บทที่ 450 ร้องขอความช่วยเหลือ
บทที่ 450 ร้องขอความช่วยเหลือ
“องค์… ท่านชาย ท่านกลับไปกับพวกเราด้วยเถอะขอรับ ออกมาเช่นนี้นายท่านกังวลแย่แล้วนะขอรับ” กลุ่มคนกว่าสิบเดินเข้ามาหยุดตรงหน้ารถลากของอู๋ฝาน คนเป็นหัวหน้าเอ่ยกับเจ้าฉีด้วยความนอบน้อมอย่างถึงที่สุด
“ข้าไม่กลับ!” เจ้าฉีปฏิเสธเสียงแข็ง “พวกเจ้ากลับไปบอกสะ… บิดาข้าด้วย ว่าข้าจะออกมาเล่นสักหลายวัน หากพอใจเมื่อใดจะกลับไปด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้…” หัวหน้าของกลุ่มคนเผยสีหน้าท่าทีลำบากใจ “ท่านชาย นายท่านต้องไม่เห็นด้วยแน่ขอรับ ตอนที่พวกเราออกมานั้นได้รับคำสั่งที่ชัดเจน ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ต้องพาท่านชายกลับไปขอรับ”
“ข้าไม่กลับ!” เจ้าฉียังคงดื้อรั้นยืนกราน
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องขออภัยล่วงหน้าแล้วขอรับ” ผู้นำกลุ่มคนประสานมือให้แก่เจ้าฉีเป็นการขออภัย
“คิดจะทำอะไร?” เมื่อเจ้าฉีเห็นกลุ่มคนรายล้อมเข้ามาจึงแสดงอาการตื่นตระหนก กระทั่งถอยเท้ากลับไปจนยืนข้าง ๆ อู๋ฝานที่ลงมาจากรถลากเพื่อดูเรื่องราว หลังมองหน้าชายหนุ่ม นางจึงไปซ่อนตัวด้านหลังเขา
“อู๋ฝาน ช่วยด้วย ช่วยข้าไปจากที่นี่ ข้าไม่อยากกลับไป!” เจ้าฉีหันไปขอร้องอู๋ฝานแทนเสียแล้ว
กลุ่มคนที่เตรียมจับตัวพลันต้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาระแวดระวัง โดยเฉพาะผู้ซึ่งเป็นหัวหน้า สายตาของเขากวาดมองอู๋ฝานหัวจรดเท้าราวกำลังคาดเดาตัวตน
เดิมนั้นพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนสัญจรผ่านมา ทว่าตอนนี้คล้ายว่าจะไม่ใช่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าฉีและอู๋ฝานรู้จักกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับคำขอร้องให้ช่วยเหลือของเจ้าฉี อู๋ฝานกลับไม่ได้คิดมอบความช่วยเหลือแต่ประการใด “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวเจ้า ข้าที่เป็นคนนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวคงไม่ใช่เรื่องดี”
หากเจ้าฉีตกอยู่ในอันตรายและมาร้องขอให้ช่วย เขาก็คงพร้อมและยินดีหยิบยื่นความช่วยเหลือ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่ กลุ่มคนมาตามเจ้าฉีกลับบ้านอย่างเป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าเป็นองครักษ์ประจำตระกูลที่ต้องการพานางกลับบ้าน ไม่ได้มีเจตนาร้ายทำให้บาดเจ็บแต่อย่างใด ดังนั้นอู๋ฝานจึงมองว่าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจะเป็นการดีกว่า
คำพูดของอู๋ฝานทำให้กลุ่มคนคลายความระวังลง เนื่องจากพวกเขาต้องการเพียงแค่พาเจ้าฉีกลับบ้าน ไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องราววุ่นวายหรืออุบัติเหตุใด ๆ ขึ้น
เจ้าฉีที่เห็นอู๋ฝานไร้เยื่อใยจึงโกรธจนกัดฟันดังกรอด เพียงแต่นางไม่อาจบีบบังคับอะไรเขาได้ อย่างไรนางกับเขาก็เพิ่งเคยเจอกันวันนี้ อีกทั้งชายหนุ่มยังไม่ได้หวาดกลัวอะไรนางแม้แต่น้อย กระทั่งเคยข่มขู่เสียด้วยซ้ำ ทำให้นางอับจนหนทาง
แต่หลังหนีออกมาด้วยความยากลำบาก เจ้าฉีก็แสดงเจตนาชัดว่าไม่ต้องการกลับ สายตาของนางกำลังสำรวจมองรอบด้านก่อนจะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ขณะนี้เองที่ได้เห็นสีหน้าของเจ้าฉีที่เดิมร้อนรนและโกรธเคืองเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเป็นชวนเวทนา นางกระซิบเบา ๆ ข้างหูชายหนุ่ม “อู๋ฝาน ข้าไม่อยากกลับบ้าน ครอบครัวของข้าไม่เคยทำดีกับข้าเลย หากดีก็แค่กับพี่น้องคนอื่น ส่วนตัวข้านั้นได้กินอาหารไม่เคยพอด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่เคยได้สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ บางครั้งบิดาข้าก็ยังใช้แส้เฆี่ยนตีเพราะร่ำสุราจนเมามาย ข้าที่ไม่อาจทนไหวจึงต้องหลบหนีออกมา ถ้าตอนนี้ถูกจับตัวกลับไปคงถูกเฆี่ยนตีแน่ กระทั่งว่าอาจจะถูกจับขังเอาไว้ในห้องไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก”
“เรื่องจริงหรือ?” อู๋ฝานย้อนถาม เนื่องจากผิวกายละเอียดและงดงามของเจ้าฉีไม่คล้ายว่าจะเคยผ่านความรุนแรงใดมา
“จริง!” นางพยักหน้ารับอย่างร้อนรน
อู๋ฝานจ้องมองนาง แม้ในใจเกิดความสงสัย แต่สีหน้าท่าทีของเจ้าฉีก็แสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน มันเป็นท่าทีของนกที่อยู่ในกรง ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย กระทั่งปรากฏความหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ ในแววตา
อู๋ฝานจึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อไปแล้วหลายส่วน
แต่กลุ่มคนที่มาตามพาตัวเจ้าฉีกลับบ้าน พอได้ยินคำพูดนั้นถึงกับชะงักงัน
บิดาของเจ้าฉีเลวร้ายขนาดนั้นเลยงั้นหรือ? ทั้งตระกูลมีพี่น้องมากมายก็จริง แต่คนที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดก็คือเจ้าฉี แล้วอะไรคือกินไม่เคยอิ่ม ไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ? ผ้าไหมอันวิจิตรตระการตาทั้งหลายล้วนผ่านมือนางมาทั้งสิ้น ไฉนเลยบอกว่าไม่ดี ส่วนเรื่องเฆี่ยนตีเกรงว่าจะยิ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากบิดาของนางไม่อาจอดใจที่จะมอบความรักและเอ็นดูทุกวี่วันเสียด้วยซ้ำ
“ทุกท่าน เมื่อนางยังไม่ยินดีกลับบ้านในตอนนี้ ข้ามองว่าก็ไม่ควรบีบบังคับ” อู๋ฝานลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้ามาช่วยเหลือ
แน่นอนว่าอู๋ฝานไม่ได้เชื่อทุกคำพูดของเจ้าฉี เพียงแค่เตรียมช่วยเหลือนางเอาไว้ก่อน ภายหลังค่อยสอบถามนางว่ามาจากตระกูลใด เมื่อถึงเวลานั้นค่อยไปตรวจสอบให้ทราบแน่ชัดอีกครั้ง หากเป็นดังคำที่นางกล่าวอ้าง เขาก็ยินดีที่จะช่วยให้หนีออกจากบ้านได้ ทว่าหากที่เล่ามาคือคำโกหกหลอกลวง เขาก็จะเป็นคนส่งตัวนางกลับบ้านด้วยตนเอง
แต่ก่อนหน้านั้น อู๋ฝานคงไม่อาจปล่อยให้กลุ่มคนบีบบังคับพาตัวเจ้าฉีกลับไป
”นายน้อยท่านนี้ ข้าขอแนะนำว่าท่านไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว” ผู้นำของกลุ่มคนบอกกับอู๋ฝาน “หากยุ่งเกี่ยวเกรงจะไม่ใช่อะไรที่ท่านสามารถแบกรับได้ไหว!”
“แล้วหากว่าข้าไม่สนล่ะ?” อู๋ฝานถามกลับอย่างเฉยชา
“เช่นนั้นก็ขออย่าได้กล่าวโทษที่พวกเราล่วงเกินเลย” ผู้นำกลุ่มคนเปลี่ยนสีหน้าท่าที
“อู๋ฝาน รีบขึ้นรถม้าแล้วบุกฝ่าหลบหนีออกไปจากที่นี่เถอะ หาทางสลัดคนพวกนี้ให้หลุด เจ้าไม่อาจต่อกรกับพวกเขาได้” ตอนนี้เองที่เจ้าฉีเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดว่านางทราบถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มคน พวกเขาเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ ไม่ใช่อะไรที่ชายหนุ่มจะเทียบหรือต่อกรได้ ที่นางขอให้เขาช่วยเหลือก็ไม่ได้คาดหวังถึงขนาดสามารถเอาชนะกลุ่มคน เพียงคาดหวังให้อีกฝ่ายใช้รถลากพาตนฝ่าวงล้อมของคนกลุ่มนี้หลบหนีออกไปจากที่นี่
แต่อู๋ฝานไม่ได้คิดเช่นนั้น การใช้รถลากบุกฝ่าวงล้อมออกไปก็มีแต่จะยิ่งทำให้ยากที่จะควบคุมและอาจเกิดความเสียหายจนยากจะคาดเดาได้ แม้ต้องการช่วยเหลือเจ้าฉี ทว่าเขาก็ไม่ได้ต้องการทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น อู๋ฝานมั่นใจในฝีมือของตนเองอยู่พอสมควร
อู๋ฝานเผยท่าทีมั่นใจและบอกให้เจ้าฉีวางใจ ขณะนี้กลุ่มคนที่ตามมาเพื่อจับตัวกำลังตั้งวงล้อม เนื่องจากเห็นอีกฝ่ายต้องการเข้าแทรกเรื่องราวอย่างจริงจัง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดลังเลที่จะต้องลงมือ
“ระวัง!” เจ้าฉีอดไม่ได้ที่จะตะโกน ทั้งยังเผยท่าทีกังวลออกมา
แต่อู๋ฝานไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า มือขวาของเขาขยับรุกคืบคว้าหมัดที่เหวี่ยงเข้าหาตนเอง ก่อนจะจับบิดเล็กน้อยจนสีหน้าของอีกฝ่ายต้องเหยเก ทว่าเขาไม่คิดใส่ใจ กระทั่งเตะขาขวาใส่ร่างอีกฝ่ายด้วยแรงมหาศาล ถึงขนาดตัวคนต้องจุกจนถอยไปหลายก้าว
ทว่าอู๋ฝานไม่ได้ถอนเท้ากลับ แต่หันเบี่ยงไปเล็กน้อยเตะใส่คนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อีกฝ่ายไม่คาดว่าการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มจะพิสดารและรวดเร็วจึงไม่ทันระวัง สุดท้ายถูกเตะใส่จนต้องทรุดร่างลงกับพื้น
ผู้นำของกลุ่มคนยังไม่ได้เคลื่อนไหวหรือลงมือ ขณะนี้เมื่อเห็นอู๋ฝานไม่เพียงทำได้ดีแม้ตกอยู่ภายใต้วงล้อมของคนนับสิบ แต่ยังสามารถทำร้ายจนคนของตนเองล้มลง สีหน้าจึงต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
“เรียกกำลังเสริม” ผู้นำกลุ่มตัดสินใจออกคำสั่งลูกน้องข้างกาย
เนื่องจากได้เห็นแล้วว่าอู๋ฝานไม่ใช่แค่คนธรรมดาที่จัดการได้ง่าย ๆ แต่เป็นคนมีฝีมือ แม้เขาเองก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าฉีจะไม่หนีหายไปกับชายหนุ่ม เขาจึงต้องเรียกกำลังเสริมมาเพื่อรับมือ
“ขอรับ” อีกฝ่ายรับคำสั่งก่อนจะรีบวิ่งไป