ตอนที่ 2 ตามข้ามา
“หลินเซวียนเจ้าคนไม่ซื่อสัตย์นั้น เขาได้ละเมิดกฎของตระกูลหลายครั้งหลายครา ตอนนี้เราควรจะลบชื่อนายน้อยของเขา ขับไล่ออกจากคฤหาสน์จอมดาบเสีย!”
“ถูกต้อง! คนแบบนี้ควรจะถูกขับไล่ออกจากคฤหาสน์มาตั้งนานแล้ว พวกเรามีแต่จะเสียหน้าหากยังมีเขาอยู่ในบ้าน!”
“เก็บมันไว้จะมีประโยชน์อะไรงั้นหรือ? แค่เปิดจุดชีพจรยังทำไม่ได้!”
“ใช่ มันน่าอับอายอย่างมากที่ต้องมีคนแบบนั้นในตระกูล ไล่เขาออกจากบ้านนี้เสีย!”
เสียงเย้ยหยันกระหึ่มไปมาราวกับสัตว์ร้ายคำราม
“อ๊าก!”
หลินเซวียนเปิดตาพร้อมลุกขึ้นนั่งด้วยเหงื่อที่ไหลท่วม แสงแดดรุ่งอรุณส่องทะลุหน้าต่างไม้เข้ามา เป็นผลให้เขากลับสู่โลกแห่งความจริง
“ฝันร้ายนี้อีกแล้ว” หลินเซวียนทำได้แค่นั่งอย่างสลด เมื่อตอนยังเด็ก เขาได้แสดงพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์อันแพรวพราด บางกระบวนท่า เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างดีหลังจากที่เห็น ทุกคนในตระกูลเลยคิดว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะด้านนี้เป็นแน่ จนตั้งความหวังไว้อย่างมาก
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
การจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริงได้นั้น มันต้องรวบรวมพลังวิญญาณในร่างกายเพื่อทะลวงจุดชีพจร แต่หลินเซวียนกลับไม่สามารถทำได้
ดังนั้นเขาจึงถูกตระกูลทอดทิ้ง
หลังจากลูบใบหน้าอยู่ชั่วครู่ เขาได้ลุกออกจากผ้าห่มก่อนจะเดินไปคว้าชาบนโต๊ะมากระดก
มันเป็นกระท่อมที่ซอมซ่อ ภายในบ้านมีเพียงโต๊ะไม้กับเตียงเก่า ตัวของหลินเซวียนก็สวมเพียงเสื้อคลุมผ้าถักเนื้อหยาบ ขณะตื่นขึ้นมาได้ชั่วครู่ เขาพลันได้ยินเสียงประตูถูกเตะให้เปิดออกอย่างรุนแรง
คนแรกที่เข้ามาในห้องของเขาคือเฉินเฟิง ชายหนุ่มชุดขาวในตอนนั้น อีกทั้งยังมีคนด้านหลังอีกหลายสิบคน เขากล่าวขึ้นอย่างหยิ่งผยอง “ไอ้หนู มากับพวกเรา!”
“นี่ข้าไปทำอะไรให้พวกท่าน?” หลินเซวียนรีบแต่งตัวพร้อมถามกลับอย่างเย็นชา
“เจ้าเป็นแค่ขี้ข้าดาบ แต่กลับกล้ากระทำหยาบคาย!” เฉินเฟิงดึงดาบออกมาและชี้ไปยังหลินเซวียน
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากดาบยาวตรงหน้า หลินเซวียนเลื่อนมือไปจับจี้ห้อยคอรูปดาบอย่างไม่รู้ตัว มันคือสิ่งที่บิดาของเขาให้ไว้ก่อนตาย ภายในนั้นมีพลังวิญญาณบางอย่างเก็บไว้ นับได้ว่าเป็นเครื่องรางที่คอยช่วยชีวิตเขาจากหายนะมาหลายครั้ง
หลังจากสัมผัสจี้ที่หน้าอก หลินเซวียนก็เริ่มสงบลง คู่ต่อสู้คือผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสอง หากพวกมันต้องการสังหารเขาจริง เช่นนั้นเขาก็จะกระตุ้นมันทันที
เมื่อเห็นหลินเซวียนไม่สั่นกลัวเหมือนขี้ข้าดาบคนอื่น บรรดาศิษย์ชุดขาวเหล่านั้นจึงรู้สึกประหลาดใจ โดยเฉพาะเฉินเฟิงยิ่งโกรธมากกว่าเดิม แม้แต่ขี้ข้าดาบยังไม่กลัวเขา หากข่าวนี้แพ้กระจายออกไป แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“นี่ เฉินเฟิง! อย่าลืมสิ่งที่พวกเราตั้งใจไว้สิ เจ้าจะรับผิดชอบต่อความเอื่อยช้านี้งั้นหรือ?” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำได้หยุดเฉินเฟิงที่กำลังไม่สบอารมณ์
“ไอ้หนู มากับพวกเรา ข้ามีบางอย่างจะให้เจ้าทำ” จางปิ่น หัวหน้ากลุ่มของพวกเขากล่าวขึ้นอย่างเย็นเยือก
หลินเซวียนมองไปยังขี้ข้าดาบด้านหลังกลุ่มก่อนจะนึกคิดกับตนเอง ‘ท้ายที่สุดก็ต้องมีปัญหา ตามพวกเขาไปก่อน แล้วค่อยดูว่าพวกเขาจะทำอะไร!’
หลินเซวียนเดินผ่านออกไปโดยไม่แสดงท่าทีเกรงกลัว
เมื่อเฉินเฟิงเห็นหลินเซวียนเข้าไปอยู่กับกลุ่มขี้ข้าดาบแล้ว เขาได้กล่าวเยาะเย้ยตามหลัง “ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะตายยังไง!”
จางปิ่นนำกลุ่มขี้ข้าดาบออกไปพร้อมกล่าว “ทุกคนตามข้ามา!” พวกเขารีบเดินไปยังป่าใกล้กับสำนักซวนเทียน
สำนักยซวนเทียนเป็นหนึ่งในสามสำนักของเมืองหยุนโจว มันตั้งอยู่รอบนอกของภูเขาไท่หัง ศิษย์ของสำนักมักจะออกไปเก็บสมุนไพรในภูเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เพียงแค่บริเวณรอบนอก ภูเขาไท่หังนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่มันยิ่งอันตรายมากเท่านั้น หากปราศจากความแข็งแกร่ง เช่นนั้นก็ทำได้แค่รอวันตายในขุนเขานี้
หลินเซวียนตามบรรดาศิษย์ชุดขาวเข้าไปในถ้ำที่เต็มไปด้วยวัชพืชและเถาวัลย์ ตรงทางเข้ามีกลิ่นของเห็ดหลินจือลอยมา
เมื่อเหล่าศิษย์ในชุดขาวมองเข้าไปในถ้ำที่มีเห็ดหลินจือสีเพลิงอยู่ พวกเขาต่างพากันแสดงความละโมบจนน้ำลายไหล จางปิ่นข่มความตื่นเต้นไว้ในใจก่อนจะกล่าว “ขี้ข้าดาบทุกคนฟังให้ดี มันมีงูตัวเล็กอยู่ในถ้ำนี้ พวกเจ้าจงนำงูตัวนั้นออกไปให้ไกลที่สุด”
“หากทำไม่ได้หรือคิดจะหนี ข้าจะเป็นคนแรกที่สังหารพวกเจ้า!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ร่างกายของเขาได้ดูดุดันขึ้นพร้อมพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง
หัวใจของหลินเซวียนจมลงพร้อมสบถ ‘เจ้านี้ต้องการใช้พวกเราล่อสัตว์ร้ายออกไป จากนั้นค่อยเก็บเห็ดหลินจือเพลิงกันเองสินะ?’
เขาได้กลิ่นหอมอบอวลของหลินจือเพลิงเช่นกัน แต่กลับไม่มีสัตว์ป่าเข้ามาใกล้ อีกทั้งระแวกนี้ยังเงียบเชียบอย่างมาก มันชัดเจนแค่ไหนว่าสัตว์อสูรในถ้ำนั้นทรงพลัง
หลินเซวียนไม่ใช่ขี้ข้าดาบธรรมดา เขาเคยเป็นนายน้อยของคฤหาสน์จอมดาบ ดังนั้นจึงมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป พวกศิษย์ชุดขาวเหล่านี้ต้องการเอาชีวิตขี้ข้าดาบไปแลกกลับหลินจือเพลิง
“เจ้าเป็นคนนำหน้าสุด!” เฉินเฟิงชี้ไปยังหลินเซวียน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
‘ไอ้สารเลวเอ้ย!’ หลินเซวียนแอบตะคอกและไปอยู่หน้าสุดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก มันเป็นอีกครั้งที่เขาตระหนักถึงโศกนาฏกรรมจากการไร้พลัง แม้แต่ชะตาชีวิตของตนเองก็ยังอยู่ในกำมือผู้อื่น เมื่อโดนเข้ากับตัวนั้น เขารู้สึกว่ามันน่าสังเวชอย่างแท้จริง!
‘หากพวกเจ้าอยากให้ข้าตายนัก ข้าจะทำให้พวกเจ้าไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง!’ หลินเซวียนมองไปรอบด้านและนึกคิดว่าจะทำลายแผนการคนพวกนี้ยังไง
“พี่เฟิง มันจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม
“ไม่ต้องห่วง ขี้ข้าดาบไร้ค่าแค่นั้นไม่กระทบกระเทือนอะไรหรอก มาเตรียมตัวเก็บเห็ดหลินจือเพลิงกันดีกว่า!” เฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ทาสดาบสิบเอ็ดคนค่อย ๆ เดินไปตรงหน้าถ้ำอย่างระมัดระวัง ยิ่งเข้าใกล้ถ้ำมากเท่าไหร่ สัมผัสแห่งอันตรายยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หลินเซวียนรู้สึกว่าขนบนตัวเริ่มลุกตั้งทุกส่วน
กลิ่นของหลินจือเพลิงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นคาวประหลาดลอยปนออกมา เมื่ออยู่ห่างจากถ้ำเพียงไม่กี่ก้าวหัวใจของหลินเซวียนก็สั่นไหวอย่างรุนแรง สัญชาตญาณบ่งบอกว่าตนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ทันใดนั้นเขาได้กระโดดไปอีกด้านหนึ่งทันที
ขณะที่หลินเซวียนกระโดดหลบไปด้านข้าง เงาทมิฬก็พุ่งออกมาราวกับสายฟ้า มันปัดผู้คนมากมายที่อยู่ตรงหน้าทันทีจนเลือดสดพุ่งออกมากันอย่างสยดสยอง
หัวขนาดมหึมาได้ยื่นออกมาจากถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าขนาดโต๊ะ ดวงตาสีฟ้าของมันใหญ่โต่เสียยิ่งกว่าศีรษะของมนุษย์
“บัดซบ! งูตัวเล็กตรงไหน!” หลินเซวียนเปิดปากตะคอก เขารู้สึกโกรธเฉินเฟิงและคนอื่น ๆ จนถึงขีดสุด
ขี้ข้าดาบด้านหลังต่างพากันวิ่งหนีเตลิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอสรพิษตัวมหึมาได้เลื้อยคลานออกจากถ้ำ ลิ้นสีแดงโลหิตของมันดูคมยาวราวกับดาบ มันแทงทะลุอกขี้ข้าดาบคนที่อยู่ใกล้สุดทันที
เมื่อเห็นเช่นกัน หลินเซวียนจึงวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้หนีไปในที่เปิดโล่ง กลับกันเขาได้วิ่งหนีเข้าไปยังป่า พวกจางปิ่นและศิษย์คนอื่น ๆ ต่างไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาสนใจแค่หลินจือเพลิง
อสรพิษตัวนั้นเริ่มเลื้อยออกจากถ้ำไปทั้งตัว ร่างขนาดมหึมานั้นยาวพอ ๆ กับมนุษย์ยี่สิบคน มันเลื้อยไปหาบรรดาขี้ข้าดาบที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดือดดาล
เมื่อจางปิ่นและพรรคพวกเห็นสัตว์ร้ายเลื้อยออกไป พวกเขาไม่รอช้าที่จะวิ่งกรู่ไปเก็บหลินจือเพลิงทันที
หลินเซวียนไม่ได้หนีไปไหน เพราะเขาได้พบกับพื้นที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อน
ทันใดนั้นได้มีบางอย่างเกิดขึ้นตรงปากถ้ำ อสรพิษเหมือนจะนึกได้ว่ามันถูกล่อออกมาเพราะหลินจือเพลิง มันจึงรีบบิดตัวกลับและไม่ไล่ตามพวกขี้ข้าดาบอีก ดวงตาสีฟ้าของมันจ้องมองไปยังพวกจางปิ่นอย่างไม่พอใจ
ตู้ม!
หางงูขนาดใหญ่กระแทกลงดินจนพื้นที่รอบด้านแตกออก จางปิ่นและพรรคพวกของเขาต่างพากันหนีหัวซุกหัวซุนทันที เห็ดหลินจือเพลิงในแขนพวกเขาพลันกระเด็นไปกลางอากาศด้วยความตกใจ
“มันคลั่งแล้ว!” ใบหน้าจางปิ่นเปลี่ยนสีทันทีก่อนที่คิดจะถอย ทันใดนั้นศิษย์คนหนึ่งได้เข้าไปหยิบเห็ดหลินจือทั้งหมดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่ปิ่น ข้าได้มาแล้ว!” ศิษย์ผู้นั้นตะโกนขึ้นดัง
ทันทีที่สิ้นสุดน้ำเสียง หางงูได้สะบัดมาอย่างรวดเร็วไปยังศิษย์คนนั้นจนลอยกระเด็น
“หนี!” จางปิ่นเอ่ยอย่างไม่คิดชีวิต พวกศิษย์ชุดขาวทั้งหมดได้หันหนีเข้าป่าไปทีละคน
หลินเซวียนอยู่ใกล้กับศิษย์ที่ถูกหางงูพัดปลิวมา เขามองหลินจือเพลิงในแขนของศิษย์ผู้นั้นก่อนจะกัดฟันแน่นและวิ่งเข้าไปเอา
“บัดซบ ไอ้ขี้ข้าดาบ ส่งเห็นหลินจือเพลิงมาให้ข้า!” ทันใดนั้นเฉินเฟิงได้ตะโกนขึ้นจากด้านหลัง
ตู้ม!
ต้นไม้มากมายล้มลง ร่างขนาดมหึมาของอสรพิษได้บุกเข้าไปในป่าเพื่อไล่ล่าจางปิ่น เฉินเฟิง และคนอื่น ๆ อย่างบ้าคลั่ง
หลินเซวียนไม่รีรอความตาย เขารีบหยิบเห็ดหลินจือเพลิงไว้ในอ้อมแขนก่อนจะวิ่งออกไป เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกจางปิ่นจึงทำได้เพียงมองอย่างเคียดแค้น พวกเขาตั้งใจจะให้หลินเซวียนตายเป็นคนแรก แต่ตอนนี้กลายเป็นหลินเซวียนที่ได้หลินจือเพลิงไป
หลินเซวียนสังเกตสภาพพื้นที่โดยรอบเพื่อคิดจะหาทางหลบหนี เขากลิ้งหลบพร้อมวิ่งไปมาภายในป่าอย่างรวดเร็วจนคนด้านหลังแทบจะตามไม่ทัน
“ฮึ่ม!” ดวงตาจางปิ่นเต็มไปด้วยโทสะ เขาดึงดาบออกมาและตั้งท่าฟันไปทางหลินเซวียน ขณะเดียวกัน บรรดาศิษย์ชุดขาวต่างก็พากันพุ่งตามหลินเซวียนไปอย่างโกรธเคือง
หลินเซวียนได้กระตุ้นจี้รูปดาบทันที ด้วยการเสริมพลังวิญญาณจากจี้ดาบ พลังความเร็วของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก มันรวดเร็วจนผู้คนด้านหลังประหลาดใจ พวกเขาไม่ได้คาดคิดไว้ว่า ขี้ข้าดาบที่อยู่ขั้นกลั่นพลังกายระดับสามจะวิ่งได้เร็วเช่นนั้น
“ตามไป!” จางปิ่นตะโกนขึ้นอีกครั้ง จากนั้นดาบในมือเขาได้ฟันออกไปพร้อมคลื่นพลัง หลินเซวียนรู้สึกว่ามีคลื่นกระแทกบางอย่างเข้าด้านหลัง เป็นผลให้เขาล้มลงกับพื้น
เขากลิ้งไปมาจากแรงกระแทกสองสามครั้งก่อนจะเริ่มทรงตัวได้ เวลานี้ จางปิ่นและคนอื่น ๆ อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงห้าก้าว จิตสังหารจากคมดาบอันเย็นเยือกได้ปรากฏออกมาทันที
หลินเซวียนกัดฟันแน่นก่อนจะหยิบหลินจือเพลิงทั้งหมดกลืนลงท้องอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นได้กระตุ้นจี้รูปดาบอีกครั้งเพื่อพร้อมจะสู้ตาย
“ไอ้สารเลว แกตายแน่!” เมื่อเห็นหลินเซวียนกลืนหลินจือเพลิงลงไปเช่นนั้น พวกเขาจึงรู้สึกโกรธจนอยากจะฉีกหลินเซวียนให้เป็นชิ้น ๆ
เมื่ออสรพิษด้านหลังเห็นเช่นนั้น มันเองก็ได้คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวเช่นกัน มันไม่รอช้าที่จะเลื้อยคลานไปหาอย่างคลุ้มคลั่ง ความเร็วของมันน่าสะพรึงต่อสายตาทุกคู่ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขวางทางอยู่ต่างพากันล้มระเนระนาด จางปิ่นและพรรคพวกถูกกระแทกจนลอยขึ้นฟ้าทันที แม้แต่หลินเซวียนเองก็กระเด็นออกไปเช่นกัน…