บทที่ 450 เมื่อเป็นโชคชะตาย่อมไม่อาจดึงดัน
บทที่ 450 เมื่อเป็นโชคชะตาย่อมไม่อาจดึงดัน
หงเหมียนมีศักยภาพและลู่ทาง หากฉินไฮว่เซิงเห็นด้วย เธอมั่นใจว่าภายในไม่กี่ปี คำว่า ‘ยามต้องมนต์’ นี้จะกลายเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมืองแน่นอน
ทว่าเงื่อนไขแรกคือฉินไฮว่เซิงต้องยอมพยักหน้ารับเสียก่อน
ไม่อย่างนั้น เธอคงได้ตัดชุดแต่งงานให้*[1] หงเหมียน และกลับกลายเป็นว่าสร้างคู่แข่งให้ร้านของตัวแทน
ฉินไฮว่เซิงหัวเราะออกมาทันทีที่เขาได้ยิน
เขาโน้มตัวไปด้านหลังพลางมองไปยังแววตาของเซี่ยชิงหยวน ความระมัดระวังเริ่มฉายชัดให้เห็น เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คุณเซี่ยเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาเลย”
เซี่ยชิงหยวนแสดงสีหน้าว่าใจกว้าง “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ฉินไฮว่เซิงกล่าวว่า “หากเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าทางหงเหมียนของเรารับภาระหน้าที่ในการโฆษณาเสื้อผ้าให้คุณเซี่ยสิครับ”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะเบา ๆ โดยไร้ซึ่งความขลาดกลัว “ฉันคิดว่าการที่คุณใช้คำว่า ‘ภาระหน้าที่’ นั้นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ค่ะ เงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายเสื้อผ้าล้วนเข้ากระเป๋าของหงเหมียนนี่คะคุณฉิน?”
เหล่าไต้ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ มองดูฝั่งนี้ทีฝั่งนั้นที และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตกแทนเซี่ยชิงหยวน
ฉินไฮว่เซิงนั้นเป็นคนเก็บอาการเก่ง แต่เมื่อคุณได้สนทนากับเขา ความรู้สึกราวว่าถูกกดดันก็มาเยือน
เขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยชิงหยวนจะหาญกล้าพูดคุยกับเขาขนาดนี้
เมื่อคิดว่าฉินไฮว่เซิงจะปัดแขนเสื้อแล้วจากไป ฉินไฮว่เซิงกลับหัวเราะ เสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจจากภายใน
เขามองไปยังเซี่ยชิงหยวน “เกรงว่าคำขอของคุณเซี่ยจะยากอยู่สักหน่อยครับ”
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนไม่แปรเปลี่ยน “ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อเป็นโชคชะตาย่อมไม่อาจดึงดัน”
รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สามารถบรรลุได้โดยการถอยหนึ่งก้าว แต่เซี่ยชิงหยวนกลับกล่าวว่าเป็นโชคชะตา ทำให้ในชั่วขณะหนึ่ง ฉินไฮว่เซิงไม่อาจโกรธเธอได้
อันที่จริง หน้าตาขึงขังของเขาในตอนนี้หากเทียบกับหลายปีต่อมาที่เซี่ยชิงหยวนเคยพบก็นับว่ามากกว่าในตอนนั้นไม่น้อย
ท่าทีอ่อนโยน น่าคบหาของเขาในตอนนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยและสิ่งที่ได้รับการบ่มเพาะเลี้ยงดูเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ความอ่อนโยนในภายหลังนั้นมาจากการตกตะกอนของชายผู้ประสบความสำเร็จที่ผ่านเรื่องราวมานับพัน
