บทที่ 1293 การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก
บทที่ 1293 การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก
เวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ แค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามเดือน นับตั้งแต่ที่เฉินซีเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะในโลกแห่งดาราเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง ในขณะที่โลกแห่งดาราได้ผ่านไปแล้วเกือบหนึ่งปีครึ่ง
ในช่วงเวลานี้ เฉินซีนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงัน โดยไม่ขยับเขยื้อนประหนึ่งรูปปั้น ชายหนุ่มใช้ต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อขัดเกลาตนเองอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่หยุดพักแม้แต่น้อย
ภายใต้การบ่มเพาะเช่นนี้ จิตวิญญาณ พลังงาน แก่นแท้ พลังชีวิต และแม้แต่โลกทั้งใบภายในร่างกายก็มาถึงจุดสูงสุด
ต่อมา คล้ายเสียงของสายลมและสายฟ้าดังก้องอยู่ในร่างกาย มันกังวาน ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเต๋าที่ยิ่งใหญ่
ยิ่งกว่านั้น ทุกรูขุมขนบนร่างกายก็เปล่งแสงสีทองอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองจากระยะไกล มันก็ดูเหมือนถูกอาบด้วยแสงเจิดจรัสซึ่งสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
นี่เป็นกระบวนการสะสมพลัง เพราะรากฐานของเฉินซีนั่นลึกและยิ่งใหญ่เกินไป หากต้องการก้าวไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น จำต้องใช้พลังงานมหาศาล มิฉะนั้นก็ไม่อาจฟันฝ่าอุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างตนกับขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงได้
การสะสมพลังก็เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม เพื่อพุ่งไปข้างหน้าในรวดเดียวและทะลวงผ่านขีดจำกัดในชั่วพริบตาเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตใหม่โดยสมบูรณ์!
เพื่อให้กระบวนการเหล่านี้สำเร็จอย่างราบรื่น เฉินซีจึงใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งปีครึ่ง และถ้าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำคนอื่นได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็จะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
เพราะการสะสมพลังเป็นเวลานานเพียงเพื่อทะลวงขอบเขตนั้น เป็นสภาวะที่หาได้ยาก ทั้งนี่ก็เป็นการพิสูจน์ทางอ้อมว่ารากฐานของเฉินซีนั่นลึกและยิ่งใหญ่เพียงใด อีกทั้งยังไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ที่สำคัญที่สุด กระบวนการสะสมพลังนี้ยังคงดำเนินมาจนถึงตอนนี้…
…
ในช่วงสามเดือนที่เฉินซีอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ตัวอย่างเช่น เจิ่นลู่ได้ก้าวเข้าสู่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงในรวดเดียว สิ่งนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งสำนัก และชั่วขณะหนึ่ง เขาก็กลายเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตฝ่ายใน
