ตอนที่ 74 ตระกูลหลิง
หลัวซิงชานเดินไปด้านข้างหลินเซวียนพร้อมจ้องมองอย่างอย่างสงสัย
“ฝั่งสีแดงกับฝั่งสีฟ้า เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”
“ฝั่งสีแดง” หลินเซวียนกล่าวโดยไม่รู้ตัว “ถึงแม้ฝั่งสีฟ้าจะดูได้เปรียบตอนนี้ แต่เขาก็ยังไม่ได้สร้างความเสียหายกับจุดสำคัญเลย อีกทั้งการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยังทำให้เขาเสียพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว”
“พอดูฝั่งสีแดง เขาพยายามหลบไปทีละก้าว ข้าเชื่อว่าเขาจะตอบโต้กลับในไม่นานนี้”
เสียงของหลินเซวียนไม่ได้ดังมากนัก แต่ผู้คนรอบด้านก็พอจะได้ยิน แม้บางคนจะไม่เชื่อ แต่พวกเขาก็ได้พนันฝั่งสีฟ้าไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมวิตก
หลังจากหลินเซวียนกล่าวเสร็จ เขาก็ได้สติกลับมาก่อนจะหันไปมองด้านหลัง
“หลินเซวียน เจ้าเหม่อลอยเกินไป เจ้าไม่ได้ยินข้าหรือไง? อีกทั้งยังไม่เห็นศิษย์พี่หลัวอีก!” เย่ฉิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
‘ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์พี่หลัว?’ หลินเซวียนมองอย่างประหลาดใจในรังสีพลังอันแพรวพราวของชายตรงหน้า เขารีบประกบมือพร้อมกล่าว “หลินเซวียนคารวะศิษย์พี่หลัว“
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์ของนายน้อยหลัวซิงชาน!” มีหลายคนหันมามองหลินเซวียน ขณะเดียวกัน สถานการณ์บนจอภาพที่แสดงการต่อสู้ก็ได้เริ่มเปลี่ยนไป
ฝั่งสีแดงเข้าทะลวงจุดอ่อน และเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว
ผลการประลองนี้ทำให้ผู้คนรอบสังเวียนมองหน้ากัน ฝั่งที่พนันสีแดงย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา ส่วนฝั่งที่พนันด้านสีฟ้านั้นหันไปมองหลินเซวียนอย่างไม่พอใจ
“ไอ้หนู เจ้าพูดมากจนข้าต้องเสียหินวิญญาณ!” ใครบางคนยืนขึ้นกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“อย่าโทษคนอื่นสิ สายตาของเจ้าแย่เอง!” หลินเซวียนตอกกลับ
ชายคนนั้นเห็นหลินเซวียนยืนอยู่ข้างหลังหลัวซิงชาน ดังนั้นจึงไม่กล้าโวยวายต่อ มีเพียงคำกล่าวไม่กี่คำที่เปล่งออกมาก่อนจะนั่งลง
“งั้นหรือ? ข้าเสียหินวิญญาณก็จริง แต่ก็ไม่คิดว่าสายตาของข้าจะแย่ กลับกัน ข้าคิดว่าปากของเจ้านั้นถูกเกินไปที่จะลงไปตบด้วยตนเอง!”
เสียงนี้ดังไปทั่วสังเวียน
แม้แต่ใบหน้าหลัวซิงชานยังจมลง เมื่อครู่นี้การวิเคราะห์ของหลินเซวียนนั้นสมเหตุสมผล ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ นอกจากนั้นหลังจากที่เขาและหลินเซวียนได้รู้จักกัน ก็ดูเหมือนจะมีคนบางกลุ่มที่คิดจะมาหาเรื่อง เขาเกรงว่าจะไม่ใช่พวกที่ดี
แน่นอนว่าหลังจากชายคนนั้นกล่าวจบ ชายหนุ่มอีกคนในชุดสีฟ้าก็ได้ยืนขึ้นพร้อมกับลูกน้องด้านข้างอีกสองสามคน
“นั่นหลิงเจ๋อ!” ชาวยุทธ์บางคนจำชายหนุ่มคนนี้ได้
หลัวซิงชานขมวดคิ้วเล็กน้อย หลิงเจ๋อนั้นเป็นศิษย์ของสำนักซวนเทียนเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนของตระกูลหลิงที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลหลักของเมือง สถานะของเขากล่าวได้ว่าทัดเทียมกับหลัวซิงชาน และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังค่อนข้างแย่อีกด้วย
“ข้ามือไม่ว่าง เจ้าช่วยตบปากเขาให้หน่อยได้หรือไม่?” หลินเจ๋อกล่าวขึ้นอย่างเย็นเยือก เขาเพิ่งเสียหินวิญญาณไป มันจึงทำให้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความสัมพันธ์อันดีกับจางเฉียน เขาย่อมจำหลินเซวียนได้เป็นธรรมดา ตอนนี้เขามีโอกาสจะทำให้หลินเซวียนอับอายแล้ว ดังนั้นจะพลาดได้ยังไง
หลินเซวียนมองไปยังชายหนุ่มเสื้อฟ้าคนนั้น เขารู้สึกว่าลมหายใจของชายผู้นั้นอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปด หลินเซวียนจึงยิ้มพร้อมกล่าว “กล้าใช้ศิษย์พี่ของข้า เจ้าวิเศษวิโสนักหรือ? นอกจากจะสายตาแย่แล้ว ยังต้องหงุดหงิดกับการเสียหินวิญญาณแค่เล็กน้อย เจ้าคงจนมากสินะ?”
น้ำเสียงหยอกเย้าของหลินเซวียนดังก้องไปทั่วห้องโถง
ผู้คนรอบด้านสังเวียนต่างตกตะลึง แม้แต่ชายเสื้อฟ้ายังชะงัก จากนั้นใบหน้าของเขาได้กลายเป็นดุร้ายทันที
“ไอ้หนู เจ้าอยากตายมากหรือ!?” หลิงเจ๋อโยนแก้วเหล้าในมือลงพื้น
ฟูม!
ทันใดนั้น ร่างสีดำด้านหลังหลิงเจ๋อได้พุ่งโจมตีหลินเซวียนอย่างรวดเร็ว มันมาพร้อมกับคลื่นความร้อนอันน่าสะพรึง
ฟู่!
ฝ่ามือสีแดงเพลิงได้ตบไปยังหลินเซวียน ความร้อนอันน่าสะพรึงนั้นทำให้โต๊ะเก้าอี้รอบด้านถึงกับละลาย
แต่จากนั้นไม่นาน ร่างของหลินเซวียนก็ได้หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ ทิ้งไว้แค่เพียงประกายสายฟ้า
ชายชุดดำไม่คาดคิดว่าฝ่ามือของตนจะพลาด แต่ก่อนที่จะลงมืออีกครั้ง ฝ่ามือที่ส่องประกายได้จับตัวเขาไว้ พลังอันหนักหน่วงนั้นได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
“แย่แล้ว!” ใบหน้าชายชุดดำเปลี่ยนสีทันทีก่อนจะมองหลัวซิงชานอย่างเกรงกลัว
“ไปให้พ้น!” หลัวซิงชานตะโกนขึ้นดังก่อนจะผลักชายชุดดำออกไปและมองไปด้านข้าง
ในระยะทางห่างไปสามจั้ง ได้มีร่างของหลินเซวียนอยู่
“ศิษย์น้อง ไม่เป็นอะไรนะ!” เย่ฉิงวิตกจนหน้าซีด
“ไม่มีอะไรหรอก” หลินเซวียนยิ้มพร้อมประกายแสงในดวงตาของเขา ‘หากช้ากว่านี้อีกแค่ก้าวเดียว เกรงว่าเราคงตายไปแล้ว!’
เขาไม่อยากจะมีปัญหา แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยคนที่มาหาเรื่องไปเช่นกัน!
“หลิงเจ๋อ เจ้าทำรุนแรงเกินไปแล้ว เจ้าไม่ทราบกฎของที่นี่หรือไง?” หลัวซิงชานตะโกนขึ้นดัง
“ขอโทษที ชายคนนี้ยังเป็นเด็กใหม่อยู่ เขายังไม่ทราบกฎของที่นี่” หลิงเจ๋อกล่าวเบา ๆ “ยังไม่รีบขอโทษคุณชายหลัวอีก”
“คุณชายหลัว ข้าน้อยยังใหม่จึงไม่ทราบกฎของที่นี่ ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ!” ชายชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ
“หลินเซวียน เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่น หลิงเจ๋อเป็นคนของหนึ่งในสี่ตระกูลหลัก เขามีอำนาจมากและยังรู้จักกับจางเฉียนด้วย เจ้าต้องระวังตัวให้กว่านี้” เย่ฉิงกระซิบ
“ไม่แปลกใจเลย!” ทันใดนั้นหลินเซวียนได้โกรธขึ้นมา แต่เขาก็ทราบว่าหากทำอะไรที่นี่ เขาจะออกไปไม่ได้อีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเพิ่มพลัง ต้องแข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าหยามหน้าอีก!
“พี่หยิงเย่ ท่านมีหินวิญญาณอยู่หรือไม่ ข้าขอยืมสักหน่อย” หลินเซวียนถามกลับ
“โอ้ มีสิ!” เย่ฉิงกล่าว แม้แต่หลัวซิงชานยังมองหลินเซวียนอย่างประหลาดใจ เขากลัวว่าหลินเซวียนจะทำอะไรที่นี่ หากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่เป็นศิษย์พี่อย่างเขาย่อมทำอะไรยากเช่นกัน
“น้องหลิน หากเจ้าต้องการหินวิญญาณ ข้ามีให้” หลัวซิงชานกล่าว “ห้าพันหินวิญญาณ พอหรือไม่?”
“พอแล้วครับ ขอบคุณศิษย์พี่มาก” หลินเซวียนหยิบบัตรสีม่วงก่อนจะขยับไปมา ระหว่างที่ทำเช่นนี้ เขาเองก็ทำเหมือนหลิงเจ๋อไม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ฮึ่ม!” หลิงเจ๋ออุทานอย่างไม่พอใจ ท่าทีของหลินเซวียนนั้นยั่วโม่โหเขาอย่างแท้จริง
“ไอ้หนู หากเจ้ากล้ายั่วยุข้า เจ้าจะต้องตายศพไม่สวยแน่!” หลิงเจ๋ออดกลั้นโทสะไว้ในใจ และเริ่มคิดว่าจะจัดการกับหลินเซวียนยังไง
อีกด้านหนึ่ง หลินเซวียนได้ถามหลัวซิงชานเกี่ยวกับการประลองต่อ
มันเป็นสังเวียนการประลองเสมือนจริง แต่ผู้เดิมพันต้องมีหินวิญญาณระดับต่ำอย่างก้อนหนึ่งร้อยก่อน การเดิมพันนั้นจะเดิมพันได้ทีละคน นักสู้ที่แตกต่างกันจะมีอัตราการต่อรองที่แตกต่างกัน
หลินเซวียนได้ยินแล้วก็รู้สึกว่ากฎนั้นธรรมดามาก ดังนั้นจึงตัดสินใจจะลองเดิมพันดู
ก่อนจะเริ่มประลอง มันจะมีข้อมูลอยู่ทั้งสองฝั่งให้ เป็นข้อมูลขั้นพลัง บันทึกผลแพ้ชนะ หลังจากไตร่ตรองแล้ว ผู้เดิมพันสามารถวางหินวิญญาณได้
การประลองต่อไปคือการประลองของผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นเปิดชีพจรระดับแปดทั้งคู่ หลินเซวียนยังไม่รีบร้อนเดิมพัน เขาต้องการดูการประลองก่อนสักหน่อย เพราะเขายังมาที่นี่ครั้งแรกและไม่ทราบข้อมูลอะไรทั้งนั้น
ในที่สุดหลังจากผ่านไปได้สามการประลอง หลินเซวียนก็ตัดสินใจวางเดิมพัน