ฉินไฮว่เซิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ผมขอกลับไปคิดดูก่อน ถ้ารู้สึกว่าเหมาะสมจะติดต่อคุณเซี่ยไปอีกครั้งนะครับ”
เซี่ยชิงหยวนเองก็ไม่ได้รีบร้อน “พอดีเลยค่ะ ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวันเหมือนกัน ถ้าคุณฉินพิจารณาไตร่ตรองแล้ว สามารถติดต่อฉันได้ตลอดเวลาเลยค่ะ”
การสนทนาระหว่างทั้งสามเป็นอันว่าจบลงตรงนี้
เหล่าไต้เฝ้าดูฉินไฮว่เซิงจากไปด้วยความเสียดาย “หงเหมียนสำหรับพวกเราในตอนนี้คือเรือลำใหญ่ที่ไม่มีวันล่มเลยนะ”
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน “แม้ว่าเรือจะใหญ่กว่านี้ก็ขายเราไม่ได้หรอกใช่ไหม? ถ้าฉันมุ่งความสนใจไปที่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า สิ่งที่ฉินไฮว่เซิงเสนอมานั้นถือว่าเป็นวิธีหาเงินที่ไม่เลว แต่อีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ล่ะ? อีกไม่กี่ปีข้างหน้า หงเหมียนจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วใครจะรู้จักยามต้องมนต์อีก? ไม่แน่อาจถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบของคนอื่นด้วยซ้ำ”
เหล่าไต้เองก็คิดบางอย่างอยู่เช่นกัน แต่ทันทีเขาได้ยินการวิเคราะห์ของเซี่ยชิงหยวนก็พลันหวาดระแวงขึ้นมาเล็ก ๆ
เขารำพึงว่า “เธอพูดถูก ในเมื่อเราอยากทำแบรนด์สินค้าของตัวเองก็ต้องคิดในระยะยาว”
เซี่ยชิงหยวนกล่าว “ดังนั้นเรื่องการหาเงินจึงไม่อาจรีบร้อนได้”
หากฉินไฮว่เซิงสนใจ เขาจะติดต่อเธอมาอีกครั้ง
เธอเงียบลงครู่หนึ่ง “คุณไปฉางโจวมาสองสามครั้งแล้วไม่ใช่เหรอคะ? พอจะเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างไหม?”
เหล่าไต้เอ่ยว่า “เป็นไปอย่างที่เธอคิดเลย ราคาผ้าที่นั่นถูกกว่าที่นี่มาก แต่มีปัญหาสองอย่างที่เรายังหาทางแก้ไขไม่ได้ในตอนนี้น่ะสิ อย่างแรกคือปัญหาเรื่องปริมาณการจัดซื้อ ตอนนี้เราขยายสาขาออกไปไม่กี่แห่ง ทั้งยังไม่ได้ใช้ผ้าเป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะไม่ได้ราคาที่ถูกมากมายอะไรนัก อย่างที่สองคือปัญหาเรื่องค่าขนส่ง หากส่งทางไปรษณีย์จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก การขนส่งสินค้าเพียงอย่างเดียวจะถูกกว่า แต่พอเป็นคำสั่งซื้อที่ปริมาณน้อย เขาก็ไม่ค่อยอยากรับกัน”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยต่อ “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องคิดหาหนทางเพื่อเพิ่มปริมาณในการซื้อ”
นัยน์ตาของเธอกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว “เหล่าไต้ ก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยคุยกับคุณเรื่องร่วมหุ้นกัน คุณได้คิดไตร่ตรองอย่างชัดเจนหรือยังคะ?”
