สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 352 เปิดโปง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 352 เปิดโปง

ท่านเหล่าโหวลงมือรวดเร็วนัก จิ้งไท่เฟยยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกพาตัวออกมาถึงหน้าประตูแล้ว

แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะนางไม่คิดไม่ฝันว่าท่านเหล่าโหวจะทำอะไรแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ นางเองไม่ทันได้ตั้งตัว

ส่วนที่มึนงงยิ่งกว่าคงเป็นฮ่องเต้

ฮ่องเต้มองท่านเหล่าโหวที่สวมชุดดำตระเวนราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหันไปมองมือของท่านเหล่าโหวที่กำข้อมือของจิ้งไท่เฟย จากนั้นก็พลันเดือดดาลขึ้นมา!

เขาได้ยินเพียงเสียงอื้ออึงในหู หลังจากนั้นหัวสมองก็ขาวโพลนไปหมด!

ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นสะเทือนขวัญยิ่งนัก รุนแรงจนเขาหาเสียงตัวเองไม่เจอ!

ท่านเหล่าโหวชะงักฝีเท้าลง

เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะบังเอิญพบกับฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่ยามเขาเดินผ่านห้องทรงอักษร ยังเห็นว่าภายในจุดไฟสว่างโร่อยู่เลยแท้ๆ เขานึกว่าฮ่องเต้จะอ่านฎีกาอีกนานเสียอีก

จิ้งไท่เฟยได้สติกลับมาคนแรก นางสะบัดมือชักแขนกลับมา

ทว่าท่านเหล่าโหวกลับคว้ามือนางกลับตามสัญชาตญาณ พอคว้ากลับมาแล้วถึงจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่เหมาะไม่ควร แต่น่าเสียดายที่ความผิดนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว

ฮ่องเต้เดือดจนควันออกหู ส่งเสียงคำรามลั่น “กู้เฉา!”

ท่านเหล่าโหวสั่นไปทั้งร่าง คลายมือจิ้งไท่เฟย

อีกคนที่ตื่นตกใจเพราะเสียงตวาดของฮ่องเต้คือแม่นมไช่ที่ออกไปถ่ายเบา

แม่นมไช่มองจิ้งไท่เฟยและท่านเหล่าโหวที่อยู่ในรั้วประตู ก่อนจะหันไปเห็นฮ่องเต้สีหน้าเกรี้ยวกราดที่ยืนอยู่นอกรั้ว มีหรือนางจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

นางสบถในใจ ‘เวรกรรมหนอ’ ตนออกไปเพียงครู่เดียว เหตุใดถึงได้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ได้

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่นางจะอั้นไว้ก่อน

ฮ่องเต้กำหมัดแน่น ราวกับใช้กำลังทั้งหมดอดทนอดกลั้นไม่ให้ชักกริชออกมาบั่นคอท่านเหล่าโหว เขากัดฟันเค้นคำออกมา “กู้เฉา! นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทางที่ดีเจ้าควรบอกความจริงกับเรา!”

หากจี้จิ่วอาวุโสอยู่ที่นี่ คงใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเอาตัวรอดไปได้ ฮ่องเต้จะเชื่อหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาเป็นว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยอมรับสารภาพไม่ได้เด็ดขาด คงต้องกัดฟันพูดออกไปว่า ‘ความสัมพันธ์ของกระหม่อมและไท่เฟยนั้นขาวสะอาด!’

ทว่าด้วยนิสัยของท่านเหล่าโหว เขาไม่อาจทำแบบนั้นได้ ในสนามรบเขาเหมือนดั่งเทพเจ้าแห่งสงคราม กลอุบายแยบยล ใช้ทหารหลอกล่อศัตรูได้อย่างเหนือชั้น ทว่าพอออกจากสนามรบกลับเหมือนทิ้งสมองไว้ที่นั่น

โดยนิสัยแล้วเขานั้นเป็นคนซื่อตรง อ้าปากก็เห็นทะลุหมดไส้หมดพุงแล้ว ไม่ได้เจ้าเล่ห์หน้าไม่อายอย่างจี้จิ่วอาวุโส

หากฮ่องเต้จับไม่ได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร แต่เมื่อบังเอิญเจอฮ่องเต้แบบนี้ ต่อให้แก้ตัวข้างๆ คูๆ อย่างไรก็คงไม่เป็นผล

เขาทรุดเข่าลงในทันใด ก่อนจะโขกหัวจนพื้นแทบร้าว

“ฝ่าบาท!” เขาเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเจ็บปวด “กระหม่อมมีความผิด!”

แม่นมไช่ฉวยโอกาสนี้ ชี้หน้าด่าเขา “เจ้าย่อมต้องมีความผิดอยู่แล้ว! เป็นถึงขุนนาง ฝ่าบาทไว้ใจเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับบุกเข้ามาในวังหลวงกลางดึกแล้วลักพาตัวไท่เฟยเช่นนี้หรือ!”

ยอมรับผิดเสีย ยอมรับผิดเดี๋ยวนี้ ท่านเหล่าโหว รีบแบกรับความผิดนี้ไว้คนเดียว อย่าได้ให้ไท่เฟยต้องเข้าไปพัวพันด้วยเลย

หลังต้นไม่ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ขันทีหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นก็ค่อยๆ หายตัวไป ก่อนจะวิ่งจ้ำไปยังตำหนักเหรินโซ่ว แล้วรายงานเหตุการณ์ที่ตำหนักหวาชิงให้ฉินกงกงทราบ

ไอ้หยา สนุกแล้วล่ะคราวนี้!

ฉินกงกงกราบทูลไทเฮาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“มีอะไรน่าสนใจกัน” จวงไทเฮาไม่สนใจเรื่องชิงรักหักสวาทของจิ้งไท่เฟยหรอก

แต่ฉินกงกงอยากรู้!

อยากรู้จนตัวสั่นเชียวล่ะ

ฉินกงกงพยายามหว่านล้อม “ไปดูนิดหน่อยก็ไม่เสียหายนี่พ่ะย่ะค่ะ ท่านก็เล่นละครตบตากับฮ่องเต้มาตั้งนานแล้ว ก็คงต้องเห็นผลลัพธ์บ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ! รีบเหยียบนางให้จมเท้า ท่านก็ไม่ต้องแสดงละครอีกต่อไป”

จวงไทเฮามาคิดดูแล้วก็เห็นว่าเข้าท่า วางฎีกาในมือลงแล้วไปยังตำหนักฮว๋าชิง

บรรยากาศของตำหนักฮว๋าชิงอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก เหล่าบรรดาข้าหลวงก้มหน้าก้มตาคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นงันงก!

“ไทเฮาเสด็จ…”

หลังจากเสียงประกาศของฉินกงกง ทุกคนก็ยิ่งหมอบต่ำยิ่งกว่าเดิม

จิ้งไท่เฟยและแม่นมไช่หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย จวงไทเฮาสวมชุดหงส์หรูหราฟู่ฟ่า ทั้งตัวชุดและแขนเสื้อกว้างปักลายหงส์สยายปีก ยามเดินเยื้องย่างท่ามกลางราตรี ชวนให้รู้สึกกดดันเหมือนถูกพิพากษาอย่างไรชอบกล

ท่านเหล่าโหวและฮ่องเต้สบตากันเงียบๆ แม้ไม่ได้หันไปมองไทเฮ ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยังสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของนาง

เว่ยกงกงถวายบังคมไทเฮา

ไทเฮาก้าวขึ้นบันได กวาดสายตามองเหล่าคนทั้งหลาย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เหอะ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว แต่ตำหนักหวาชิงกลับคึกคักถึงเพียงนี้เชียวรึ แม้แต่ท่านเหล่าโหวก็มาด้วยหรือ แล้วเหตุใดท่านเหล่าโหวถึงคุกเข่าเล่า แถมยังมาคุกเข่าหน้ากุฏิแม่ชีจิ้งอันอีก”

พอเอ่ยขึ้นดังนั้น ฮ่องเต้ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตาเฒ่ากู้เฉานี่คุกเข่าไม่ถูกที่ถูกทาง เขากัดฟันกรอด “ไปคุกเข่าข้างนอก!”

ท่านเหล่าโหวคุกเข่าที่ลานกว้าง

จวงไทเฮาถามเสียงเนิบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ ฮ่องเต้สั่งลงโทษให้เขาคุกเข่ารึ”

แม่นมไช่รีบเอ่ยขึ้นในทันใด “ไทเฮาอาจจะไม่รู้ ท่านเหล่าโหวลอบเข้าวังหลวงกลางดึก ลักพาตัวไท่เฟย หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทมาได้ทันเวลา ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าไท่เฟยจะประสบพบเจอสิ่งใด”

จวงไทเฮาเลิกคิ้ว “อ๋อ ลักพาตัวไท่เฟยอย่างนั้นรึ ข้าจำได้ว่าตำหนักฮว๋าชิงมีองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเฝ้าระวังอยู่ องครักษ์หลงอิ่งตายหมดแล้วหรืออย่างไร ยังต้องรอให้ฝ่าบาทมาช่วยอีกหรือ”

เมื่อสิ้นเสียง สีหน้าของฮ่องเต้ก็พลันเปลี่ยน!

เมื่อครู่เดือดเลือดขึ้นหน้า จนลืมไปเสียสนิทเลยว่าตนเองส่งองครักษ์หลงอิ่งมาคอยอารักขาไท่เฟย

นั่นสินะ องครักษ์หลงอิ่งก็อยู่ แล้วกู้เฉาเข้ามาประชิดตัวไท่เฟยได้อย่างไร

คงไม่ใช่ว่าองครักษ์หลงอิ่งถูกคนล่อไปอีกทางอีกแล้วหรอกกระมัง!

ต่อให้ถูกล่อออกไปอีกทางเพียงครู่ แต่ตัวเขามาถึงตั้งนานแล้ว องครักษ์หลงอิ่งก็ควรกลับมาได้แล้ว

จวบจนบัดนี้องครักษ์หลงอิ่งก็ยังไม่ปรากฏตัว ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือไท่เฟยสั่งให้พวกเขาถอยออกไป!

เพราะอย่างนั้นกู้เฉาจึงไม่ได้ลักพาตัวไท่เฟย

ทว่าพวกเขาทั้งสอง…พวกเขาทั้งสอง…

ฮ่องเต้บังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงคำนั้น แต่ฉินกงกงกลับเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างตื่นตระหนก “ไอ้หย่า! ดึกดื่นเช่นนี้ แม่ชีจิ้งอันคงไม่คิดหนีออกนอกวังไปพร้อมกับท่านโหวหรอกกระมัง”

เว่ยกงกงเอ่ย “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ! พวกท่านทั้งสองคงไม่ได้คิดจะหนีตามกันไปใช่หรือไม่”

แม่นมไช่แทบจะเสียสติ นางหันไปถลึงตาใส่เว่ยกงกง เจ้าเป็นพวกใครกันแน่!

เว่ยกงกงยกมือป้องปาก ไอ้หยา หลุดปากออกไปเสียแล้ว

“ฉินกงกง! ระวังคำพูดด้วย!” แม่นมไช่ตวาดลั่น!

ทว่าต่อให้นางเสียงดังไปแล้วจะมีประโยชน์อันใดขึ้นมา แค่ตะเบ็งเสียงกลบเกลื่อนก็เท่านั้น

ความจริงตั้งอยู่ตรงหน้า ต่อให้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเพียงใดก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าองครักษ์หลงอิ่งไม่ออกโรง

จิ้งไท่เฟยหันไปมองจวงไทเฮาที่ยืนอยู่นอกประตูท่ามกลางราตรีมืดมิด

จวงไทเฮาไม่มีแม้แต่ทายาท แต่กลับผงาดง้ำค้ำวังหลวงมานานหลายปี คงมิใช่เพราะโชคช่วยแน่นอน

ใช่ว่านางจะไม่ใช่พวกร้อยเล่ห์เพทุบาย แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่ควรค่าพอให้นางต้องลงแรงแย่งชิง

ทว่านั่นกลับทำให้คนบางกลุ่มเข้าใจผิด คิดว่าคนเช่นนางจะทำอะไรได้ นอกเสียจากใส่ร้ายป้ายสี อิจฉาริษยาผู้อื่น

จวงจิ่นเซ่อนั้นหยิ่งจองหอง

จวงจิ่นเซ่อผู้แสนเย่อหยิ่งนั้นไม่มีทางสนใจว่าจิ้งไท่เฟยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยิ่งไม่มีทางซ้ำเติมจิ้งไท่เฟยแน่นอน

เพราะนางไม่เคยแยแส

จวงจิ่นเซ่อเปลี่ยนไป

นางยังคงหยิ่งจองหองเช่นเดิม แต่นอกจากความหยิ่งจองหองนั้นมีบางสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา

จิ้งไท่เฟยกำลูกประคำในมือแน่น

จวงไทเฮาแค่นหัวเราะ “หลายปีที่ผ่านมาข้าถามเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่าอยากกลับมาหรือไม่ เจ้าบอกว่าไม่ต้อง เจ้าอยู่ที่วัดนั้นสบายดี ข้าคิดว่าเจ้าพูดไปตามมารยาทเสียอีก”

นางเอ่ย มองท่านเหล่าโหวด้วยแววตาล้ำลึก “ที่แท้เป็นคำพูดที่มาจากใจจริงอย่างนั้นรึ”

จวงไทเฮาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะพาฉินกงกงเดินจากไป

แม่นมไช่เดือดดาล “ไทเฮา! ท่านจะพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ไม่ได้! ท่านเคยถามไทเฟยว่าอยากกลับวังเมื่อใดกัน!”

จวงไทเฮาเคยถามหรือไม่อย่างนั้นรึ

แน่นอนว่าไม่เคย

เพียงแต่

จะหาว่าพวกนางใส่ความไท่เฟยอย่างนั้นรึ

ยามนี้ฟ้าดินช่างเป็นใจเหลือเกิน ข้าก็จะเหยียบเจ้าให้จมดินไปเสียเลย!

จวงไทเฮาที่ยอมสยบให้กับผลไม้เชื่อมห้าลูกก็ห้าวหาญอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแล!

เหล่าบุรุษมักจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพรรค์นี้ และเพราะคิดเล็กคิดน้อยอีกนั่นแล ถึงได้คลางแคลงใจ คำพูดของไทเฮาคือสิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างขาดสะบั้น

แม่นมไช่ทรุดเข่าลง ร้องขออ้อนวอนอย่างทุกข์ระทม “ฝ่าบาท! พระองค์อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของไทเฮาเลยเพคะ! ไท่เฟยกับท่านเหล่าโหวนั้นบริสุทธิ์ใจต่อกัน! ไท่เฟยไม่เคยพูดเช่นนั้นกับไทเฮา! ไทเฮาเองก็ไม่เคยส่งคนไปที่สำนักชีเพื่อรับตัวไท่เฟยกลับวัง! ไท่เฟยเป็นพระมารดาของพระองค์นะเพคะ! ฝ่าบาทต้องเชื่อนางนะเพคะ! ฝ่าบาท! ฝ่าบาทต้องเชื่อไท่เฟยนะเพคะ…”

ฮ่องเต้ปวดใจเหลือเกิน

เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าจี้จิ่วอาวุโสแอบอ้างว่าเป็นเสด็จพ่อของเขาด้วยซ้ำ

หรืออาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเรื่องของจี้จิ่วอาวุโสและจวงไทเฮาไม่มีทางเป็นความจริง หญิงอย่างจวงไทเฮา ไม่ต้องการชายใดแม้สักคน

นางมีทั้งอำนาจ มีทั้งความแข็งแกร่ง

แต่พระมารดาจิ้งไท่เฟยของเขานั้นอ่อนแอไร้ที่พึ่ง แถมกู้เฉายังเคยช่วยชีวิตนางอีกต่างหาก

ยามที่เขาลังเลว่าจะโปรดเกล้าสมรสพระราชทานตามที่กู้เฉาร้องขอดีหรือไม่ ก็เป็นจิ้งไท่เฟยนั่นแลที่ออกปากแทนเขา

หรือว่า…หรือว่าในใจของนาง…จะมีกู้เฉาอยู่ในนั้นจริงๆ

เขาหันไปมองจิ้งไท่เฟยอย่างเจ็บปวด ขอบตาแดงก่ำ “หากเราไม่บังเอิญเจอเข้า เสด็จแม่คงจะ…หนีไปกับเขาแล้วใช่หรือไม่”

วินาทีนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าที่ตนเองเจ็บปวดรวดร้าวนั้นเพราะเหตุใด

เพราะต่อให้จวงไทเฮามีชายในใจ นางก็ไม่มีทางหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามไป ไม่มีทางวางมือจากอำนาจ

นางยังคงเป็นจวงไทเฮาผู้สูงศักดิ์ ยังคงเป็นเสด็จแม่ของเขาเหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะเอือมระอานางมากเพียงใด รังเกียจเดียดฉันท์นาง เกลียดชังนาง แต่ก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปจากนางได้

แต่เสด็จแม่จิ้งกลับเลือกที่จะทอดทิ้งเขา

นางไม่ต้องการเขาแล้ว ไม่ต้องการลูกชายของตนเองอีกต่อไป

ฮ่องเต้จุกอยู่ในทรวง

เขาหันหลังกลับ กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “…พวกท่านไปเถิด”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท