บทที่ 397 ความจริงใจ
บทที่ 397 ความจริงใจ
“พี่รองกลับมาแล้วเหรอคะ?” เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างมีความสุข “เขาเป็นยังไงบ้าง?”
กงเหลียนซินถอนหายใจ “พี่คงพูดไม่ได้ว่าเขาดีกว่าเดิมนะ”
เขากลับมาเมื่อคืนตอนกลางดึก และเช้านี้ก็ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตัดฟืน เขาทั้งผิวดำคล้ำและร่างกายผอมแห้ง
เธอลดเสียงลง “พี่ได้ยินจากพี่ใหญ่ของเธอว่าเงินทั้งหมดที่น้องรองใช้ในครั้งนี้เขาเอาไปลงทุนกับสินค้า แต่กลับขายต่อไม่ได้เลยเนี่ยสิ”
เดิมทีเซี่ยจิ่งเฉินมีเงินเก็บอยู่บ้างนิดหน่อย ซึ่งหวังผิงได้สมทบเงินออมบางส่วนให้เขา อีกทั้งได้หยิบยืมเงินบางส่วนจากเพื่อนมา และไปที่เมืองเซินเจิ้นเพื่อลงทุนในด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
แต่ธุรกิจนี้กลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เซี่ยจิ่งเฉินจึงดูทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “เขาไม่ควรจะรีบร้อนเลยนะ ช่วงนี้ยังมีโอกาสไม่มากนักหรอก แต่มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างช้า ๆ”
ในช่วงทศวรรษ 1980 นอกเหนือจากเสื้อผ้าแล้ว อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถสร้างรายได้ได้อีกด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นแนวหน้าของการปฏิรูปและการเปิดกว้าง แม้แต่เมืองกว่างโจวก็มีถนนเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความนิยมเพียงใด
กงเหลียนซินไม่ได้แสดงความคิดเห็นมากนักเกี่ยวกับวิธีการหาเงินของเซี่ยจิ่งเฉิน เธอพูดว่า “พี่แค่หวังว่าโชคของน้องรองจะค่อย ๆ ดีขึ้นนะ”
ถ้าชีวิตของเซี่ยจิ่งเฉินสบายดี เธอก็จะได้สามารถวางแผนครอบครัวของตัวเองได้เช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนเห็นด้วยและพูดว่า “พี่สะใภ้คะ พี่จำได้ไหมว่าฉันขอให้พี่ทำอะไรก่อนหน้านี้?”
กงเหลียนซินพูดอย่างเร่งรีบ “จำได้สิ วันนี้ที่พี่โทรหาเธอเพราะพี่อยากจะบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้เนี่ยแหละ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ กงเหลียนซินก็เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมา “เธอคงไม่รู้ เมื่อไม่กี่วันก่อนไอ้เจ้าพี่ใหญ่ตระกูลจางมาที่บ้านพร้อมกับถงถง และบอกว่าเขาไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าให้เด็ก”
“โชคดีที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน พี่ก็เลยไล่เขาไป”
“และพี่ก็บอกเขาตามที่เธอนัดแนะกับพี่ไว้นั่นแหละ บอกว่าพี่รองจะกลับมาในอีกไม่กี่วันและสิ่งที่เธอส่งมาให้ถงถงก็จะมาถึงเช่นกัน เมื่อถึงเวลาก็ให้เขากลับมารับในตอนนั้นซะ”
เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเจอเซี่ยซือถงและเห็นว่าเด็กหญิงผอมกว่าคราวที่แล้วไม่น้อย แถมยังสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ซึ่งลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของเด็กหญิงน่าจะไม่ต้องการแล้ว ผมยาวที่เด็กหญิงเคยมีก็ถูกตัดจนสั้นอย่างลวก ๆ จนเหมือนทรงหมาแทะ เส้นผมก็ดูเสียและเป็นสีเหลืองเหมือนฟาง
พี่ใหญ่ตระกูลจางยังใช้เด็กเป็นข้ออ้างมาขอเงินเป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะไม่ขอมากเท่าก่อนหย่าร้าง แต่ก็ยังได้ไปหลายสิ่งหลายอย่าง
เธออยากไล่เขาออกไป แต่หวังผิงและเซี่ยโยว่หมิงรู้สึกเสียใจกับหลานสาวของพวกเขา ดังนั้นตระกูลจางยังคงได้ประโยชน์ไปบ้างไม่มากก็น้อย
ในใจกงเหลียนซินพลันนึกถึงเซี่ยซือถงที่ถูกตระกูลจางดูแลแบบย่ำแย่มากมาโดยตลอด แล้วถอนหายใจ “ถ้าพี่รองเห็นถงถงตอนนี้ เขาคงจะเสียใจเจียนตายแน่เลย”
พอได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกแย่ขึ้นมา “อวี้เจียวคนนี้ไม่สนใจอะไรเลยรึไง?”
