บทที่ 531 ลวนลามภรรยาตัวเองตอนกลางวันแสก ๆ?
บทที่ 531 ลวนลามภรรยาตัวเองตอนกลางวันแสก ๆ?
ทันทีที่เสิ่นอี้โจวได้ยินแบบนั้น สายตาของเขาก็จดจ่ออยู่ที่เธอ “คุณลองพูดมาสิ”
เซี่ยชิงหยวนวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของเสิ่นอี้โจว ก่อนเอนตัวเข้าหาเขาแล้วเอ่ยว่า “ฉันคิดว่าเราควรจัดการปัญหาของพวกเขาก่อนนะ จากนั้นค่อยส่งเสริมให้กำลังใจตามที่เหมาะที่ควร เรื่องแรงจูงใจนี้ก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย”
เสิ่นอี้โจวเอ่ยต่อยอดจากสิ่งที่หญิงสาวพูด “อย่างเช่น เพื่อช่วยพวกเขาแก้ปัญหาการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เราสามารถปรับแก้เรื่องค่าตอบแทนให้แก่คนที่มาช่วยงานได้… ด้วยการเลี้ยงอาหาร”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าพลางระบายยิ้ม “ตามนั้นเลย ชาวบ้านต่างกำลังมองว่าสิ่งที่คุณสามารถนำมาสู่พวกเขาได้จริง ๆ คืออะไร หากสิ่งนั้นเพ้อฝันเกินไป ก็จะกลายเป็นเพียงดอกไม้ในกระจกเงา ดวงจันทร์ที่สะท้อนในน้ำ*[1] ก็เท่านั้น”
คนที่นี่จำนวนไม่น้อยเพียงแค่เคยไปเหยียบในเมืองก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่าข้างนอกนั้นมีโลกอันสวยสดงดงามอยู่?
พวกเขาย่อมไม่เข้าใจว่าหากถนนสายนี้ตัดผ่านภูเขาเรียบร้อยแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินต่อชีวิตของพวกเขาได้ยังไง
หากได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ในใจย่อมมีความปรารถนา และจะนำมาซึ่งแรงฮึกเหิมจูงใจ
แต่เงื่อนไขข้อแรกนั่นคือ ต้องมีการรับประกันชีวิตของพวกเขาเสียก่อน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวต่อ “โดยส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าการเลี้ยงอาหารพวกเขานั้นดีกว่าการให้เงินนะ เราสามารถอ้างการกินข้าวหม้อใหญ่ร่วมกันในสมัยก่อน ใช้การร่วมทำงานกับรัฐเพื่อแลกข้าว ใครที่ทำงานมากก็จะมีเนื้อกิน แม้ว่าจะเป็นวิธีโบราณ แต่การใช้งานและความเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณคิดแบบนั้นไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้ารับทันที “นี่เป็นความคิดที่ดีเลยนะ”
อันที่จริง พวกเขาเคยคิดเรื่องการจัดสรรเลี้ยงอาหารมาก่อนแล้ว ทว่าประการแรกคืออาหารไม่สามารถจัดส่งเข้ามาได้ และอีกประการหนึ่ง พวกเขาไม่มีบุคลากรที่เหมาะสมในการจัดการเรื่องงานธุรการ ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องหันไปใช้การจ่ายค่าแรงแทน
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย “เพียงแต่เรื่องการจัดสรรอาหารเลี้ยงอาหารนี่…”
เซี่ยชิงหยวนตบหน้าอกของตัวเอาเบา ๆ พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ภรรยาของคุณก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
หญิงสาวถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นเผยให้เห็นต้นแขนของเธอ จากนั้นหญิงสาวก็เบ่งกล้ามเล็ก ๆ ให้เขาดู “คุณอย่ามองว่าฉันผอมบางสิ ฉันเองก็มีเรี่ยวแรงนะ แถมยังเคยทำงานในร้านอาหารด้วย ดังนั้นเรื่องการทำอาหารอะไรพรรค์นี้ย่อมไม่มีปัญหา”
ก่อนจะแสร้งใช้น้ำเสียงราบเรียบ “ยังมีเรื่องอะไรอีกนะ การเตรียมดินเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิใช่ไหมล่ะ? ฉันก็จัดการดูแลให้คุณได้เหมือนกัน เมื่อถึงเวลานั้น คุณวางใจและพาพวกผู้ชายไปทำงานที่แนวหน้าได้เลย”
ในเรื่องเกษตรกรรม จู่ ๆ เธอก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมา ทว่ายังไม่มีเวลาได้บอกแก่ผู้เป็นสามี
“ชิงหยวน ขอบคุณนะ!” เสิ่นอี้โจวกอดเซี่ยชิงหยวนอย่างมีความสุข “คุณช่วยผมแก้ปัญหาใหญ่นี้ได้จริง ๆ!”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยอย่างติดตลกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งให้ฉันเป็นผู้อำนวยการสมาพันธ์สตรีสิ ดีไหมล่ะ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้อนี้ทำได้ครับ”
เขาจูบหนัก ๆ ที่หน้าผากของเซี่ยชิงหยวน พร้อมลูบไล้หน้าอกของเธอสองสามครั้ง “ผมจะออกไปปรับแก้แผนงานกับพวกเขาสักหน่อยก่อนนะ”
ความสุขของชายหนุ่มนั้นเหนือจะบรรยาย เขากอดภรรยาในอ้อมอกแนบแน่น พลางพรมจูบเธออีกหลายครั้ง แล้วจึงผละตัวออก และลงบันไดไป
เซี่ยชิงหยวนมองตามร่างของผู้เป็นสามีไป ก่อนพบว่ามีเด็กกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ที่ชั้นล่าง จ้องมองเธออย่างตกตะลึงเสียจนตาค้าง
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอรีบกลั้นเสียงหัวเราะ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
น่าอายจริง ๆ เลย ซ้ำยังไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้จะเอาไปพูดลับหลังอย่างไรบ้าง
ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจนคนใหม่ลูบไล้หน้าอกภรรยาตอนกลางวันแสก ๆ?
ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนพลันเห่อร้อนด้วยความเขินอายเมื่อเธอคิดมาถึงตรงนี้
อากาศร้อนจริง ๆ เลยเนอะ เหอะ เหอะ
…
เสิ่นอี้โจวเข้าไปยังศูนย์บรรเทาความยากจนหลังคามุงจากของพวกเขาจนเวลาผันผ่านไปเกือบถึงเที่ยงแล้วก็ยังไม่กลับมา
เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วจึงทำอาหารกลางวันไปส่งให้ที่นั่น
แน่นอนว่าเธอย่อมไม่กล้าทำอาหารที่หรูหราเสียจนเกินไป มีเพียงโจ๊กข้าวขาวผสมข้าวโพด เห็ดหูหนูผัดไข่ มันฝรั่งเส้นผัด และผัดผักชีล้อมที่เก็บมาจากข้างคูน้ำ
เจ้าหน้าที่ศูนย์บรรเทาความยากจนดีใจมากเมื่อเห็นอาหารน่ากินเช่นนี้ จึงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก
เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้แต่งงานพลันดวงตาแดงก่ำ แล้วเอ่ยอย่างสะอึกอื้น “ผมคิดถึงอาหารของแม่จริง ๆ ครับ”
หลินตงซิ่วที่คำพูดเร็วกว่าความคิดพลันเอ่ยออกมาว่า “เจ้าหนุ่ม ถ้าเธอไม่รังเกียจ ก็คิดเสียว่าป้าเป็นแม่ของเธอก็ได้”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เสิ่นอี้โจว “…”
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ “…”
เจ้าหน้าที่หนุ่มรีบโบกมืออย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ไม่ครับคุณป้า ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
เสิ่นอี้โจวยกยิ้ม “ไม่เป็นไร พวกเราอยู่ที่นี่ ก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วครับ”
คำพูดของเสิ่นอี้โจวทำลายความอึดอัดกระอักกระอ่วนออกไปได้สำเร็จ ด้วยทุกคนต่างก็เห็นด้วย
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม พลางดึงแขนเสื้อของหลินตงซิ่วเบา ๆ แล้วกล่าวบอกกับทุกคน “พวกคุณค่อย ๆ กินนะคะ พวกเราขอตัวกลับก่อน”
พวกเจ้าหน้าที่รอให้สองแม่สามีและลูกสะใภ้ออกไป จากนั้นก็พากันเอ่ยชื่นชม “ผู้อำนวยการเสิ่นช่างโชคดีจริง ๆ ที่ภรรยาและคุณแม่ตามมาที่นี่ด้วย”
เพราะทันทีที่ครอบครัวของพวกเขาได้ยินว่าต้องเดินทางมาสถานที่เช่นนี้ หากไม่ร้องไห้ก็โวยวายสร้างเรื่อง บางคนถึงขั้นขู่ว่าจะขอหย่าร้างเสียด้วยซ้ำ
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า รอยยิ้มของเขาฉายชัดไปด้วยความปีติยินดี “ผมโชคดีมากที่ได้แต่งงานกับเธอ”
…
เสิ่นอี้โจวและเจ้าหน้าที่รีบจัดการมื้อกลางวันด้วยความรวดเร็ว และเมื่อสรุปแผนงานได้ในสุดจึงกลับบ้าน
เขาบังเอิญสวนกับเซี่ยชิงหยวนที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหว สวมรองเท้าผ้า และรวบผมยาวสลวยไว้ด้านหลังศีรษะ แม้จะดูสวยหยาดเยิ้มน้อยกว่าตอนที่ปล่อยผม ทว่าก็เรียบร้อยและดูดีอย่างมาก
เธอเดินออกไปด้านนอกและกำลังจะออกจากบ้าน
เมื่อเสิ่นอี้โจวเห็นภรรยาแต่งตัวแบบนี้ เขาพลันตกตะลึง ก่อนเอ่ยถามว่า “คุณตั้งใจจะไปไหนเหรอ?”
[1] ดอกไม้ในกระจกเงา ดวงจันทร์ที่สะท้อนในน้ำ หมายถึง สิ่งที่มองเห็นได้ แต่สัมผัสไม่ได้ เหมือนดอกไม้ที่สะท้อนในกระจกหรือดวงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ สิ่งที่เป็นความฝันที่สวยงาม แต่ไม่สามารถบรรลุได้เพราะเป็นภาพลวงตา