บทที่ 432 คิดถึงเขามาก
บทที่ 432 คิดถึงเขามาก
ที่หน้าต่าง มีร่างสามร่างซ่อนตัวและกระซิบกระซาบกัน
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถาม “ทำไมเขาถึงเป็นลมทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ยังสบายดีอยู่เลยล่ะ?”
ปี่ฟู่หมานเดาะลิ้นของเขา “น่าจะเป็นเพราะเขาโกรธแน่ ๆ”
แต่ทำไมถึงต้องโกรธด้วย?
ปี่เหลาซานสรุป “เขาคงรู้สึกว่าการที่ฉันเป็นอาจารย์ของจิ่นจือมันทำให้ลูกชายของเขาไม่ต้องการให้เขาเป็นพ่ออีกต่อไปล่ะมั้ง”
ปี่เหลาซานรู้สึกว่าในตอนนั้นตัวเขาเองเอาใจใส่ฉีจิ่นจือมาก ยกเว้นแค่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ฉีจิ่นจือก็ไม่ได้ต่างจากลูกชายของเขาเลย
เซี่ยชิงหยวน “…”
ปี่ฟู่หมาน “…”
เสิ่นอี้โจวเข้ามาในห้องและเห็นทั้งสามคนคุยกัน
เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อนเถอะ”
หลังจากได้ยินแบบนั้น ทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไปอย่างเขินอาย
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเสียใจ “ฉันไม่มีเวลาถามศิษย์พี่ใหญ่ด้วยซ้ำว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นอยู่ยังไงบ้าง”
หากเธอไม่เห็นฉีจิ่นจือและปี่เหลาซานกอดกันคืนนี้ เธอก็อาจจะยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง นักเลงใหญ่แห่งเมืองกว่างโจวกลับกลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเธอเองเนี่ยนะ
เสิ่นอี้โจวกอดและแตะปลายจมูกของภรรยาเบา ๆ “หนทางยังอีกยาวไกล ทำไมคุณถึงกังวลนักล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนกังวล “แต่วันนี้ฉีหยวนซานดูโกรธมากเลยนะ เขาไม่ชอบที่ศิษย์พี่ใหญ่ติดต่อกับพวกเรารึเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก มันคงจะดีถ้าวันนี้พ่อและลูกชายได้ปรับความเข้าใจกัน”
ก่อนหน้านี้ฉีหยวนซานตั้งใจที่จะผูกมิตรกับเสิ่นอี้โจว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ได้ เนื่องจากการต่อสู้ภายในที่รุนแรงของตระกูลฉี
ต่อมาด้วยเนื่องจากเซี่ยชิงหยวน ตระกูลเสิ่นจึงได้พัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฉีจิ่นจือและฉีหยวนซานก็มีความสุขมากอยู่พักหนึ่ง
ฉีหยวนซานจะไม่โกรธขนาดนี้ถ้าไม่มี ‘เรื่องเข้าใจผิด’ เกิดขึ้น
เสิ่นอี้โจวแค่หวังว่าฉีจิ่นจือจะหยุดจงใจทำให้พ่อตัวเองโกรธ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าฉีหยวนซานจะทำอะไรต่อไปจากนี้
เซี่ยชิงหยวนคิดถึงโทรศัพท์ที่เผ่ยเยว่โทรมาเมื่อกี้และพูดว่า “คุณคิดว่าเผ่ยเยว่กำลังคิดอะไรอยู่ เธอไม่ใช่คนในตระกูลเผ่ยหรอกเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพึมพำ “เธอคงต้องการแสดงความเป็นมิตรต่อเราล่ะมั้ง”
เขาได้พบกับเผ่ยเยว่ครั้งหนึ่งในคืนขึ้นปีใหม่วันที่ 30 อีกฝ่ายมีไหวพริบต่างจากหญิงสาวในวัยเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็นอันตราย
อย่างน้อยเผ่ยเยว่ก็ไม่มีความคิดสกปรกมากเกินไปในสายตาของตัวเธอ ซึ่งทำให้คุ้มค่าที่จะผูกมิตรกับเธอด้วย
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเชิญเธอมาดื่มชาที่บ้านของเราอีกครั้ง หรือไม่ก็ไปนั่งที่ร้านแล้วกัน”
ความช่วยเหลือนี้มันควรเป็นเธอที่ตอบแทนให้แก่อีกฝ่ายเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเสิ่นอี้โจวที่ทำแทน สายตาของคนนอกอาจมองไม่ดีและเรื่องราวอาจซับซ้อนได้
เสิ่นอี้โจวลูบผมของเธอแล้วพูดว่า “ให้คุณทำย่อมดีที่สุด”
…
ทางด้านเผ่ยอิ่งและเผ่ยเยว่ก็รีบไปโรงพยาบาลประจำมณฑลแล้ว
เผ่ยอิ่งเมินฉีจิ่นจือโดยจับมือของหมอแล้วถามว่า “คุณหมอ สามีของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
ความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉีหยวนซานถูกลบล้างไปด้วยการตายของลูกชาย และการปรากฏตัวของฉีจิ่นจือ
แต่เธอก็ยังเป็นคนที่รู้จักประเมินสถานการณ์ เธอรู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับฉีหยวนซานจริง ๆ ชีวิตของเธอในอนาคตจะไม่ง่ายเลย
หมอพูดว่า “คุณฉีไม่ได้ป่วยหนักหรอกครับ เขาเพียงโกรธจนหมดสติก็เท่านั้น แค่ให้ยาเข้าเส้นเลือดดำให้เขาแล้วให้กลับไปพักผ่อนสักพักก็ดีขึ้นแล้วครับ”
เผ่ยอิ่งเหล่มองฉีจิ่นจือแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
จากนั้นเธอหันกลับและเดินออกไปจากห้อง ไม่แม้แต่จะเหลือบมองที่ฉีจิ่นจืออีกเลย
ฉีจิ่นจือพิงกำแพง งอขายาวข้างหนึ่งแล้วมองพื้นอย่างเบื่อหน่าย เห็นได้ชัดว่าความคิดของเผ่ยอิ่งไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลย
เผ่ยเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก้าวมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “นายเป็นอะไรไหม?”