ส่วนจ้าวเมิ่งหลีและจี้เซวียนปิงได้ทำลายสถิติในแดนเซียนสวรรค์มายา ซึ่งนางอยู่ในอันดับที่ห้า จี้เซวียนปิงอยู่ในอันดับที่หก และเฉินซีอยู่อันดับที่เจ็ด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ศิษย์สามคนที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายใน ได้ทำลายสถิติบนศิลาวิถีของด่านที่สามสิบเจ็ดไปจนถึงด่านที่เจ็ดสิบสองของแดนเซียนสวรรค์มายา ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงสร้างความแตกตื่นในสำนักอย่างมาก แม้แต่อาจารย์และผู้อาวุโสหลายคนยังต้องเดาะลิ้นเอ่ยชมเชยอย่างไม่รู้จบ
บางคนเดาว่าถ้าเจิ่นลู่ท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา บางทีเขาอาจทำลายสถิติได้เช่นกัน แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ เจิ่นลู่ยังไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในแดนเซียนสวรรค์มายาเลยสักครั้ง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นปริศนาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว ข่าวชิ้นหนึ่งที่แพร่กระจายเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้กลายเป็นหัวข้อที่ทั้งสำนักให้ความสนใจมากเป็นที่สุด นั่นคือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก
ตามชื่อของมัน มันเป็นการถกวิถีเต๋า และเป็นการประลองระหว่างศิษย์ของทั้งเจ็ดสำนักศึกษา
นี่เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา นับตั้งแต่สำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดได้ก่อตั้ง พวกเขาจะจัดงานเช่นนี้ในทุก ๆ สองสามปี โดยทั้งเจ็ดสำนักจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน และศิษย์ที่เข้าร่วมจะต้องเป็นศิษย์ขอบเขตเซียนทองคำที่โดดเด่นที่สุด
โดยที่งานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว นั่นคือการทดสอบความแข็งแกร่งของศิษย์รุ่นใหม่ และกระตุ้นให้เหล่าศิษย์ทุ่มเทบ่มเพาะ
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป วัตถุประสงค์ดั้งเดิมของงานนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นสังเวียนสำหรับศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในเจ็ดสำนักศึกษา เพื่อชิงชัยให้ได้มาซึ่งอำนาจอันสูงสุด
ถึงขนาดที่ผลลัพธ์ของงานถกวิถีเต๋าทุกครั้ง จะส่งผลต่อชื่อเสียงของสำนักศึกษาทั้งเจ็ด และเป็นที่รู้กันทั่วทั้งสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียนทั้งหมด
ซึ่งในครั้งนี้ ถึงคราวของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่เป็นเจ้าภาพในการจัดงานถกวิถีเต๋าของทั้งเจ็ดสำนัก
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เพราะมีโอกาสสูงที่การต่อสู้ระหว่างเจ็ดสุริยันอันเจิดจ้าจะปะทุขึ้นระหว่างงานถกวิถีเต๋าขอบเจ็ดสำนักครั้งนี้!
เนื่องจากตามข่าวลือ หนึ่งในเจ็ดสุริยันอันเจิดจ้าอย่างว่านเจี้ยนเซิง ซึ่งมาจากสำนักศึกษานภาไพศาล จะเข้าร่วมในการถกวิถีเต๋าในครั้งนี้ด้วย
ว่านเจี้ยนเซิง!
เขาเป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้า ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมาก่อนหลิงชิงอู๋ เยี่ยถัง และมู่จวินหลิน ซึ่งบรรดาสุริยันอันเจิดจ้าทั้งหก ในแง่ของชื่อเสียง คงมีแค่จั่วชิวคงกับเซวียนหยวนฉิงเฟิงเท่านั้นที่เทียบเคียงเขาได้
คนอื่น ๆ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อสนทนาถึงเรื่องของว่านเจี้ยนเซิง เพราะในฐานะปรมาจารย์สูงสุดในเต๋าแห่งกระบี่ที่หาตัวจบยาก และยังมีข่าวลือที่กล่าวว่าการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเขาได้บรรลุถึงระดับเซียนกระบี่แล้ว!
ด้วยเหตุนี้ ตามข่าวลือในปัจจุบัน ว่านเจี้ยนเซิงจะต้องเข้าร่วมในการถกวิถีเต๋า และแน่นอนว่ามีเพียงสุริยันอันเจิดจ้าเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มีเพียงหลิงชิงอู๋และเยี่ยถังเท่านั้นที่เป็นสุริยันอันเจิดจ้าเช่นกัน สำหรับจั่วชิวคงและมู่จวินหลิน พวกเขาไม่ได้เป็นศิษย์ของเจ็ดสำนักที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการถกวิถีเต๋า
ส่วนเซวียนหยวนฉิงเฟิง แม้ครั้งหนึ่งเขาจะเคยผ่านการทดสอบและเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่บ่มเพาะในสำนักศึกษาได้ไม่ถึงสามปี ก็ออกจากสำนักศึกษาและกลับไปที่ตระกูลเซวียนหยวน ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้
แต่โดยสรุปแล้ว เมื่อเซวียนหยวนฉิงเฟิงได้กลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้า ก็เป็นเวลากว่าร้อยปีหลังจากที่เขาได้ออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ หากว่านเจี้ยนเซิงเข้าร่วมในการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของเขามีเพียงหลิงชิงอู๋หรือเยี่ยถังเท่านั้น
นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสุริยันอันเจิดจ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนไปที่งานถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักในครั้งนี้
นอกจากนั้น เมื่อหกสำนักที่ยิ่งใหญ่มาที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขามีอีกภารกิจที่ต้องทำ นั่นคือการทวงคืนสมบัติล้ำค่าของสำนักจากเฉินซี ศิษย์สายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ตัวอย่างเช่น น้ำเต้าฟ้าดินของสำนักศึกษานภาไพศาล ผนึกเทวศสวรรค์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ และตะเกียงวังไหมเขียวของสำนักศึกษามหาเดียวดาย…
เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงระหว่างศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า เฉินซีผู้นี้ได้กระทำวีรกรรมอันกล้าหาญในระหว่างการสอบของเขตฝ่ายในบนสมรภูมินอกพิภพ ชายคนนั้นได้ยึดสุดยอดสมบัติของสามสำนักศึกษาอย่างเด็ดเดี่ยว และมันก็ฟังดูครอบงำในระดับที่น่าประหลาดใจ
สรุปแล้ว การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักที่กำลังจะจัดขึ้นโดยสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นไม่เหมือนกับในอดีต และมีหลายสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนเป็นอย่างมาก
แม้ว่างานใหญ่นี้ยังไม่เริ่มขึ้น แต่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับมันดูเหมือนจะโบยบินออกไปอย่างรวดเร็ว และกระพือไปทั่วทุกซอกทุกมุมของภพเซียน มันได้กลายเป็นหัวข้อที่ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรส
แน่นอนว่ามันทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะต่างรีบรุดเดินทางไปที่เมืองเซียนสัประยุทธ์จากทั่วทั้งภพเซียน โดยหวังที่จะได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในทันทีที่เป็นไปได้
ท้ายที่สุดแล้ว มันคือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก และเป็นตัวแทนของการชิงชัยระหว่างผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำที่แข็งแกร่งที่สุดของศิษย์รุ่นใหม่ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถมองข้ามไปได้
…
สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ณ เขตฝ่ายใน
กระท่อมฟาง บ่อน้ำพุใส และต้นสน
นี่คือสถานที่บ่มเพาะของอาจารย์ใหญ่ฝ่ายใน ฉือฉางเซิง มันถูกสร้างขึ้นบนภูเขาเตี้ย ๆ ธรรมดา ๆ และอันจริงที่ก็ดูโทรมเล็กน้อย
แต่ฉือฉางเซิงกลับมีความสุขและพอใจกับมัน ตั้งแต่เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายใน สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นที่พำนักของเขามาโดยตลอด และไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อย่างแน่ชัดว่า เหตุใดชายชราที่ดุร้ายและอารมณ์ร้อนคนนี้ถึงทำเช่นนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยบอกเหตุผลกับใครเช่นกัน สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือการกระทำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับฉือฉางเซิง ล้วนมีกลิ่นอายแปลกประหลาด และเมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็คุ้นเคยกับมัน
