บทที่ 469 ตัวแทน
บทที่ 469 ตัวแทน
ครั้งหนึ่งหวังจื่อหมิงเคยตรวจสอบพื้นเพเบื้องหลังของอู๋ฝานมาก่อน ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมาบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่คนธรรมดา แต่ก็เป็นคนธรรมดาที่ค่อนข้างจะมีโชคอยู่บ้าง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เจอเรื่องอื่นอีกแล้ว
แต่หากอู๋ฝานที่เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง เพราะอะไรหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ถึงมองเขาแตกต่างออกไป? และชายหนุ่มเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นผู้ฝึกตนในเวลาสั้น ๆ ทั้งยังแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ อีกฝ่ายทำทั้งหมดนั้นได้อย่างไร?
ทั้งหมดบ่งชี้ไปที่อู๋ฝานไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนเพราะอะไรก่อนหน้านี้ถึงตรวจสอบไม่ได้ ในความเป็นจริงก็พอเข้าใจได้ หากอู๋ฝานมีเบื้องลึกเบื้องหลังจริง อำนาจนั้นจะต้องยิ่งใหญ่กว่าตระกูลหวังของพวกเขา ไม่แปลกหากหวังจื่อหมิงจะไม่มีอำนาจพอสืบทราบสถานการณ์ทั้งหมดของอีกฝ่ายออกมาได้
“ไม่ว่าจะด้วยอะไร การอยู่ใกล้เขาก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกนะครับ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ “อู๋ฝานเป็นคนเข้าหาง่าย ยุติธรรม และมีความสามารถ เป็นมิตรกับคนแบบนี้เอาไว้อย่างไรก็เป็นเรื่องที่มีแต่ดีกับดีครับ”
“ค่ะ” เกิ่งหย่าเฟยพยักหน้ารับเห็นพ้องด้วย
จนกระทั่งเวลาเกือบห้าทุ่ม หลังอู๋ฝานแยกกับถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือตนได้รับสายโทรจากหลิวอวี่กวงที่เพิ่งแยกย้ายกันไปได้ไม่นาน
“นายน้อยอู๋ ผมต้องขออภัยที่รบกวนยามดึกแบบนี้ด้วยนะครับ” หลิวอวี่กวงเอ่ยขอโทษผ่านทางโทรศัพท์
“ไม่เป็นไรครับ ผมเพิ่งมาถึงบ้านพอดี” อู๋ฝานตอบกลับ “นายน้อยหลิวมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ เมื่อกี้ตอนที่พวกเราดื่มไวน์กัน ผมได้ยินนายน้อยอู๋บอกว่ายังไม่มีตัวแทนจำหน่ายไวน์ใหม่นั่นใช่ไหมครับ?” หลิวอวี่กวงเอ่ยถาม
“ครับ?” อู๋ฝานตอบกลับ “นายน้อยหลิวมีเพื่อนต้องการเป็นตัวแทนเหรอครับ?”
“ไม่ใช่เพื่อนของผมหรอกครับ แต่เป็นตัวผมเองต่างหาก” หลิวอวี่กวงตอบรับ “ผมอยากเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายของโรงงานที่คุณเป็นเจ้าของ รวมถึงเป็นตัวแทนขายไวน์นั้นด้วยครับ”
“ครับ?” อู๋ฝานรับคำด้วยความประหลาดใจ
เนื่องจากเขาค่อนข้างมีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว หากจัดตั้งตัวแทนขายขึ้นมาเองอย่างไรก็ทำเงินได้ แต่ในสายตาของอู๋ฝาน หลิวอวี่กวงคือหนึ่งคนที่เป็นทายาทของห้าตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจว ตระกูลของพวกเขาร่ำรวยคงไม่มองเรื่องการเป็นตัวแทนธุรกิจขนาดเล็กแบบนี้ หรือต่อให้อยากทำก็ไม่น่าใช่โดยตัวอีกฝ่ายเอง
“นายน้อยอู๋ประหลาดใจเหรอครับ?” หลิวอวี่กวงหัวเราะเบา ๆ เพียงแต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่สงบ ไม่ใช่การเขินหรืออายแต่อย่างใด
“นิดหน่อยครับ” อู๋ฝานไม่ปฏิเสธ
“นายน้อยอู๋ประหลาดใจเพราะไม่ทราบเรื่องของพวกเราลูกหลานตระกูลใหญ่ต่างหาก” หลิวอวี่กวงตอบรับ “การได้เป็นตระกูลใหญ่นั้นชีวิตย่อมดีกว่าคนธรรมดาอยู่บ้างครับ แต่ในบรรดาคนรุ่นทายาทก็มีความแตกต่างอยู่ด้วย ทายาทสายตรงยังไงก็ดีกว่าทายาทสายรองหรือภรรยารองครับ ผมที่เป็นลูกของภรรยารอง แม้จะได้รับธุรกิจส่วนหนึ่งจากทางตระกูล แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แค่เลี้ยงดูตัวเองก็ไม่มีปัญหา แต่หากอยากเติบโตกว่านี้จะเป็นเรื่องยาก ยังไม่พูดถึงกิจการทั้งหลายของทางตระกูลที่พร้อมจะถูกคนภายในเข้ามาช่วงชิงหรือควบคุม ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของตระกูลใหญ่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่นายน้อยอู๋คิดแน่นอนครับ”
หลิวอวี่กวงแสดงความจริงใจกับอู๋ฝาน ก็เพราะเวลานี้เขาได้ตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของอีกฝ่ายแล้ว ทั้งยังวางแผนเกาะติดเอาไว้ซะด้วยซ้ำ ครั้งนี้ตนเล็งเห็นโอกาสจึงแสดงความตั้งใจโดยไม่คิดปิดบังเพื่อต้องการซื้อความเชื่อใจของอีกฝ่าย
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เคยบอกอู๋ฝานเอาไว้บ้างแล้ว ว่าการแข่งขันในระหว่างคนรุ่นเดียวกันของตระกูลใหญ่เป็นอย่างไร ขณะนี้หลิวอวี่กวงบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวออกมาจึงทำให้อู๋ฝานได้ทราบรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
“เพราะแบบนั้นผมก็เลยอยากเริ่มธุรกิจที่เป็นของตัวเองขึ้นมาครับ” หลิวอวี่กวงยังคงบอกเล่าต่อ “แต่การเริ่มต้นธุรกิจไม่ง่าย โดยเฉพาะในตอนที่ไม่พึ่งพาเส้นสายของตระกูล ผมไม่กลัวจะเป็นตัวตลกให้นายน้อยอู๋หรอกนะครับ พูดตามตรงว่าผมเคยเริ่มธุรกิจของตัวเองมาแล้วหลายอย่าง ลองแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายกลับไม่มีอะไรประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง เมื่อกี้ตอนที่ร่วมทานอาหาร ผมได้ยินว่าโรงงานไวน์ของนายน้อยอู๋กำลังเข็นผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมา ผมที่ได้ลิ้มลองกับตัวเองแล้วทราบดีว่ามันเป็นของหาได้ยากและดีเยี่ยมแค่ไหน เพราะแบบนั้นผมถึงต้องการร่วมมือเพื่อชิงสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายครับ หวังว่านายน้อยอู๋จะให้โอกาส”
อู๋ฝานครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบรับ “ผมนับถือความกล้าและความทะเยอทะยานของนายน้อยหลิวนะครับ ผมเองก็อยากร่วมมือด้วย เอาแบบนี้เป็นไงครับ ผมจะส่งต่อเรื่องสิทธิ์การเป็นตัวแทนของไวน์สุดเหนือเมฆในเจียงโจวให้ได้ ส่วนสิทธิ์ในเมืองอื่นนั้นคงต้องแข่งขันกับคนอื่นนะครับ แน่นอนว่าหากเงื่อนไขเท่ากันนายน้อยหลิวจะได้รับลำดับความสำคัญที่มากกว่าครับ”
อู๋ฝานค่อนข้างคาดหวังในไวน์สุดเหนือเมฆอยู่พอสมควร ไม่แปลกหากจะอยากส่งขายไปทั่วประเทศหรือต่างประเทศ ดังนั้นการคัดเลือกตัวแทนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
แต่เพราะยังไม่ทราบระดับความสามารถของหลิวอวี่กวง เขาจึงไม่กล้าส่งมอบสิทธิ์การเป็นตัวแทนทั้งหมดให้แก่อีกฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม กลับกัน เขาทำได้เพียงมอบสิทธิ์ในเจียงโจวให้ เพราะแม้หลิวอวี่กวงจะทำผลงานได้ไม่ดี เขาก็ยังมีร้านโลกในแหวนอยู่ที่เจียงโจว หากได้ร้านอาหารช่วยเหลือนำเสนอผลลัพธ์อย่างไรก็ต้องประสบความสำเร็จ
แน่นอนว่าหากหลิวอวี่กวงทำผลงานได้ดี เขาก็ไม่คิดใส่ใจหากจะต้องส่งมอบสิทธิ์ตัวแทนให้อีกฝ่ายเพิ่มเติม แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหากปล่อยหลิวอวี่กวงครอบครองตลาดเพียงผู้เดียวก็ไม่ใช่ผลดีสำหรับทั้งอู๋ฝานและลูกค้าอย่างแน่นอน
“ขอบคุณนายน้อยอู๋ครับ ไม่ต้องกังวลไปนะครับ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน สุดเหนือเมฆจะเป็นที่รู้จักในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเจียงโจวอย่างแน่นอนครับ” หลิวอวี่กวงตอบรับ
หลิวอวี่กวงเข้าใจดีว่าเพราะอะไรอู๋ฝานถึงให้เพียงสิทธิ์ตัวแทนในเจียงโจว เนื่องจากทั้งสองยังไม่ได้คุ้นเคยกันถึงขนาดนั้น หากครั้งก่อนเขาไม่ได้ช่วยอู๋ฝาน เกรงว่าแม้แต่สิทธิ์การเป็นตัวแทนที่เจียงโจวก็คงไม่อาจได้รับมาง่าย ๆ เช่นกัน
การกระทำของอู๋ฝานแสดงเจตนาชัดว่าต้องการทดสอบหลิวอวี่กวง เชื่อว่าตราบใดที่ทำผลงานการเป็นตัวแทนในเจียงโจวได้ดี การขยับขยายไปเมืองอื่นก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
หลิวอวี่กวงเองก็พอจะมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีที่ได้ร่วมมือกันครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ผมคิดจะใช้ช่วงสมนาคุณสามวันนี้ทำให้ลูกค้าได้รู้จัก นายน้อยหลิวเองก็เตรียมงานไว้ก่อนได้ครับ หลังผ่านพ้นช่วงสามวันนี้แล้ว พวกเราจะทำสัญญาและจัดส่งสินค้ากันอีกครั้งครับ”
“ได้ครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อยเอง!” หลิวอวี่กวงตอบรับ
หลิวอวี่กวงทราบดีว่าร้านโลกในแหวนมีอิทธิพลอย่างไรในเจียงโจว หากช่วงแรกได้ทางร้านช่วยจัดกิจกรรมส่งเสริมให้สินค้าเป็นที่รู้จัก อย่างไรก็เป็นเรื่องดี
หลังวางสายจากหลิวอวี่กวง อู๋ฝานจึงมองสองพี่น้องเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าตนเอง “คืนนี้ไปเช่าโรงแรมใกล้ ๆ นี้อยู่ก่อนนะครับ พรุ่งนี้พวกเราจะไปดูบ้านด้วยกันอีกทีหนึ่ง”
“ไม่ต้องรบกวนเจ้าหอถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ พวกเรานอนที่ห้องนั่งเล่นได้ค่ะ” เหมยอวี่ตอบรับ
“ไม่ได้ครับ!” อู๋ฝานปฏิเสธอย่างชัดเจน เนื่องจากกลางคืนเขาต้องทำการเทเลพอร์ต ดังนั้นจะดีที่สุดหากไม่มีใครอยู่ร่วมบ้าน “ห้องนั่งเล่นไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น ให้นอนคงไม่สะดวกและสบาย ดังนั้นไปที่โรงแรมก่อนดีกว่าครับ ผมออกค่าใช้จ่ายให้เอง และนี่เป็นคำสั่งของผม เข้าใจใช่ไหมครับ?”
เหมยอวี่และเหมยเสวี่ยต่างมองหน้ากันเองก่อนจะรับคำด้วยความจนใจ “รับคำสั่งเจ้าหอค่ะ”