ฉีจิ่นจือเหลือบมองเธอเบา ๆ ใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงอารมณ์ แต่เมื่อเทียบกับความเย็นชาแบบเมื่อก่อน ตอนนี้ก็เบาบางลงแล้ว “ขอบคุณสำหรับวันนี้”
เขาจะบอกฉีหยวนซานเกี่ยวกับเรื่องของปี่เหลาซานไม่ช้าก็เร็ว แต่ไม่ใช่คืนนี้
แต่ถ้าฉีหยวนซานยังถูกเขาทำให้โกรธอีกเช่นคืนนี้ มันจะไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลยเช่นกัน
พอได้ยินแบบนั้นเผ่ยเยว่ก็พลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมา
ท้ายที่สุดชายคนนี้ไม่ใช่คนใจร้ายไปซะทั้งหมด
เธอยิ้มให้เขา “แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ”
ฉีจิ่นจือพยักหน้าแสดงว่าเขาเข้าใจ
เขายืนตัวตรงแล้วพูดว่า “ฉันไปก่อนนะ ถ้าตาเฒ่าตื่นแล้วก็บอกฉันด้วยล่ะ”
จากนั้นเขาก็กำลังจะจากไป
“นายจะไปแล้วเหรอ?” เผ่ยเยว่เรียกเขา “จะไม่อยู่เฝ้าเหรอ?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “ฉันเกรงว่าเขาจะโกรธมากขึ้นอีกมากกว่าหลังจากที่ได้เห็นฉันทันทีที่ตื่น ปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์ลงสักสองสามวันก่อนดีกว่า”
เผ่ยเยว่ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เธอเพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเท่านั้น “ได้ ฉันจะดูแลคุณลุงให้เอง นายไปทำงานได้เลย ไม่ต้องกังวลหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉีจิ่นจือก็มองเผ่ยเยว่อย่างมีความหมายก่อนจะจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ขณะเดียวกัน เผ่ยเยว่มองดูแผ่นหลังของเขา และรู้สึกแปลกๆ
…
สถานีรถไฟเมืองกว่างโจว
อาเซียงรู้สึกวิตกกังวลกับการนั่งรถไฟมาเมืองกว่างโจวเพียงลำพังอย่างมาก
เซี่ยชิงหยวนบอกเธอทางโทรศัพท์ว่าได้ตกลงนัดหมายกับเฮ่ออวี้เฟิงให้แล้ว เขาจะมารับเธอที่สถานีรถไฟ
ตั้งแต่เธอบอกเซี่ยชิงหยวนครั้งนั้น เซี่ยชิงหยวนไม่เคยแย้งเธอเรื่องเฮ่ออวี้เฟิงอีกเลย ในทางกลับกันเซี่ยชิงหยวนพูดกับเธอว่า “พี่ช่วยเธอได้แค่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง บางสิ่งมันเป็นโชคชะตา ระมัดระวังในทุกสิ่งและอย่าลืมปกป้องตัวเองนะ”
อาเซียงรู้สึกขอบคุณเซี่ยชิงหยวนและตั้งใจที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างลับ ๆ
เมื่อรถไฟมาถึงสถานี เสียงประกาศของสถานีก็ดังขึ้นทางวิทยุ
อาเซียงรีบยกกระเป๋าเดินทางของเธอและติดตามฝูงชนลงจากรถไฟ
ท่ามกลางฝูงชนที่เคลื่อนไหว เธอเห็นเฮ่ออวี้เฟิงยืนอยู่ไม่ไกลทันที
เขาเป็นเหมือนต้นสนสูง มั่นคง และเงียบงัน
เธอมองดูเขา และทันใดนั้นก็น้ำตาไหล
ในช่วงวันที่เธอไม่ได้เจอกับเขา พวกเขาต่างไม่มีเหตุผลที่จะโทรหากันได้เลย และเธอคิดถึงเขามากจริงๆ
—————————————————-