เหล่าไต่หัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “ฉันไปคิดดูแล้วว่าจะร่วมหุ้นลงทุนกับเธอด้วยน่ะ”
เขากางฝ่ามือออกมา “ฉันรวบรวมเงินมาจำนวนหนึ่ง ได้มาประมาณนี้”
เซี่ยชิงหยวนยกนิ้วโป้งให้เขา “เหล่าไต้ สุดยอดไปเลยค่ะ”
เดิมทีเธอคิดว่าเขาคงจะกำเงินมาราว ๆ สองหรือสามหมื่นหยวน แต่ใครกันคาดคิดว่าจะมากถึงห้าหมื่นหยวน ซึ่งมากกว่าเงินที่เธอมีเสียอีก
ไม่ได้การแล้ว เมื่อกลับไปยังมณฑลอวิ๋น เธอจะต้องตรวจนับทรัพย์สินของตัวเองให้ดี
เหล่าไต้กล่าวว่า “รายได้จากร้านในช่วงที่เปิดขายก่อนที่ฉันจะมาร่วมทุน ให้นับเป็นของเธอไปนะ นอกจากนี้เธอเป็นหัวเรือในการออกแบบเสื้อผ้า ทั้งยังรับผิดชอบในเรื่องการวางขาย ไม่ว่าเธอจะมีเงินเท่าไหร่ก็ให้ส่วนแบ่งของเธอมากกว่าได้เลย”
เหล่าไต้รู้อยู่แก่ใจว่าหากเขาไม่ได้พบกับเซี่ยชิงหยวน ความฝันเรื่องเสื้อผ้านี้เกรงว่าจะไม่มีวันเป็นจริงในชีวิตนี้ของเขา
เซี่ยชิงหยวนเองก็ไม่เกรงใจนัก เธอพยักหน้าพลางเอ่ย “ได้สิ จะแบ่งสันปันส่วนกันยังไงนั้น รอให้ฉันกลับไปแล้วจะคำนวณให้นะ”
เหล่าไต้ตอบว่า “ตกลงตามนี้”
พวกเขาทั้งสองคุยกันอีกครั้งเกี่ยวกับการไปซื้อสินค้าในอีกสองวันข้างหน้า และหลังจากกินอาหารแล้ว เหล่าไต้จึงมาส่งเซี่ยชิงหยวน
ก่อนจากไป เขายังบอกกับเซี่ยชิงหยวนอีกว่า “ในหนึ่งวัน เราจะไปหนึ่งสถานที่พอนะ ฉันไม่กล้าให้เธอเหนื่อยจนเกินไปหรอก”
เซี่ยชิงหยวนระบายยิ้ม “วางใจเถอะ ฉันจะชั่งน้ำหนักในเรื่องนี้เอง”
คุณหมอฮวงกล่าวว่าการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อการคลอดบุตรในอนาคตด้วย ในตอนนี้เธอไม่ได้ออกกำลังกายเท่าตอนที่อยู่ที่มณฑลอวิ๋นเลย
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อีกสองวัน สามีของฉันพอจะมีเวลาว่างอยู่ พวกเรามากินข้าวด้วยกันสักมื้อนะ”
เหล่าไต้โบกมือ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเตรียมตัวมาอย่างดี จะไม่ให้เสียหน้าในฐานะหุ้นส่วนของเธอแน่”
ทั้งสองหยอกล้อกันเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวคำอำลา
เมื่อกลับมาถึงที่พัก เซี่ยชิงหยวนก็งีบหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสิ่นอี้โจวนั่งห่มผ้าให้เธออยู่ที่ข้างเตียง
เธอขยี้ตา “กลับมาแล้วเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้ารับ “ค่ำนี้ไม่มีงานเลี้ยงน่ะ ผมเลยกลับมาเร็วหน่อยจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
เซี่ยชิงหยวนลุกขึ้นนั่ง แล้วเอ่ย “ถึงเวลามื้อเย็นแล้วสินะ ไปกินข้าวกันดีไหม?”
เสิ่นอี้โจวยกยิ้ม “ลูกหิวแล้วเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้หน้าแดงหรือหายใจติดขัดแต่อย่างใด “แน่นอนสิคะ”
เมื่อสังเกตเห็นว่าดวงตาของผู้เป็นสามีที่ดูเหนื่อยล้ากว่าปกติอยู่เล็กน้อย เธอจึงเอ่ยถาม “ที่ทำงานมีเรื่องอะไรให้คับข้องใจรึเปล่า?”
[1] 替别人做嫁衣 แปลว่า ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น มีความหมายว่าลำบากตั้งมากมาย สุดท้ายก็เสียเปล่า ผลประโยชน์ล้วนเป็นของคนอื่นทั้งสิ้น
……………………………………………