มเพาะของตน

ใช่ มันเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะ ไม่ใช่พลังต่อสู้

การบ่มเพาะแสดงถึงความลึกซึ้งในการสะสมเต๋า มันจะค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปทีละระดับจนถึงจุดสูงสุดของมหาเต๋า การบ่มเพาะของแต่ละคนก็มีระดับความยากและความสูงที่แตกต่างกัน

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความลึกซึ้งในการบ่มเพาะ

ยิ่งไปกว่านั้น ในทุก ๆ ขอบเขตการบ่มเพาะ ความลึกซึ้งของการบ่มเพาะจะสะท้อนให้เห็นถึงพลังที่เราครอบครอง ตัวอย่างเช่น แก่นแท้ ปราณเซียน ปราณจ้าววิญญาณ ปราณจ้าววิญญาณอมตะ และอื่น ๆ

จนถึงตอนนี้ ความเข้าใจของเฉินซีต่อพลังที่มีนั้นลึกซึ้งมากกว่าคนทั่วไปเป็นร้อยเท่า แต่ไม่ว่าขีดจำกัดจะอยู่ที่ใด เขาก็ไม่รู้แม้แต่น้อย

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจากการมีอยู่ของต้นอ่อนเงาทมิฬ

แต่ตอนนี้จ้าวไท่ฉือหยิบยืมต้นอ่อนเงาทมิฬไป และจะส่งคืนให้กับเฉินซีในอีกสามเดือนข้างหน้า

ดังนั้น ในขณะที่ท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายาอยู่ในเวลานี้ อาจถือว่านี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เข้าสู่ภพเซียน ที่เฉินซีอาศัยการบ่มเพาะของตน และต่อสู้โดยไม่ออมพลังแม้แต่น้อย

หากเป็นบุคคลอื่น มันจะนำไปสู่สภาวะที่ไม่สมดุล เนื่องจากการพึ่งพาต้นอ่อนเงาทมิฬที่มากเกินไป แต่เฉินซีกลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะ จี้อวี๋คอยย้ำเตือนเสมอว่า บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ นอกจากตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่นอกกาย และดวงจิตแห่งเต๋าไม่ควรถูกผูกมัดด้วยสิ่งนี้!

เมื่อเสียงสูงอายุที่ไม่แยแสและไร้อารมณ์ดังก้อง ร่างของเฉินซีก็กลายเป็นลำแสงที่พุ่งทะยานผ่านความว่างเปล่า

กระบี่ตะขอดาราที่กำแน่นอยู่ในมือ พลันเปล่งแสงของดวงดาวเย็นยะเยือกออกมามากมายมหาศาล ประหนึ่งแม่น้ำแห่งดวงดาวเริงระบำและพัดโหมไปทั้งฟ้าดินด้วยอานุภาพที่ไร้เทียมทาน

นี่คือด่านที่หกสิบเอ็ดของแดนเซียนสวรรค์มายา คู่ต่อสู้คือร่างในชุดดำยี่สิบห้าตน ซึ่งมีการบ่มเพาะทัดเทียมผู้ท้าทาย ทว่าเมื่อเผชิญกับการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวของเฉินซีที่ถาโถมใส่ราวกับคลื่นยักษ์ พวกมันกลับไม่อาจทนต่อการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว

เพียงชั่วครู่ พวกมันก็ถูกบดขยี้เหมือนเศษกระดาษด้วยปราณกระบี่ที่เจิดจ้าและยิ่งใหญ่ จากนั้นก็ระเบิดเป็นฝนแสงไปทั่วท้องฟ้า ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หากเหตุการณ์ดังกล่าวปรากฏในโลกภายนอก มันคงจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อย่างแน่นอน

แต่สำหรับเฉินซี นี่เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง แม้การบ่มเพาะอาจส่งผลต่อพลังฝีมือ แต่การสำแดงพลังฝีมือนั้นไม่ง่ายเหมือนการบ่มเพาะ

มันรวมถึงการใช้ประโยชน์จากเต๋ารู้แจ้ง การเพิ่มพลังด้วยสมบัติอมตะ ความสามารถในการดึงพลังต่อสู้ที่แท้จริงออกมา การเสริมขวัญกำลังใจในการต่อสู้ และอื่น ๆ

แต่ไม่ว่าจะเป็นในด้านใด เฉินซีก็บรรลุถึงความสูงที่ไม่เคยมีผู้ใดไปถึง ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับตนในแง่ของการบ่มเพาะ เขาจึงสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า!