ในขณะนี้ ฉือฉางเซิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหน้ากระท่อม นอกจากนี้ยังมีคนอีกสองคนกำลังนั่งสบาย ๆ อยู่บนพื้นไม่ใกล้ไม่ไกล น่าแปลกที่พวกเขาคือหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในหวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่
“เป็นที่แน่นอนแล้วว่า พิสดารเฟิงแห่งสำนักศึกษานภาไพศาลจะพาว่านเจี้ยนเซิงมาด้วย” หวังต้าวหลูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “แม้ว่าการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก จะเป็นงานใหญ่ที่ศิษย์รุ่นใหม่จะมาประลองฝีมือกัน ทว่าหากว่านเจี้ยนเซิงเข้าร่วมในครั้งนี้ ก็คงจะแตกต่างออกไป”
ฉือฉางเซิงหัวเราะเสียงเย็น “ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? ไอ้แก่พิสดารเฟิงนั่น ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความเหนือกว่าของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าการที่เขาพาเจ้าหนูนั้นมาด้วยในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้สำนักของเราขายหน้า”
หวังต้าวหลูถอนหายใจ “นั่นก็จริง แต่ว่านเจี้ยนเซิงเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ธรรมดา ปัจจุบัน หลิงชิงอู๋จากสำนักของเราได้ไปขัดเกลาตนเองที่นอกสำนัก และยังไม่กลับมาจนถึงตอนนี้ ดูท่าคงจะไม่สามารถกลับมาทันก่อนงานใหญ่ได้ ดังนั้น ในบรรดาศิษย์ที่สามารถต่อกรกับว่านเจี้ยนเซิงได้ก็มีเพียงเยี่ยถังเท่านั้น”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “หากเปรียบเทียบกันแล้ว ข้ารู้สึกว่าเยี่ยถังด้อยกว่าว่านเจี้ยนเซิงเล็กน้อย เยี่ยถังเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ แต่ว่านเจี้ยนเซิงได้สร้างชื่อให้กับตัวเองมาหลายปีแล้ว แม้ว่าเยี่ยถังจะมีความสามารถต่อกรกับเขาได้ แต่การฝึกฝนก็ยังด้อยกว่าอยู่ดี”
ฉือฉางเซิงมองไปที่หวังต้าวหลูด้วยความไม่พอใจและกล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่าเยี่ยถังนั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้าเด็กนั้น”
หวังต้าวหลูยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าชายชราผู้นี้มีอารมณ์ร้ายและดื้อรั้นมากเพียงใด ดังนั้นการโต้เถียงกับคนเช่นนี้จึงเปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “ตามกฎแล้ว ทุกสำนักศึกษาจะต้องส่งศิษย์ออกไปห้าคน พี่ฉือเจ้าคิดว่าเราควรส่งใครไปดี”
ครั้งนี้ฉือฉางเซิงเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว และครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะโบกมือและกล่าว “เยี่ยถัง ชิงเยี่ย เจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง และจ้าวเมิ่งหลี”
หวังต้าวหลูตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ โดยปกติแล้ว ข้าไม่สงสัยเรื่องที่เยี่ยถังจะถูกส่งออกไปเป็นตัวแทน แต่อีกสี่คนที่เหลือได้เกินความคาดหมายของเขาจริง ๆ ชิงเยี่ยเป็นคนเก็บตัวและไม่มั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังมีนิสัยรักสงบเสียจนออกจะดูขลาดกลัวเล็กน้อย ซึ่งตั้งแต่เข้าสู่เขตฝ่ายใน เขาไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้หรือประลองแม้แต่ครั้งเดียว แต่เจ้ากลับตั้งใจจะส่งเขาออกไปหรือ?
แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรงของเจ้า แต่นิสัยเช่นนั้นไม่เหมาะกับการต่อสู้เลยมิใช่หรือ?
นอกจากเขาแล้ว เจิ่นลู่และอีกสองคนยังเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายใน แม้ศิษย์พวกนั้นจะแสดงผลงานที่ไม่ธรรมดาในเขตฝ่ายในเมื่อไม่นานมานี้ แต่การสะสมพลังก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับศิษย์อาวุโสหลายคนในเขตฝ่ายใน
แต่ตอนนี้ เจ้าตั้งใจจะส่งพวกเขาไปเป็นตัวแทนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพื่อเข้าร่วมในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก? นี่มันไม่ใช่การละเล่นของเด็ก ๆ!
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่หวังต้าวหลูยังไม่เคยกล่าวออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องกล่าว “พี่ฉือ สำนักทั้งหกได้ประกาศแล้วว่า เฉินซีจะต้องเข้าร่วมในการถกวิถีเต๋าในครั้งนี้”