“เฮ้อ เธอจะคาดหวังให้ผู้หญิงพรรค์นั้นสนใจอะไรได้ล่ะ?” กงเหลียนซินเริ่มโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เธอพูด “พี่ได้ยินมาว่าหล่อนเอาแต่เล่นไพ่กับพวกผู้หญิงขี้เกียจในหมู่บ้านทุกวัน หรือไม่ก็ไปเจอกับครอบครัวผู้ชายที่พ่อแม่ของหล่อนแนะนำให้นั่นแหละ”
“แค่ชีวิตตัวเองก็น่าสังเวชมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการดูแลลูกเลย”
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนพลันเจ็บปวด
ในอนาคตถ้าจางอวี้เจียวแต่งงานใหม่จริง ๆ ผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน แล้วพอถึงเวลานั้นเซี่ยซือถงจะอยู่รอดได้ยังไงกัน?
เธอเกือบจะพูดแล้วว่า ‘ไม่ว่าเซี่ยซือถงจะเป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยหรือไม่ก็ตาม เธอจะแย่งชิงเด็กมาอย่างแน่นอน’
แต่เมื่อเธอนึกถึงสันดานที่เหมือนโถปัสสาวะของตระกูลจาง เธอก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยุดตัวเองกึ่งหนึ่ง
การพิสูจน์ความเป็นพ่อนี้ยังไงก็ต้องทำ!
ด้วยวิธีนี้ มันก็จะสามารถใช้เป็นแต้มต่อรองระหว่างเธอกับตระกูลจางได้
เซี่ยชิงหยวนสงบลงและพูดว่า “พี่สะใภ้คะ ฉันให้คนไปส่งถุงปิดผนึกให้พี่แล้วเมื่อสองสามวันก่อน พี่เก็บมันไว้แล้วรึยัง?”
ตัวอย่างจะต้องได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้นฉีจิ่นจือจึงให้คนไปส่งถุงปิดผนึกที่บรรจุตัวอย่างทันที
ตอนนี้รอเพียงเอาตัวอย่างพ่อและลูกสาวมาเท่านั้น
กงเหลียนตอบกลับ “ไม่ต้องกังวลนะ พี่เก็บมันไว้อย่างดีแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “เพื่อไม่ให้แผนการผิดพลาด พี่ลงมือวันนี้ตอนมื้อเย็นเลยนะคะ และให้เด็กค้างอยู่ที่บ้านเราสักหลายวันหน่อย”
“เมื่อเด็กและพี่รองมาอยู่พร้อมกัน พี่ก็แอบเอาเส้นผมของพวกเขาทั้งสามคนใส่ในถุงแยกกัน แล้วมอบให้เลขาธิการหลิวคณะกรรมการหมู่บ้าน”
เซี่ยชิงหยวนย้ำกับกงเหลียนซิน “พี่ต้องจำให้ดีนะ เส้นผมจะต้องมีรากผมด้วย”
กงเหลียนซินจำแต่ละคำไว้ในใจ “ไม่ต้องห่วง พี่จะไม่พลาดแน่”
เซี่ยชิงหยวนวางสายโทรศัพท์และนวดขมับของเธอ ดูน่าอึดอัดไม่น้อย
ปี่เหลาซานโบกมือให้ปี่ฟู่หมานเพื่อรินชาให้เซี่ยชิงหยวน และเอ่ยถาม “พี่ชายของเธอมีปัญหาแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ เธอไม่ได้ปกปิดปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานเลย ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน
เซี่ยชิงหยวนพูดสรุปเรื่องสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องของเซี่ยจิ่งเฉินให้พวกเขาฟังก่อนจะพูดว่า “ฉันกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกรึเปล่า แต่ถ้าไม่ทำ ฉันก็เกรงว่าทั้งครอบครัวจะถูกพวกเห็บหมัดริ้นไรพวกนี้ดูดเลือดไปจนถึงหยดสุดท้ายมากกว่า”
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดมาจากหวังผิง ถ้าหวังผิงไม่ยินยอมซะอย่าง เรื่องราวต่างๆ ก็จะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
ในใจของหวังผิง ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการครอบครัวเดิมอีก
แต่พวกเขาคือพ่อแม่ของเธอ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลาน เธอจะยอมปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามยถากรรมได้ยังไงล่ะ?
ปี่เหลาซานลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “ฉันก็เห็นด้วยกับวิธีการของเธอนะ เธอควรจัดการปัญหาที่อาจเกิดในอนาคตให้อยู่หมัดภายในครั้งเดียว แบบนี้จึงจะถูกต้อง”
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่ละโมบและเลวทรามเช่นตระกูลจาง มันก็ต้องใช้วิธีที่เด็ดขาดและชัดเจนที่สุดเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ขอบคุณอาจารย์ที่สนับสนุนฉันนะคะ”
ปี่เหลาซานโบกมือ “ฉันมันคนแก่ที่อีกไม่นานก็จะลงหลุมอยู่แล้ว มีอะไรที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนอีกล่ะ? บางครั้งแม้แต่ความรักระหว่างพ่อแม่พี่น้องกันเองมันก็ไม่มีค่าเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าคำว่าผลประโยชน์”
เขามองไปยังเซี่ยชิงหยวน “ลูกศิษย์ของฉัน เมื่อตอนที่เธอบอกว่าต้องการให้ฉันเป็นอาจารย์ เธอรู้ไหมว่านอกเหนือจากความรักและความเข้าใจในหยกของเธอแล้ว สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจมากที่สุดในตัวเธอคืออะไร?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ฉันไม่รู้เลยค่ะ”
ปี่เหลาซานยิ้มและพูดว่า “เพราะฉันเห็นความจริงใจในตาของเธอไง ดวงตาของเธอสดใสและชัดเจน เธอมีความกล้าหาญที่หายากในผู้หญิง ตอนนั้นฉันคิดว่าคนสายตาแบบนี้ต้องยอดเยี่ยมมากแน่ ๆ ส่วนเรื่องพี่รองของเธอ เธอลงมือทำสิ่งที่คิดว่าควรทำได้เลย นอกจากนี้สามีของเธอดูมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับเธออยู่แล้วด้วย ดังนั้นเขาจะสนับสนุนเธอแน่นอน เธอไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้วล่ะ”
เซี่ยชิงชิงหยวนรู้สึกโล่งใจและพูดว่า “ขอบคุณค่ะอาจารย์”
…
หลังจากที่กงเหลียนซินวางสายโทรศัพท์ เธอก็กำลังคิดหาข้ออ้างให้เซี่ยจิ่งเฉินเพื่อไปรับเซี่ยซือถงกลับมาบ้าน
แต่ไม่ทันคาดคิด ทันทีที่เธอกลับถึงบ้าน พี่ใหญ่ตระกูลจางก็มาพร้อมกับเซี่ยซือถงก่อนแล้ว
บางทีน่าจะเพื่อทำให้เซี่ยซือถงดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เด็กหญิงสวมมาในวันนี้จึงแย่กว่าครั้งที่แล้วมาก
ขณะนี้คือฤดูหนาวที่หนาวเย็น แต่เด็กกลับยังคงใส่รองเท้าแตะฟางที่ไม่พอดีเท้า นิ้วเท้าของเซี่ยซือถงเป็นสีม่วงเนื่องจากความหนาวและใบหน้าเล็ก ๆ ก็ดูซีดเซียว
สีหน้าของเซี่ยจิ่งเฉินเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด และพี่ใหญ่ตระกูลจางยังคงเม้มริมฝีปาก “ครอบครัวของเรามีคนมากมาย สภาพการณ์เลยไม่ค่อยดีนักน่ะ ขนาดเสื้อผ้าเหล่านี้ยังต้องให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอถอดออกมาให้ใส่เลย”
หวังผิงกอดเซี่ยซือถงอย่างแสนเศร้า และเอามือใหญ่ลูบเท้าที่เย็นจัดของเด็กหญิง “โธ่ หลานของย่า”
เซี่ยซือถงก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
พี่ใหญ่ตระกูลจางแสดงสีหน้าไร้ยางอายออกมา “ลูกสะใภ้คนโตของคุณบอกว่าของที่ลูกสาวของคุณส่งมา มาถึงแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันพาเด็กมาเอาของพวกนั้นน่ะ”
“ลูกสาวของคุณรวยมากนี่นา ไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าหรือนมผงหรอกมั้ง แม้แต่ซองแดงปีใหม่ก็น่าจะถูกเตรียมเอาไว้ให้ด้วยใช่ไหมล่ะ?”