บทที่ 484 เยียวยาทั้งชีวิตด้วยวัยเยาว์ที่เปี่ยมด้วยความสุข
บทที่ 484 เยียวยาทั้งชีวิตด้วยวัยเยาว์ที่เปี่ยมด้วยความสุข
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเซี่ยชิงหยวน ก่อนจะเปิดประตูหลังจากตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับเธอ
หน้าประตูมีพี่สาวคังซึ่งมีท่าทางวิตกกังวล และด้านหลังของเธอมีพยาบาลสาวอีกคนตามมาด้วย
พี่สาวคังมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องไห้งอแงอยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว “เลขาธิการเสิ่น เด็กเป็นอะไรเหรอคะ? หลายวันมานี้ก็ยังดี ๆ อยู่เลย ฉันไม่เคยได้ยินเธอร้องไห้แบบนี้มาก่อนเลยค่ะ”
เท้าทั้งสองข้างของยัยหนูนั้นดิ้นไปมาอยู่ในผ้าห่อทารก ใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก
ลูก ๆ ของตระกูลเสิ่นคือใครกัน?
คือทารกที่ประพฤติตัวดีที่สุดในแผนกทารกแรกเกิด ว่านอนสอนง่ายกว่าหมอคนที่สอง สาม และสี่เสียด้วยซ้ำ!
เสิ่นอี้โจวลูบตัวลูกสาวของเขาเบา ๆ ใบหน้าของเขาดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ชั่วระยะสั้น ๆ “เมื่อครู่นี้ เธอคงได้กลิ่นน้ำนมแม่น่ะครับ”
เมื่อพี่สาวคังได้ยินสิ่งนี้ เธอก็มองไปยังเซี่ยชิงหยวนที่ก้มหน้าลงแล้วก็เข้าใจได้ในทันที
เธอหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ออกมาสองครั้ง พร้อมปรบมือด้วยสีหน้าโล่งใจ “คุณแม่มีอาการคัดตึงเต้านมแล้วสินะคะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับอย่างเก้อเขิน
พี่สาวคังอธิบายให้เสิ่นอี้โจวฟังว่า “ปกติแล้วผู้หญิงจะต้องให้นมลูกทันทีหลังคลอดค่ะ แต่กรณีของคุณนายเสิ่นนั้นถือเป็นกรณีพิเศษ จึงไม่ได้ทำขั้นตอนนี้ คลอดลูกมาก็หลายวันแล้ว เดาว่าคงจะอึดอัดไม่น้อย”
เธอเอ่ยบอกนางพยาบาลที่อยู่ด้านหลัง “เธอไปตามพี่สาวเจินมาทีนะ”
นางพยาบาลพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งไปเรียกพยาบาลอีกคน
พี่สาวคังส่งสัญญาณบอกเสิ่นอี้โจว “เลขาธิการเสิ่น ช่วยอุ้มลูกออกไปเดินเล่นตามทางเดินสักรอบก่อนนะคะ เราต้องระบายน้ำนมให้คุณนายเสิ่นค่ะ”
มีคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่ร้องห่มร้องไห้ราวกับผีสางในตอนที่เริ่มให้นมลูกครั้งแรก เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณนายเสิ่นที่ดูงดงามหยาดเยิ้มคนนี้จะทนไหวได้แค่ไหน
แน่นอนว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นระหว่างการคลอดบุตรนั้นมากยิ่งกว่า ทว่าความเจ็บปวดจากการให้นมครั้งแรกนั้นก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ซึ่งเมื่อเริ่มให้นมลูกแล้วจะไม่มีความมุ่งมั่นและความหาญกล้าในแบบที่เทหมดหน้าตัก จึงทำให้คนเรารู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ง่ายขึ้น
เมื่อเสิ่นอี้โจวได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็พลันขมวดแน่น “เจ็บมากไหมครับ?”
เขาเคยอ่านเจอมาว่าความเจ็บปวดในการให้นมครั้งแรกนั้นเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าการคลอดบุตร
แล้วในกรณีของเซี่ยชิงหยวนที่ยังไม่ได้ระบายน้ำนมออกมาหลายวัน เกรงว่าจะเจ็บจนทนไม่ไหว
พี่สาวคังเองก็เอ่ยบอกตามตรง “นี่… ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ค่ะ แต่เลขาธิการเสิ่นอย่าได้กังวลไปเลยค่ะ พี่สาวเจินของโรงพยาบาลเรามีประสบการณ์มาก”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและเดินเข้าไปหาเซี่ยชิงหยวนพร้อมกับลูกสาวในอ้อมแขน ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล ”มันอาจจะเจ็บปวดอยู่สักหน่อย อดทนไว้นะ แต่หากว่าอดรนทนไม่ไหวแล้วก็เรียกผมนะ”
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้มด้วยสีหน้าสงบ “ตอนคลอดฉันยังผ่านมาได้เลย แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
แต่ผลปรากฏว่าเซี่ยชิงหยวนประมาทเกินไป
เมื่อพยาบาลแซ่เจินแก้ปมเสื้อของเธออก จากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าอกโดยออกแรงกดเพียงเล็กน้อย หญิงสาวก็ขมวดคิ้วแน่นด้วยความทรมานแล้ว
พี่สาวเจินกล่าวว่า “คุณนายเสิ่น จากนี้อาจจะยิ่งเจ็บกว่านี้ คุณต้องอดทนนะคะ”
มือของเธอกดรอบหน้าอกของเซี่ยชิงหยวนเพื่อตรวจดูด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจริงจัง “เต้านมแข็งตึงมากนะคะ ทั้งยังเจ็บด้วย ฉันเดาว่าน่าจะคัดตึงแล้ว น้ำนมนี้อย่างไรก็ต้องระบายออก ไม่อย่างนั้นคุณจะเป็นไข้ได้ค่ะ”
เธอเอ่ยบอกกับพี่สาวคังว่า “เสี่ยวคัง เธอมาอยู่ด้านข้างและช่วยกดคนไข้ไว้หน่อยนะ”
พี่สาวคัง “ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนคิดในใจ กดร่างเธอไว้งั้นเหรอ?
ต่อมา ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเอ่ยบอกให้คนมากดร่างของเธอเอาไว้
เซี่ยชิงหยวนตัวสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด “พี่สาวเจิน ตำแหน่งนี้ไม่สามารถใช้แรงขนาดนี้ได้นะคะ…”
สีหน้าของพี่สาวเจินไม่แปรเปลี่ยน “ฉันใช้แรงแค่สามส่วน ไม่ได้กดอะไรรุนแรงเลยค่ะ ที่คุณรู้สึกมากเพราะเต้านมคัด จำต้องทำให้แรงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคุณจะไข้ขึ้นได้”
”ไม่ต้องกังวลนะคะ รับรองว่าจะปลอดภัยไม่เจ็บตัว ให้ระบายออกไปได้ก็จะโล่งสบายและอ่อนลงค่ะ”
หลังจากนั้นก็เกือบจะมีเสียงร้องห่มร้องไห้ราวกับผีสางพลันดังขึ้นในห้องพักผู้ป่วยเสียแล้ว ในท้ายที่สุด เป็นเซี่ยชิงหยวนที่จำต้องกัดผ้าก๊อซเอาไว้เพื่อสะกดกลั้นเสียงร้องของตัวเอง
เจ็บเหมือนจะตายเลยจริง ๆ!
รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าตอนคลอดลูกเสียอีก!
หรือแม้เธอจะไม่อยู่ในอาการโคม่าตอนที่พยาบาลกดท้อง เธอก็คงคิดแบบเดิม
เสิ่นอี้โจวซึ่งอุ้มลูกสาวเดินไปมาตามทางเดิน รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากเซี่ยชิงหยวน
เขาถึงกับเอาหูแนบประตูแอบฟังอยู่ครู่หนึ่งในตอนที่เดินผ่านมา ทว่ากลับไม่ได้ยินอะไรเลย
เมื่อก้มศีรษะมองไป เด็กหญิงน้อยก็มองเขาตาไม่กะพริบด้วยความสนใจ
ทางเดินในห้องทารกแรกเกิดได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ ทำให้มีลมพัดผ่านไม่มากนัก ตรงกันข้ามกลับรู้สึกค่อนข้างอบอุ่น เด็กหญิงตัวน้อยอาจจะเริ่มร้อนจึงเอื้อมมือออกมาพยายามคว้าตัวเขา
เสิ่นอี้โจวรู้สึกอายขึ้นมาเล็ก ๆ เมื่อถูกเจ้าตัวน้อยจับได้ว่าแอบฟัง เขาจับมือลูกสาวขึ้นมา ก่อนจะจรดริมฝีมากไปบนมือเล็ก ๆ นั่นแล้วยกยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าตัวแสบ”
เด็กหญิงตัวน้อยอารมณ์ดีจึงส่งเสียง “แอะ” ออกมาอีกหนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
เสิ่นอี้โจวมองดูใบหน้าเล็ก ๆ ของลูกสาวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกชายคนเล็กของเขา
ลูกสาวคนโตหน้าตาคล้ายตัวเขา ส่วนลูกชายคนเล็กนั้นละม้ายคล้ายเหมือนเซี่ยชิงหยวนมากกว่า และแม้ว่าผิวหนังบนใบหน้าของเขาจะยังมีสีแดงอมม่วง แต่ก็เห็นได้ไม่ยากว่าลูกชายของเขาจะเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่หล่อเหลาอย่างแน่นอนในอนาคต
ในชีวิตของเขา เขาไม่มีความคิดอื่นใดนอกจากหวังว่าจะมีภรรยาผู้เป็นที่รักคอยอยู่เคียงข้างและลูก ๆ ของเขาเติบโตไปอย่างแข็งแรง
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวอุ้มลูกสาวของเขากลับมา พี่สาวเจินกับพี่สาวคังก็จัดการระบายน้ำนมเธอเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่พี่สาวเจินจะออกจากห้องไปยังเอ่ยบอกด้วยว่า “หากมีเวลา รบกวนเลขาธิการเสิ่นช่วยประคบน้ำอุ่นนะคะ จะช่วยลดอาการคัดตึงได้ค่ะ แล้วพรุ่งนี้ฉันกลับมาอีกรอบ คาดว่าคงจะหายคัดตึงไปพอสมควร”
เซี่ยชิงหยวนแทบจะกลิ้งลงจากเตียงเมื่อเธอได้ยินประโยคสุดท้ายของพี่สาวเจิน
เธอไม่เคยดื้อรั้นในเรื่องนี้ หญิงสาวพยักหน้าอย่างอ่อนเพลียพลางเอ่ย “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณพี่สาวเจินและพี่สาวคังมากนะคะ”
เสิ่นอี้โจววางลูกลงในเปลแล้วจึงเดินเข้ามาหาเซี่ยชิงหยวน ก่อนเอ่ยถาม “คุณยังไหวใช่ไหม?”
ตั้งแต่คลอดลูก สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้ดีนัก และด้วยความเจ็บปวดที่เธอต้องทนทุกข์ทรมาน จึงทำให้มองไม่ออกเสียเท่าไหร่
เธอผงกศีรษะและเอ่ยด้วยความคับข้องใจ “เจ็บมากทีเดียวค่ะ ราวกับคลอดลูกเลย”
เสิ่นอี้โจวรีบเข้ามาโอบกอดเธอ “ลำบากคุณแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันยอมทนลำบากได้ค่ะ ขอเพียงแค่มันไม่ส่งผลกระทบต่อการให้นมลูกในอนาคตก็พอ”
หากไม่มีน้ำนม หรือมีไข้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในอนาคตเมื่อกลับไปให้นมลูก หากลูกทั้งสองคนไม่ได้ดื่มนมแม่อีก นั่นคือสิ่งที่เธอจะเสียใจ
เสิ่นอี้โจวพิจารณาปัญหานี้ “ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ลูกกินนมผงเถอะ”
หลายวันมานี้ เด็ก ๆ ทั้งสองคนก็ปรับตัวกินนมผงได้ค่อนข้างดี
เซี่ยชิงหยวนส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ สิ่งที่น้ำนมแม่สามารถให้กับลูกได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแทนที่ด้วยนมผงได้”
เธอมองไปยังลูกสาว ซึ่งนอนหลับอย่างสงบแล้วถอนหายใจ “มีหลายครั้งที่ฉันคิดว่ามีลูกชายจะดีกว่า ไม่ใช่เพราะสังคมปิตาธิปไตย แต่เพราะการเป็นผู้หญิงนั้นแสนลำบากขมขื่น”
“บางทีครอบครัวอาจจะรักและเอาใจใส่เธอน้อยกว่าหรืออาจหมางเมินเธอตั้งแต่เด็ก และเมื่อโตขึ้นก็ต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม”
“เมื่อแต่งงานและมีครอบครัวในอนาคต นอกจากจะต้องแบกรับความเจ็บปวดจากการคลอดลูกแล้ว บางทีสามีก็อาจจะขาดความเข้าใจ ทั้งยังอาจต้องประสบกับปัญหาแม่สามีลูกสะใภ้อีก”
“ว่ากันว่าผู้หญิงเมื่อเติบโตขึ้นมาก็ไร้ซึ่งครอบครัว ในบ้านของแม่ไม่มีที่สำหรับเธออีก และในบ้านของสามีเธอก็เป็นคนนอก”
เธอมองไปยังเสิ่นอี้โจว ”อี้โจว ฉันไม่รู้ว่าในอนาคต ลูกสาวของเราจะโชคดีเหมือนฉันที่ได้พบสามีที่ดีอย่างคุณและแม่สามีที่ดีอย่างคุณแม่ไหม”
“แต่ในฐานะพ่อแม่ เราต้องมอบความรักให้กับเธอและลูกชายของเราเท่า ๆ กัน ไม่ถือหางให้ท้ายใคร ให้ลูกได้รับความรักตั้งแต่เยาว์วัยและมีชีวิตที่โอบล้อมไปด้วยความรัก ฉันเชื่อว่าในอนาคตลูกจะสามารถเยียวยาทั้งชีวิตด้วยวัยเยาว์ที่เปี่ยมด้วยความสุขได้”
……………………………………………