ตอนที่ 403 ใต้เท้าจู
ความจริงจี้หยวนไม่จำเป็นต้องหาห้องอะไรเป็นการเฉพาะ เปิดประตูโถงทางเดินด้านซ้ายไปก็เจอ เป็นห้องซึ่งเขียนว่า ‘สำมะโนครัว’
ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนสิบเอ็ดแล้ว อีกประมาณหนึ่งเดือนก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ถือเป็นช่วงคืนวันสิ้นปีมาเยือนพอดี ที่ว่าการอำเภอมีงานกองพะเนินต้องจัดการ เมื่อจี้หยวนมาถึงประตูห้องนี้ เขาเห็นคนด้านในถือพู่กันเขียนอยู่ตรงนั้นไม่หยุด เขียนเล่มหนึ่งเสร็จก็เปลี่ยนเป็นเอกสารอีกเล่ม หมุนเวียนไม่ว่างเว้นเช่นนี้
ก๊อกๆๆ…
จี้หยวนเคาะขอบประตูสองสามครั้ง หลังจากดึงดูดความสนใจของคนข้างใน เขาค่อยประสานมือคารวะพลางกล่าว
“ใต้เท้านายทะเบียน ข้าน้อยจี้หยวน มารับจดหมายจากม้าส่งสาร”
คนข้างในหยุดพู่กัน หลังจากสำรวจมองจี้หยวนโดยละเอียด เขาค่อยประสานมือคารวะตอบพลางกล่าว
“เชิญท่านเข้ามาก่อน!”
เมื่อเข้ามาภายในห้อง จี้หยวนมองนายทะเบียนคนนี้ อายุคงประมาณสามสิบ เคราสั้นมวยผมสั้นศีรษะประดับเกี้ยว เห็นรายละเอียดไม่ชัด แต่กลิ่นอายรอบตัวนับว่าชัดเจน
“ขอถามว่าท่านพกเอกสารทะเบียนบ้านมาด้วยหรือไม่”
“พกมา ใต้เท้านายทะเบียนโปรดตรวจสอบ”
จี้หยวนหยิบเอกสารประทับตราทางการแผ่นนั้นส่งให้นายทะเบียนคนนี้อีกครั้ง ฝ่ายหลังอ่านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ยืนยันเส้นอักษรคำว่า ‘จี้หยวน’ จากนั้นค่อยส่งคืนเขา
“ท่านโปรดรอสักครู่ ข้าตรวจสอบก่อนว่าของท่านอยู่ไหน”
โดยทั่วไปม้าส่งสารของต้าเจินรับแค่จดหมาย แต่หากให้เงินมากพอ ของชิ้นเล็กอย่างอื่นย่อมถือโอกาสส่งมาด้วยได้ นายทะเบียนจึงไม่รู้ว่ามีของอื่นหรือไม่
เขาหาสมุดสองสามเล่มออกมาจากด้านข้าง พลิกหาบันทึกของตรอกเทียนหนิว จากนั้นค่อยเปิดอ่านทีละหน้า ใช้เวลาเล็กน้อยกว่าจะเจอชื่อจี้หยวน
บนสมุดบันทึกมีชื่อเรียงอยู่มากมาย ส่วนใหญ่ด้านหลังล้วนทำเครื่องหมาย เมื่อมองไปมีแค่ชื่อจี้หยวนไร้เครื่องหมาย ทั้งยังปรากฏหลายครั้ง แต่นายทะเบียนไม่จำเป็นต้องหาจนครบทุกชื่อ ด้วยจดหมายของคนเดียวกันล้วนวางอยู่จุดเดียว หาเจอจุดหนึ่งย่อมนำไปทั้งหมด เขาแค่ทำเครื่องหมายจนครบหลังเสร็จเรื่องก็พอ
เมื่อเห็นชัดว่ามีจดหมายจริง ทั้งยังอยู่ในห้องเก็บของ นายทะเบียนเขียนกระดาษบนโต๊ะ จากนั้นจึงประทับตราของตน
นายทะเบียนเป่าหมึกบนกระดาษเล็กน้อย จากนั้นค่อยส่งให้จี้หยวน
“ถือสิ่งนี้เดินไปข้างใน มอบให้เจ้าพนักงานตรงประตู เขาจะพาท่านไปห้องเก็บของ ระวังหน่อย หมึกยังไม่แห้ง”
“ได้ ขอบคุณใต้เท้านายทะเบียน”
จี้หยวนประสานมืออีกครั้ง รับกระดาษอย่างระวัง จากนั้นจึงเดินออกจากห้อง เมื่อหันกลับไปมอง นายทะเบียนคนนั้นจมกองเอกสารอีกครั้งแล้ว
สุดท้ายก็เป็นบ้านเกิดอิ๋นจ้าวเซียน ทั้งนายอำเภอหนิงอันคนก่อนยังสุจริตโปร่งใส ภายใต้บรรยากาศดีงามและภาคภูมิ เจ้าหน้าที่ราชการเล็กใหญ่ของอำเภอหนิงอันล้วนทำหน้าที่สุดความสามารถ
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ ณ ห้องเก็บของที่ว่าการอำเภอ จี้หยวนรอข้างนอก ส่วนเจ้าพนักงานหาของจี้หยวนอยู่ข้างในครู่ใหญ่
“โอ้ ไม่น้อยเลยทีเดียว!”
เจ้าพนักงานถือจดหมายกองหนึ่งมา ก้าวเดินพลางปัดฝุ่นบนนั้น จี้หยวนเห็นว่าจดหมายในมือเขาหนาราวหนึ่งฝ่ามือ ขั้นต่ำย่อมมีหลักสิบฉบับ
เจ้าพนักงานเดินมาข้างนอก คลายเชือกบางซึ่งผูกจดหมายไว้ก่อนพลิกดูลวกๆ เมื่อแน่ใจว่าเป็นของจี้หยวนทั้งหมด เขาค่อยส่งให้จี้หยวนซึ่งรออยู่นานแล้ว
“คุณชายรอนานแล้ว เอ้า นี่คือจดหมายทั้งหมดของท่าน นอกจากนี้น่าจะไม่มีสิ่งอื่น”
“ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนรับจดหมายกองพะเนินมาด้วยสองมือ หลังจากกล่าวขอบคุณเขารออีกฝ่ายปิดประตูห้องเก็บของใหม่อีกครั้ง ก่อนเดินออกมาพร้อมเขา
“คุณชาย จำนวนจดหมายของท่านไม่น้อยจริงๆ ท่านไม่ได้มารับนานเท่าไหร่แล้ว”
แต่ละตรอกล้วนมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ หากมีจดหมายย่อมไปดูบ้านคนผู้นั้น ถ้าไม่มีใครอยู่ค่อยนำกลับมาที่ว่าการอำเภอ เจ้าพนักงานคนนี้เห็นสีกระดาษจดหมายบางส่วน เขารู้ว่าจดหมายไม่น้อยเก็บมาหลายปีแล้ว
การส่งจดหมายไม่ใช่เรื่องลำบากนัก บ้างกล่าวว่าจดหมายทางบ้านมีค่ายิ่งกว่าทองคำ ยามส่งจดหมายไป คนที่ฐานะทางบ้านไม่แย่นักอาจมอบเงินทองแดงสองเหรียญหรือเลี้ยงอะไรเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ นับว่าเป็นรายได้เจ้าพนักงานซึ่งที่ว่าการอำเภออนุญาต
ได้ยินเจ้าพนักงานกล่าวเช่นนี้ จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย
“ใช่ พเนจรข้างนอกมานาน”
ทั้งสองคนไม่ได้คุยกันมากนัก เมื่อถึงข้างนอกจี้หยวนค่อยจากไปลำพัง ยามออกจากประตูสำนักงานเขายังประสานมือคารวะเจ้าหน้าที่คนก่อนหน้านี้
ตรงทางเข้าสำนักงาน เจ้าหน้าที่คนนั้นเพิ่งยืนนิ่งไม่นาน กำลังพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานด้านข้าง ตรงบ่าพลันถูกคนตบ เมื่อหันกลับไปก็เห็นชายร่างกำยำเคราขาวคนหนึ่ง
เจ้าหน้าที่สองคนรีบค้อมตัวคารวะ กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
“คารวะใต้เท้าจู!”
“อืม!”
ผู้มาเยือนคือจูเหยียนซวี่ นายกองอำเภอหนิงอันเมื่อปีนั้น แตกต่างจากนายอำเภอคนก่อนซึ่งเลื่อนขั้นเลื่อนระดับขึ้นไป ตอนนี้จูเหยียนซวี่เกษียณอายุนานแล้ว แต่นายอำเภอคนปัจจุบันรู้สึกว่าเขามีคุณธรรมทั้งรู้จักฝีมือ เขาจึงเชิญจูเหยียนซวี่มาเป็นหัวหน้าครูฝึก ช่วยฝึกเจ้าหน้าที่มือปราบ
จูเหยียนซวี่ขมวดคิ้วมองไปข้างนอก จากนั้นค่อยมองเจ้าพนักงานข้างกายพลางเอ่ยถาม
“คนเมื่อครู่ข้าเห็นแล้วคุ้นหน้าอยู่บ้าง มารับจดหมายหรือ ชื่ออะไร”
“เรียนใต้เท้าจู คนผู้นั้นมารับจดหมายจริงๆ นามว่า ‘จี้หยวน’ จี้จากคำว่าจี้เช่อ (วางแผน) หยวนจากคำว่าหยวนเฟิ่น (วาสนา) พูดแล้วก็แปลก จดหมายนั่นหนาเป็นตั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเก่ามาก… เอ่อ ใต้เท้าจู ใต้เท้าจู?”
ขณะกล่าวเจ้าพนักงานพบว่าใต้เท้าจูเหยียนซวี่ถึงกับมองไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย แม้ว่าใต้เท้าท่านนี้อายุมากแล้ว แต่วิชายุทธ์ของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของอำเภอหนิงอัน ร่างกายกำยำลงมือแข็งกร้าว ไม่มีทางสมองเสื่อม
“ใต้เท้าจู? ใต้เท้าจู!”
“อะ อ้อ ได้ยินแล้วๆ พวกเจ้าเฝ้าที่นี่ดีๆ ข้าขอตัวไปก่อน!”
จูเหยียนซวี่พูดเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นค่อยรีบเดินไปข้างนอก เจ้าหน้าที่สองคนรีบคารวะอย่างรวดเร็ว แต่ต่อมากลับมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“จี้หยวนคนนี้สนิทกับใต้เท้าจูหรือ”
“ไม่รู้สิ…”
จูเหยียนซวี่อายุมากแต่ยังคล่องแคล่ว ก้าวย่างดั่งมังกรพยัคฆ์ไม่นานก็ออกจากประตูที่ว่าการ กวาดสายตามองไปบนถนน นอกจากความขวักไขว่คับคั่งแล้ว ไม่เห็นเงาร่างของจี้หยวน
สีหน้าเขาเจือความมึนงง ปากกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“จี้หยวน… เป็นจี้หยวนจริงๆ! รูปร่างหน้าตายังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย!”
เมื่อก่อนยามชื่อเสียงจี้หยวนยังคงโด่งดัง ภายในที่ว่าการอำเภอเมื่อมีเวลาว่างมักมีคนคาดเดาอายุของเขาเช่นกัน ด้วยการกระทำคำพูดจากับหน้าตาสง่างามผมดำขลับของเขา คนส่วนใหญ่เดาว่าน่าจะอายุสี่สิบกว่าปี แต่เป็นพวกดูไม่แก่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครคิดว่าจี้หยวนอ่อนเยาว์นัก อย่างน้อยย่อมอายุมากกว่าอิ๋นจ้าวเซียนแน่
วันนี้เวลานี้จูเหยียนซวี่เจอจี้หยวนอีกครั้ง แต่รูปร่างหน้าตากลับเหมือนตอนนั้น ข่าวลือบางส่วนเกี่ยวกับจี้หยวนเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นในใจอีกครั้ง
บางครั้งคนเรามักหลงลืมง่าย นอกจากเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนลืมเลือนโดยไม่ตั้งใจ ภายในอำเภอหนิงอันผู้มีความเกี่ยวข้องแนบแน่นกับจี้หยวนมีไม่มาก กอปรกับเวลาล่วงเลย ตอนนี้คนจำจี้หยวนได้น้อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนส่วนนี้เคยเจอจี้หยวนหรือไม่
แต่ขอแค่จำได้ย่อมจดจำลึกซึ้ง เหมือนกับจูเหยียนซวี่ตอนนี้
จูเหยียนซวี่ยืนอยู่จุดเดิมครู่ใหญ่ เมื่อเจ้าพนักงานเฝ้าประตูทางเข้าสองคนด้านหลังคิดไปถาม เขากัดฟันรีบเดินจากไป ทำให้สองคนด้านหลังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
สุดท้ายจูเหยียนซวี่ก็เป็นจอมยุทธ์ อายุมากแต่วิชายุทธ์ยังอยู่ ฝีเท้าว่องไว ไม่นานก็กลับถึงบ้าน เริ่มรื้อหีบค้นโต๊ะไปทั่ว
ฮูหยินชราคนหนึ่งเดินมาจากทางลาน เมื่อเห็นสามีตนเป็นเช่นนี้ นางพลันรู้สึกว่าแปลก
“ตาแก่ เจ้าหาอะไรอยู่”
จูเหยียนซวี่ไม่หยุดมือ ปากยังคอยเอ่ยถาม
“หือ จริงสิ เจ้าเห็นจานฝนหมึก (เป่าเยี่ยน) ทรงเหลี่ยมของข้าหรือไม่”
“รังนก (เป่าเยี่ยน) อะไร รังนกเพิ่งตุ๋นให้ลูกสะใภ้ของพวกเราไปไม่ใช่หรือ!”
จูเหยียนซวี่ขมวดคิ้วหันกลับมา
“รังนกอะไร ข้าพูดถึงจานฝนหมึก จานฝนหมึกเมฆาวารี ตอนใต้เท้าเฉินจากไปเคยมอบให้ข้า!”
ฮูหยินชรายิ้มเล็กน้อย
“จอมยุทธ์อย่างเจ้า ของแบบนั้นไม่มีทางใช้บ่อย ห้องหนังสือไม่มีหรือ”
“โธ่เอ๋ย ถ้ามีข้าจะตามหาทั่วหรือ”
“ลองถามลูกชายเจ้าแล้วกัน!”
บ้านของจูเหยียนซวี่ไม่เล็ก แบ่งเป็นสองเรือนหน้าหลัง แต่ไม่มีบ่าวรับใช้สักคน เมื่อได้ยินคำพูดภรรยาตน เขารีบไปเรือนหน้า บังเอิญเห็นบุตรชายของตนกลับมาจากที่ว่าการอำเภอพอดี ชุดมือปราบยังไม่เปลี่ยน ดาบติดตัวยังไม่ทันปลด แต่พลันเห็นบิดาตนพุ่งตัวมาตรงหน้า จูเฉิงซึ่งถูกทำให้ตกใจเกือบชักดาบออกมา
“ท่านพ่อ ท่านทำแบบนี้ผู้อื่นตกใจตายได้นะ!”
จูเฉิงตบหน้าอกเล็กน้อย แต่บิดาเขาไม่มีอารมณ์มาพูดเล่นกับเขา
“จานฝนหมึกทรงเหลี่ยมของข้าเล่า ปีนั้นท่านเฉินเคยมอบให้ข้า!”
จูเฉิงร้อนตัวทันที พูดจาติดขัดอยู่บ้าง
“ข้าเห็นว่า ทะ ท่านไม่ใช้ ยามอวี่ชิวมาบ้านพวกเราแล้วเห็นจานฝนหมึกท่าน นางขอร้องข้าหลายครั้งว่าอยากยืมไปใช้ ข้าเลย…”
“เจ้าลูกเต่า!”
จูเหยียนซวี่ด่าประโยคหนึ่ง เพียงพริบตาก็หายตัวไปแล้ว
ช่วงบ่ายเมื่อนาฬิกาแดดสับเปลี่ยนจากยามเว่ยเป็นยามเซิน จูเหยียนซวี่ถือจานฝนหมึกซึ่งใช้กล่องไม้จันทน์ห่อใหม่ รวมถึงใบชาชั้นดีสองสามห่อ สุราสลักบุปผาสองกา ขนมหอนอกศาลสองสามกล่อง ถือของพวกนี้เดินไปตรอกเทียนหนิว
เขาไม่ค่อยมาที่นี่ ถามทางหลายคนกว่าจะเจอเรือนสันติ
ตอนนั้นอำเภอหนิงอันโดยเฉพาะตรอกเทียนหนิวต่างรู้จักบ้านผีสิงลึกลับอย่างเรือนสันติ ตอนนี้ตรอกเทียนหนิวมีคนจำเรื่องนี้ได้ไม่กี่คน คนอายุน้อยหน่อยกล่าวแค่ว่าเป็น ‘บ้านร้างซึ่งต้นพุทราไม่เคยออกดอกออกผลหลังนั้น’
ยิ่งเข้าใกล้เรือนสันติ จูเหยียนซวี่วัยเจ็ดสิบปีถึงกับเริ่มประหม่าขึ้นมา สุดท้ายเมื่ออยู่ห่างจากหน้าเรือนไปไม่ไกลนัก เห็นประตูเรือนเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ยังเดินไปไม่ถึงตรงหน้าประตูเรือน เขาเงยหน้ามองด้วยคิดยืนยันตามจิตใต้สำนึก แต่กลับไม่เห็นแผ่นป้ายเรือนเล็ก
“เป็นใต้เท้าจูกระมัง เชิญเข้ามา!”
เสียงราบเรียบนุ่มนวลของจี้หยวนดังมาจากด้านใน เห็นชัดว่าจูเหยียนซวี่ยังไม่ถึงประตู ไม่มีทางถูกคนข้างในมองเห็น แต่เมื่อเป็นจี้หยวนย่อมไม่แปลก
จูเหยียนซวี่ผ่อนคลายจิตใจเล็กน้อย รีบเดินไปหน้าประตูเรือน เปิดประตูเรือนเดินเข้าไป เห็นว่าบนโต๊ะหินข้างในมีแผ่นป้ายวางพาดอยู่ ส่วนจี้หยวนยืนอยู่ข้างโต๊ะกำลังจัดวางหมึกพู่กัน
จี้หยวนเงยหน้ามองจูเหยียนซวี่พลางยิ้มกล่าว
“ใต้เท้าจูเชิญนั่ง เวลาล่วงเลยมานาน ครั่งบนแผ่นป้ายเรือนเล็กหลุดลอกพอสมควร บังเอิญว่าข้าคนแซ่จี้มั่นใจในการเขียนอักษรของตนอยู่บ้าง ข้าจึงคิดเขียนทับลงไปอีกครั้ง”
“อะ อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้ จริงสิ ท่านจี้ ในเมื่อท่านต้องการเขียนอักษร ลองใช้จานฝนหมึกทรงเหลี่ยมของข้าแทนเถอะ จานฝนหมึกนี้มีความเป็นมา นามว่าจานฝนหมึกเมฆาวารี เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ฝีมือยอดเยี่ยมท่านหนึ่งแห่งอำเภอหนิงอันของพวกเราสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ใช้แต่วัตถุดิบล้ำค่า ตอนนั้นนายอำเภอเฉินมอบให้ข้า คนหยาบกระด้างอย่างข้าใช้มันคงเสียของจึงนำมามอบให้ท่านจี้ อ้อ ยังมีของพวกนี้ ล้วนเป็นของขวัญเล็กน้อย ใกล้ฉลองปีใหม่แล้ว มาเยือนถึงหน้าประตูแค่พกของมาบ้างเท่านั้น…”
จี้หยวนพยักหน้า
“ใต้เท้าจูเชิญนั่งเถอะ วางของลงด้านข้างก่อน จานฝนหมึกนี้ใต้เท้าเฉินมอบให้ท่าน ข้าคนแซ่จี้คงไม่สะดวกรับ แต่ของอื่นเหล่านี้ ข้าขอรับไว้”
“เอ่อ อะ อ้อ!”
จูเหยียนซวี่ประหม่าอยู่บ้าง เดิมคิดวางของบนโต๊ะ แต่แผ่นป้ายอยู่ตรงนั้นจึงวางลงข้างโต๊ะก่อน มองจี้หยวนฝนหมึกอย่างละเอียดลออ กลิ่นหมึกหอมเลือนรางลอยออกมา
ต่อให้จูเหยียนซวี่เป็นจอมยุทธ์ ชั่วพริบตาก็รู้ว่านี่คือหมึกชั้นดี