“ชักเริ่มน่าสนใจแล้ว”

หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ดวงตาของเฉินซีก็ส่องประกาย คิ้วที่ขมวดแน่นคลายลงเล็กน้อย

“ผ่านด่านที่หกสิบเอ็ด ภายในสิบสามลมหายใจ”

โอม!

ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีก็ถูกพาเข้าสู่ด่านที่หกสิบสองทันที

“ไม่เลวเลย”

“ใช้ได้ดีทีเดียว”

“ดีมาก”

พร้อมกับเวลาที่ล่วงเลย เฉินซีก้าวไปข้างหน้าอย่างมีชัยไปตลอดทาง ยิ่งด่านสูงขึ้นเท่าไหร่ ความกดดันที่ได้รับก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ทว่าความกดดันดังกล่าวทำให้คิ้วที่ขมวดแน่นคลายลงเสียอย่างนั้น การต่อสู้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจ ปลดเปลื้องอารมณ์ขุ่นมัวไปเรื่อย ๆ

การบดขยี้ศัตรูเป็นเรื่องน่าภิรมย์

การที่ไม่สามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้นั้นเป็นเรื่องน่าหนักใจ

มีแค่คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียมเท่านั้นที่ทำให้พึงพอใจ!

เห็นได้ชัดว่าในขณะที่เขาไต่ระดับขึ้น เฉินซีก็รู้สึกพึงพอใจที่ได้พบกับคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียมกัน แต่ว่ามันก็ยังไม่เพียงพอ เพราะมันยังไม่ถึงขีดจำกัดในการบ่มเพาะของตน

โครม!

บนด่านที่ 71 ของแดนเซียนสวรรค์มายา

เฉินซีคำรามลั่น เจตจำนงกระบี่พัดโพมราวกับคลื่นพายุ มันส่งเสียงดังก้องขณะแผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทุกที่ที่มันผ่าน ร่างชุดดำก็ถูกบดขยี้ และหายไปในความว่างเปล่า

ในขณะนี้ ท่าทางของชายหนุ่มดูห้าวหาญ และแสดงพลังฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอหังการ

ภายในร่างกาย จิตต่อสู้ลุกโชนราวกับหินหลอมเหลว ผิวหนังทุกส่วนคล้ายสั่นไหวและโหยหา ในขณะที่ความกดดัน ความหดหู่ และความกระวนกระวายที่ติดค้างอยู่ในใจก็มีโอกาสได้ระบายออกซึ่งหาได้ยากยิ่ง

เฉินซีไม่ใช่ตอไม้ไร้อารมณ์ เขาก็มีอารมณ์ความรู้สึกเยี่ยงคนทั่วไป และต้องแบกภาระมากมายไว้บนบ่า หากไม่เดินหน้าต่อไปอย่างยึดมั่นจนถึงตอนนี้ ร่างกายและจิตใจคงแตกสลายไปนานแล้ว

เขาก็จำเป็นต้องระบายความอัดอั้นเหมือนกัน!

ชายหนุ่มต่อสู้เพียงลำพังมาจนถึงตอนนี้ และเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างตั้งแต่จากราชวงศ์ต้าฉู่ไปจนถึงแดนภวังค์ทมิฬ จากยมโลกสู่ภพเซียน แต่เขาจะระบายความเจ็บปวดและความยากลำบากที่ต้องทนทุกข์มาตลอดเส้นทางให้กับใครได้บ้าง?

สวรรค์ไม่เข้าใจหัวใจ

แผ่นดินไม่รู้ว่าเขาปรารถนาสิ่งใด

ชายหนุ่มทำได้เพียงระบายทุกสิ่งทุกอย่างในการต่อสู้ และปล่อยวางจากเส้นทางสู่เต๋า

บางทีเมื่อถึงวันที่เขาสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า และมองย้อนกลับมา บัดนั้น ความยากลำบาก ความเจ็บปวด ความกดดัน และการระบายทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นหมุดเตือนใจที่มีค่าที่สุดในชีวิต…

“ผ่านไปสามเค่อ ในที่สุดเฉินซีก็ก้าวเข้าสู่ด่านที่เจ็ดสิบสอง!”

ทุกคนบนแท่นบวงสรวงจับจ้องไปที่กำแพงหยกโดยไม่กะพริบตา เพราะเกรงว่าตนพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป

ตั้งแต่เฉินซีเริ่มการท้าทายจนถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ก้าวขึ้นสู่ด่านที่เจ็ดสิบสองได้สำเร็จ มันทำให้หัวใจของผู้คนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ตึงเครียดขึ้นมาทันควัน

“หากเฉินซีสามารถพิชิตด่านที่เจ็ดสิบสองภายในเวลาสามเค่อและห้าสิบลมหายใจ เฉินซีจะสามารถทำลายสถิติที่มู่ต้าวฟู่ทำไว้ได้ แต่มันเหลือเวลาเพียงห้าสิบลมหายใจเท่านั้น เขา…จะทำสำเร็จได้หรือไม่?”

ในขณะนี้ แม้แต่หัวใจของเมิ่งฉีก็บีบรัด ใบหน้าเย็นชาเผยร่องรอยของความวิตกที่อธิบายไม่ได้ อีกทั้งยังมีความไม่พอใจและความเกลียดชังอยู่เล็กน้อย

เขาไม่เชื่อว่าเฉินซีจะทำได้!

ไม่เชื่อ!

หลัวเซวียนก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ และลอบถอนหายใจอีกครั้ง เขารู้ว่าไม่จำเป็นต้องดูต่อ เพราะไม่ว่าเฉินซีจะสร้างสถิติใหม่หรือไม่ก็ตาม การแสดงฝีมือของเฉินซีก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเมิ่งฉีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้

เหตุใดสหายคนนี้จึงดื้อรั้นและดึงดันจะแข่งขันกับเฉินซีด้วย?… หลัวเซวียนขมวดคิ้ว และครุ่นคิดถึงสิ่งที่ควรทำหลังจากเฉินซีกลับมา เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดระหว่างทั้งสองคน

เพราะเขาตระหนักดีว่า แม้เฉินซีจะทำลายสถิติได้ แต่เมิ่งฉีก็จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป เพราะเมิ่งฉีมีนิสัยที่ดื้อรั้น และในฐานะสหาย หลัวเซวียนจึงรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร

ในขณะนี้ ภายในด่านที่เจ้ดสิบสองของแดนเซียนสวรรค์มายา

ร่างชุดดำสามสิบหกร่างได้ก่อตัวเป็นขบวนศึกและล้อมเฉินซีจากทุกทิศทาง ขบวนศึกนี้เป็นการปิดล้อมสภาพแวดล้อมไว้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เฉินซีไม่มีทางหลบหนีได้

แต่เฉินซีไม่คิดถอย

แววตาของเฉินซีเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์เจิดจ้าสองดวง ร่างกายพลุ่งพล่านด้วยจิตต่อสู้ พร้อมเปล่งแสงที่ไร้ขอบเขตและแผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้

“ฆ่า!”

ครืนนนนนน!

ร่างชุดดำสามสิบหกร่างทะยานผ่านท้องฟ้า พุ่งตัวตัดไขว้สลับกัน ทำให้บริเวณโดยรอบตกสู่ความโกลาหล แม้การเคลื่อนไหวของพวกมันจะดูยุ่งเหยิง แต่กลับก่อตัวเป็นค่ายกลที่รัดกุมอย่างยิ่ง และพวกมันก็โจมตีด้วยพลังทั้งหมดพร้อมกัน!

ความรู้สึกราวขุนเขามากมายถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน พวกมันตั้งใจปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมด และบดขยี้เฉินซีที่ยืนอยู่ตรงกลางในการโจมตีเดียว!

พลังทำลายของพวกมันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!

ความกดดันที่เขาเผชิญอยู่เพิ่มขึ้นทบทวี ไม่เหมือนกับด่านก่อนหน้านี้ ร่างชุดดำในด่านที่เจ็ดสิบสองนั้นเห็นได้ชัดว่าเข้าใจขบวนศึก ทำให้สามารถสอดประสานซึ่งกันและกัน แม้จะขาดประสบการณ์การต่อสู้ แต่ก็อาศัยขบวนศึกเพื่อชดเชยข้อบกพร่องได้อย่างไร้ที่ติ

เฉินซียืนอยู่เงียบ ๆ แต่พลังงาน แก่นแท้ และจิตวิญญาณในร่างกายกำลังลุกไหม้ ทำให้อากาศในบริเวณใกล้เคียงบิดเบี้ยว จนร่างของเขาดูเหมือนกับภาพลวงตา และไม่มีตัวตนอยู่จริง

ชิ้ง!

ขณะที่ร่างชุดดำเหล่านั้นกำลังจะมาถึงตรงหน้า กระบี่ตะขอดาราที่อยู่ภายในมือพลันสั่นสะท้าน แสงแห่งดวงดาวอันเย็นยะเยือกที่เปล่งออกมาจากกระบี่ก็เหมือนจะลุกไหม้ในเวลาเดียวกัน

ทันใดนั้น ปราณกระบี่ที่หนา ใหญ่ และแวววาวก็ฟันกวาดออกไปในแนวนอน!

การโจมตีครั้งนี้ มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง และดูเหมือนมันจะผ่านยุคผ่านสมัย มันเป็นเพียงการโจมตีด้วยกระบี่ธรรมดา ๆ แต่ทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในเงามืด ห้วงมิติกระเพื่อมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

โอม~ โอม~ โอม~

ทันใดนั้น กระบี่ที่อยู่ในมือของร่างชุดดำเหล่านั้นก็สั่นสะท้านพร้อมกัน คล้ายพยายามดิ้นรนหลบหนีจากมือของร่างชุดดำ พวกมันเปล่งเสียงที่ฟังดูคร่ำครวญ และเหมือนยอมจำนนต่อเฉินซี

นี่คือพลังของขอบเขตเซียนกระบี่ แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยว แต่เมื่อมันถูกใช้ร่วมกับปราณกระบี่ อานุภาพก็ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะบดขยี้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หรือแม้แต่ทำลายยุคสมัย!

พรูด! พรูด! พรูด! พรูด!

คลื่นเสียงอู้อี้ดังก้อง ทุกที่ที่คมกระบี่ผ่าน ร่างแล้วร่างเล่าถูกผ่าออกเป็นสองซีก และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ เพียงชั่วพริบตา ร่างชุดดำสามสิบหกร่างก็กลายเป็นฝนแสงสาดส่องไปทั่วฟ้าดิน

สายฝนแห่งแสงส่องสว่างเรืองรอง มันสาดส่องไปบนท้องฟ้าจนเลือนหายไป แม้จะไม่ใช่เลือดจริง แต่ก็เผยกลิ่นอายนองเลือดและเงียบงัน ซึ่งแฝงด้วยความโศกเศร้าและอำนาจปลิดลมหายใจ

ในขณะนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินซีกลายเป็นซีดเผือดจนแทบโปร่งแสง แต่ดวงตากลับสุกใสยิ่งกว่าเดิม และดูเหมือนจะเป็นดวงดาวที่สว่างที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืน

“ผ่านด่านที่เจ็ดสิบสองภายในเวลายี่สิบสี่ลมหายใจ” เสียงสูงวัยที่ไม่แยแสและไร้อารมณ์ดังขึ้น และมันก้องกังวานไปทั่วแก้วหูของเฉินซี

ในเวลาเดียวกัน ชื่อของเฉินซีบนกำแพงหยกที่ตั้งอยู่บนแท่นบวงสรวงด้านนอกทางเข้าด่านที่สามสิบเจ็ดก็หายไปเช่นกัน

“มันจบลงแล้วหรือ?”

ทุกคนตกตะลึงกันถ้วนหน้า พลันมองไปที่ศิลาวิถีที่อยู่ใกล้เคียงพร้อมกัน หลังจากนั้น ใบหน้าของพวกเขาพลันแข็งทื่อ และอ้าปากค้าง

เนื่องจากอันดับสิบบนศิลาวิถีที่เคยเป็นของมู่ต้าวฟู่ กลับถูกแทนที่ด้วยชื่อของเฉินซี และมีคำสีทองแวววาวที่ส่องแสงอยู่ด้านหลังชื่อ สามเค่อกับยี่สิบสี่ลมหายใจ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท