สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 366 เจียวเจียวออกโรง (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 366 เจียวเจียวออกโรง (1)

กู้เจียวคือคนที่ถูกพ่อแม่แท้ๆ ทอดทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นในภาพจำของนางไม่มีความสัมพันธ์ใดที่อยู่ยงคงกระพัน ความเชื่อใจไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น

นางมองโลกด้วยมุมมองเรียบง่าย ไม่ขาวก็ดำ ดังนั้นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นสำหรับกู้เจียวล้วนเกิดขึ้นจากความรักใคร่ของคนสองคนและใจที่เปิดกว้างพอ

แต่ในบางครั้ง นางก็เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่คิดเหมือนนาง

แต่ละคนมีมุมมองของตัวเอง และนั่นก็คือความซับซ้อนของผู้คน

กู้เจียวขมวดคิ้วแน่น

ฉินกงกงสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของกู้เจียว จึงเอ่ยทัก “แม่นางกู้เป็นอะไรไปหรือ ไม่สบายตรงไหน”

“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวส่ายหน้า “คำถามนี้มันยากเกินกว่าข้าจะตอบได้”

ฉินกงกง “…”

กระนั้น ต่อให้ตอบไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำตามแผนขั้นต่อไป

บนโลกนี้ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ต้องหาคำตอบให้เจอ ยกตัวอย่างคนไข้คนหนึ่งที่จู่ๆ อาการลุกลามหนัก ต่อให้ไม่รู้สาเหตุ แต่สุดท้ายการรักษาคนไข้ให้ดีนั้นคือหน้าที่ที่นางต้องทำ

เรื่องของจิ้งไท่เฟยก็เช่นกัน

แม้จะไม่รู้ว่าที่นางจงใจวางยาฝ่าบาทนั้นเป็นเพราะอะไร แต่กู้เจียวจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก

ที่นางกล้าลงมือเช่นนี้ ย่อมมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน

กู้เจียวรีบไปลาท่านย่าที่ห้องหนังสือ ก่อนจะออกจากวัง

กู้เจียวเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดอะไรกับการมาเยือนวังหลวงครั้งนี้ แต่พอฮ่องเต้ได้สารว่ากู้เจียวมาที่วัง ก็ตั้งหน้าตั้งตารอคิดว่ากู้เจียวจะมาช่วยพระองค์รักษาอาการป่วยให้ มารู้ให้หลังว่ากู้เจียวนั้นออกจากวังไปแล้ว

ฮ่องเต้จึงโกรธจนหน้าเขียว

“ฝ่าบาท หมอหลวงได้ตรวจร่างกายจิ้งไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นโรคชราทั่วไป ไม่มีอะไรน่ากังวลพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเอ่ย

ฮ่องเต้ไม่พอใจกับคำตอบนี้ “แต่มือของนางถูกลวกเช่นนั้น ไม่เป็นอะไรจริงหรือ”

“ไม่ได้บาดเจ็บหนักพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่เกิดรอยแดงเท่านั้น หมอหลวงถวายโอสถให้แล้ว ไม่พ้นวันก็น่าจะดีขึ้นขอรับ” เว่ยกงกงเอ่ย

“ข้าไม่วางใจเลย” ฮ่องเต้เอ่ยจบก็ลุกออกจากแท่นบรรทม

เว่ยกงกงเห็นดังนั้นจึงพยายามเข้าไปห้าม “ฝ่าบาททรงคิดจะทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ!!”

“ข้าจะไปเยี่ยมเสด็จแม่ วันนี้จิตใจนางบอบช้ำมากพอแล้ว ข้างในคงร้อนรุ่มน่าดู หากข้าไม่เข้าไปหา เกรงว่าจะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างหลุดออกไปอีกว่าข้าไม่ให้ความสำคัญแก่นาง”

เว่ยกงกงอยู่ในวังมานาน มีหรือจะไม่เข้าใจเรื่องนี้

แต่ร่างกายของฮ่องเต้ยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก หมอหลวงกำชับแล้วว่าต้องพักผ่อนให้มาก

เว่ยกงกงทำหน้าละเหี่ยใจ “ฝ่าบาท พักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟยเข้าใจพระองค์อยู่แล้ว ส่วนคนในวังใครจะกล้ามองเช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ. ”

ถ้าไม่นับคนคนนั้นที่ตำหนักเหรินโซ่วละก็นะ

แน่นอนว่าประโยคนี้เว่ยกงกงไม่ได้เอ่ยออกไป

“หากพระองค์ไม่วางใจ กระหม่อมไปดูแทนให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยกงกงคือคนสนิทของฮ่องเต้ เท่ากับเขาเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ การไปสำนักชีบ่อยครั้งทำให้ผู้คนเกิดความเกรงใจจิ้งไท่เฟย

ฮ่องเต้ยังคงยืนยันที่จะไป แต่ทันทีที่เขายกผ้านวมขึ้นและลงไปยืนที่พื้น เขารู้สึกวิงเวียนอยู่พักหนึ่งก่อนจะล้มลงไปบนแท่นบรรทมตามเดิม

ดูเหมือนจะลุกไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆ

“ฝ่าบาท” เว่ยกงกงที่กำลังมองนายของตัวเองเอนร่างล้มลงนอน ก็เข้าไปช่วยห่มผ้าให้ สักพักเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาทขอรับ วันนี้ได้เล่าเรื่องฝันร้ายให้จิ้งไท่เฟยได้ทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ยังนะ ทำไมรึ”

เว่ยกงกงยิ้มอ่อน “เอ่อ…ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะเมื่อสักครู่นี้ ตอนที่ไทเฮาเสด็จมาเข้าเฝ้า จู่ๆ จิ้งไท่เฟยก็บอกนางว่าฝ่าบาทฝันร้าย รู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทฝันร้าย กระหม่อมก็จำได้ว่ากระหม่อมไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว

“บางทีเสด็จแม่อาจจะเผลอได้ยินตอนกำลังจะเดินเข้ามาถวายโอสถก็เป็นได้” ฝ่าบาทเอ่ยตอบด้วยท่าทีไร้กังวล

ใช่หรือ

ไฉนเขาถึงรู้สึกว่าสีหน้าของจิ้งไท่เฟยในตอนนั้นมีบางอย่างแปลกๆ ชอบกล

แน่นอนว่าเว่ยกงกงไม่กล้าเอ่ยออกไป บางทีเขาอาจมองผิดเองก็ได้

หลังจากที่กู้เจียวออกจากวัง นางไม่ได้เดินทางไปที่โรงหมอ หรือกลับตรอกปี้สุ่ย แต่มุ่งหน้าไปที่สำนักบัณฑิตชิงเหอแทน

กู้เฉิงเฟิงที่เพิ่งจะออกจากห้องน้ำ ยังไม่ทันได้ใส่กางเกงเสร็จดี จู่ๆ ก็มีมือประหลาดพุ่งเข้ามาแล้วลากตัวเขาออกไปจนกางเกงแทบจะหลุดออกมา

เขาพยายามเอามือรั้งกางเกงและเข็มขัดไว้แน่น ก่อนจะหันไปมองร่างปริศนาที่เข้ามาเล่นงานเขาด้วยสีหน้าโกรธจัด “นางเด็กนี่! เหตุใดถึงทำอะไรวิตถารเช่นนี้! กลางวันแสกๆ มาแอบดูผู้ชายถอดกางเกงได้อย่างไร!”

ถ้าไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวตัวเอง ใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเป็นหญิงวิตถารจากไหนมาแอบถ้ำมองเสียอีก!

กู้เจียวปราดตามองเขาจากบนลงล่าง “ใครจะไปอยากดู คิดว่าตัวเองน่าดูนักหรือ แค่กระจิดเดียวเอง”

กระ…กระจิดเดียวอย่างนั้นรึ

ร่างของกู้เฉิงเฟิงพลันล้มลงจนชนกำแพงดังโครม!

ร่างของเขาออกมาอยู่นอกสำนักชิงเหอ เป็นไปตามคาดของกู้เจียว นางสะกิดเท้าเบาๆ แล้วมาหยุดยืนอยู่ข้างร่างของกู้เฉิงเฟิง

กู้เจียวยืนเอามือไขว้หลัง โน้มตัวลงมองดูร่างที่นอนกองบนพื้นอย่างหมดท่าของกู้เฉิงเฟิง

กู้เฉิงเฟิงนึกในใจ หากวันใดวันหนึ่งเขาตายไป นางต้องเป็นสาเหตุหลักแน่นอน

แล้วที่นางมาบอกเขาว่าแค่กระจิดเดียวนั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน

กู้เฉิงเฟิงได้แต่รู้สึกว่ากำลังถูกเหยียดหยามในความเป็นชายชาตรีของตัวเอง จนอยากจะถามด้วยซ้ำว่านางตาบอดหรือไร!

ตลอดเวลาที่ผ่านมา กู้เฉิงเฟิงมองตัวเขาเองว่าเป็นพ่อหนุ่มเครื่องแน่นมาโดนตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาบังเอิญเหลือบไปเห็นของเซียวลิ่วหลัง…

เขาจึงไม่กล้าแย้งอะไรอีก

กู้เจียวเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเขาที่ห้องน้ำหรอก เพียงแต่สถานที่อื่นนั้นมีคนเยอะเกินไป ไม่ว่าจะไปที่ไหนกู้เจียวก็สัมผัสได้ถึงสายตาของกู้เหยี่ยน

นี่คงเป็นความพิเศษของการเป็นแฝดฝากัน พวกเขามีจิตที่สื่อถึงกันได้

ห้องน้ำก็เป็นที่ที่เดียวที่กู้เหยี่ยนไม่น่าจะมา

เห็นได้ชัดว่ากู้เหยี่ยนประเมินความหน้าด้านหน้าทนของแฝดพี่ต่ำไปจริงๆ

กู้เจียวไม่ใช่คนพิถีพิถันเรื่องความสะอาดขนาดนั้น แต่พอหลังจากโยนร่างของกู้เฉิงเฟิงเสร็จ ก็รีบล้างมือในทันใด

กู้เฉิงเฟิงที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ “…”

หลังจากขึ้นรถม้า กู้เฉิงเฟิงถามในทันที “เจ้าให้ข้าออกจากสำนักโดยไม่แม้แต่จะบอกกับใครเลยเนี่ยนะ มันส่งผลร้ายต่อข้าเอานะ ข้าเป็นนักเรียนและข้าต้องการเรียนหนังสือ”

เอ่ยจบ กู้เจียวก็หยิบเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ

กู้เฉิงเฟิงเห็นดังนั้นก็อ้าปากค้าง “แม้ว่าสำนักจะไม่ตามข้า แต่ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูท่านปู่ของข้า ข้าก็ยังถูกลงโทษอยู่ดี”

กู้เจียวหยิบเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง

กู้เฉิงเฟิงรีบคว้าเงินไว้ในอ้อมแขนอย่างเงียบๆ “เรื่องเงินน่ะไม่สำคัญ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว คราวนี้จะให้ไปที่ไหนล่ะ”

“วังหลวง” กู้เจียวตอบ

กู้เฉิงเฟิงรู้สึกได้ทันทีว่าเงินในอ้อมแขนของเขาร้อนๆ ชอบกล… รีบคืนคำยังทันไหมเนี่ย

กู้เจียวนั้นสามารถเข้าวังหลวงได้อย่างเปิดเผย ขณะที่กู้เฉิงเฟิงโชคไม่ดีนัก เขาเป็นคนนอก การเข้าวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับคนในตำหนักเหรินโซ่ว ไม่มีเหตุผลที่ไทเฮาจะเรียกเขาเข้าพบ หรือแม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องพบบุตรชายคนรองของติ้งอันโหว

และที่สำคัญ เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้ จึงทำได้แค่แอบปีนกำแพงเข้าไป

ทั้งสองคนนัดเจอกันบริเวณใกล้กับสำนักชี

กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงมาถึงในเวลาใกล้เคียงกัน

กู้เจียวเลิกคิ้ว ว่องไวดีนี่ เดี๋ยวนี้เป็นงานใช่ย่อย

“เจ้าเคยมาวังหลวงรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

“จะบ้าหรือ เจ้าคิดว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่เจ้าเข้าไปได้แบบง่ายๆ หรือ” กู้เฉิงเฟิงหยิบแผนที่ออกมาจากแขนของเขา “นี่”

“แผนที่วังหลวงนี่” กู้เจียวเบิกตาโต “เจ้าไปได้มาอย่างไร”

กู้เฉิงเฟิงหัวเราะเสียงเนิบ “ก็ท่านพ่อข้าทำงานที่กรมโยธา วังน้อยใหญ่ในพื้นที่ทั้งหมดก็อยู่ในความดูแลของกรมโยธามาโดยตลอด แม้แต่สำนักชีของจิ้งไท่เฟยก็เช่นกัน”

ด้วยเหตุนี้ ที่เจ้ากู้เฉิงเฟิงร่อนไปไหนมาไหนเช่นนี้ได้ ก็เพราะขโมยแผนที่ของบิดาตัวเองมาสินะ

“ท่านพ่อข้าก็ท่านพ่อเจ้านั่นแหละ!” กู้เฉิงเฟิงรีบเอ่ยเสริม

พ่อเจ้าอย่างนั้นรึ หึหึหึ

กู้เฉิงเฟิงนึกในใจ เอาเถอะ นางไม่ใช่กู้เจียวเหนียงตัวจริงเสียหน่อย

“เจ้าอยากจะเข้าไปขโมยอะไรในวังล่ะ” กู้เฉิงเฟิงเองก็สงสัยมานานแล้วเรื่องนี้ ในเมื่อกู้เจียวเป็นที่เอ็นดูของไทเฮาและฝ่าบาทขนาดนี้ ยังอยากจะปล้นอะไรในวังอีก ถึงต้องมาทำเรื่องแบบนี้

กู้เจียวไม่ตอบอะไร แต่นำทางเขาเดินเข้ามาใกล้บริเวณสำนักชีให้มากขึ้น

“ที่แบบนี้มีอะไรให้ปล้นรึ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม

“ข้างในนั้นมีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ เจ้าเข้าไปได้หรือไม่” กู้เจียวถาม

กู้เฉิงเฟิงแทบจะฉี่ราดกางเกง!

“จะ เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ องครักษ์หลงอิ่งอย่างนั้นรึ!”

“รู้จักด้วยรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

กู้เฉิงเฟิงตะคอกกลับ “ข้าเป็นถึงหัวขโมยอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจาเชียวนะ จะไม่รู้เรื่ององครักษ์หลงอิ่งได้อย่างไร ทหารของจักรพรรดิผู้ล่วงลับมีพรสวรรค์อย่างมากในศิลปะการต่อสู้ แทบจะไม่มีใครที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้ สำนักชีเล็กๆ แบบนี้จะมีองครักษ์หลงอิ่งคอยคุ้มกันได้อย่างไร”

อ๋อ ลืมไปว่าเจ้าหมอนี่ไม่รู้เรื่องจิ้งไท่เฟยมาก่อน

กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะฝ่าบาทส่งให้มาเฝ้าที่นี่ ฝ่าบาทกตัญญูต่อจิ้งไท่เฟยเกินไปหรือเปล่า กลัวไทเฮาจนถึงขั้นต้องส่งองครักษ์หลงอิ่งมาคุ้มกันเลยหรือ”

ทุกคนล้วนแต่มองว่าไทเฮาเป็นฝ่ายมุ่งร้าย ไม่มีใครคิดว่าจิ้งไท่เฟยจะทำร้ายไทเฮาเลยสักนิด

“เจ้าจะขโมยอะไรจากนางล่ะ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม

“ยา” กู้เจียวเอ่ย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท