ตอนที่ 121 ทางเข้าสี่ทิศ
เหนือท้องนภาขึ้นไป ราชวังโลหิตได้ตั้งตระหง่านราวกับอสุรกายขนาดมหึมา
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้นในแต่ละก้าว ผู้คนจะรู้สึกถึงแรงกดดันและความรกร้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มันมีทางเข้าราชวังอยู่สี่แห่ง พวกเรามาเลือกกันคนละแห่งเพื่อไม่ให้แย่งสมบัติกันเถอะ!”
ผู้ที่กล่าวคือเจิ้งจวิ่น เสียงของเขาดังอย่างชัดเจนจนทุกคนในพื้นที่ได้ยิน
“ตกลง ไปกันเถอะ!” เซียเจิ้งเฟิงและอ้วนเฟยจากสํานักดอกบัวได้ยืนขึ้น จากนั้นได้วิ่งไปยังทางเข้าทิศเหนือ พวกเขามีตระกูลอื่นตามไปด้วย
” พี่เจิ้ง ทําไมพวกเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ?” หลิงเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าก็ต้องการเช่นนั้น!” เจิ้งจอิ่นยิ้มกลับ จากนั้นทั้งสองได้เดินไปยังทางเข้าใกล้ที่สุดและเตรียมพร้อมลงมือ
กลุ่มที่เหลือทั้งหมดได้ไปยังทิศใต้
ทางเข้าสุดท้ายคือทางทิศตะวันตก แต่ไม่มีใครไปในทิศนี้ พวกเขาทราบกันหมดว่ามันคือทางมรณะเคยมีศิษย์หลายคนเข้าไปและไม่มีใครกลับออกมา เช่นนั้นใครจะยังสนใจสมบัติอีก
ในประตูทิศเหนือ ดาบของเซียนเจิ้งเฟิงได้ฟันเข้าไปยังเกราะพลังป้องกันจนฉีกออก
อีกด้านหนึ่งอ้วนเฟยกําลังบิดลําตัวไปด้านข้างและทําท่าเหมือนจะปล่อยหมัดที่รุนแรง
เซียเจิ้งเฟิงมองอ้วนเฟยอย่างประหลาดใจ ชายหนุ่มคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่ฝีมือกลับก้าวหน้าขึ้นมาก
“ดูเหมือนเราจะต้องชิงมรดกวิชามาให้ได้ครั้งนี้ มิเช่นนั้นตําแหน่งเราคงอยู่ในอันตราย” เซียเจิ้งเฟิงกล่าวในใจเขาอายุยี่สิบสองปี และอยู่ขั้นสมุทรวิญญาณระดับสองมาครึ่งปีแล้ว
แต่อ้วนเฟยอายุแค่สิบแปดปี ขั้นพลังของของเขาได้ตามมาอย่างติด ๆ โดยเวลานี้เขาอยู่ที่ขั้นสมุทรวิญญาณระดับแรก กล่าวได้ว่าเขามีอนาคตมากกว่า
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ดาบในมือเขาได้สั่นและเปล่งประกายกว่าเดิม มันกลายเป็นลําแสงฟันฝ่านผนึกตรงหน้า
อีกด้านหนึ่ง ฝ่ามือของเจิ้งจนได้พุ่งออกมา พลังวิญญาณในมือเขาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก่อนจะฟาดลงไปยังเกราะพลัง
เกราะพลังสั่นอย่างรุนแรงราวกับจะแตกออก แต่ก็ยังไม่แตก
มู่หรงเฉียนหลิงขยับดาบในมือราวกับลมพายุ คมดาบสายลมมากมายได้ระบําใส่ผนึกตรงหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
“สํานักชวนเทียนเหมาะที่จะเป็นสํานักอันดับหนึ่งจริง ๆ !” หลิงเฟิงถอนหายใจขณะมองพลังวิญญาณในมือของเขาเริ่มก่อตัวเป็นรูปภูเขาที่น่าสะพรึง
“ฝ่ามือระเบิดภูผา!”
หลิงเฟิงได้ตะโกนขึ้นจากนั้นภูเขาที่ดูหนักกว่าหนึ่งแสนจินได้ทะลวงไปยังเกราะพลังอย่างรุนแรง
“พี่หลิงร้ายกาจมาก!” เจิ้งจนหัวเราะ “ฝ่ามือระเบิดภูผาของตระกูลหลิงยังคงทรงพลังไม่เปลี่ยน!”
ทั้งสองหัวเราะให้กันขณะโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่พวกเขากําลังพยายามทําลายเกราะพลัง ผู้คนก็เริ่มมามากขึ้นเรื่อย ๆ
“โชคดีที่เรายังมาทัน!” เมื่อฮูหมานเห็นเกราะพลังกําลังจะแตก นางจึงถอนใจ “ศิษย์น้องหลิน ขอบคุณเจ้ามากครั้งนี้ ไว้เจอกันในราชวังโลหิต!”
ฮูหมานเป็นศิษย์ของสํานักดอกบัว มันจึงทําให้นางเข้าไปพร้อมกับหลินเซวียนไม่ได้
“ไปกันเถอะ!” หลินเซวียนกล่าวกับช่างกวนหลิวหยุน พวกเขาได้เดินไปยังทางเข้าทิศตะ วันออก
การมาถึงของหลินเซวียนดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบด้าน มู่หรงเฉียนหลิงพยักหน้าและยิ้มให้ขณะที่กลุ่มตระกูลหลิงทําท่าเยาะเย้ย หลิงเฟิงและเจิ้งจนเผยจิตสังหารอันแรงกล้าผ่า นสายตา
ถึงแม้มันจิตสังหารจะไม่ชัดเจนนัก แต่หลินเซวียนก็สามารถสัมผัสได้โดยนัยน์ตาสีม่วง
เขาแอบแสยะยิ้มในใจแต่ใบหน้ายังไร้ซึ่งท่าที่ใด
เวลานี้ผนึกฝั่งทิศเหนือได้แตกแล้ว และศิษย์สํานักดอกบัวได้เข้าไปกันอย่างรวดเร็ว
แกรัก!
ผนึกฝั่งหลินเซวียนก็เริ่มเกิดรอยร้าวเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นานมันก็แตกออก
“เจ้าเข้าไปก่อนเลย!” หลิงเฟิงกล่าวอย่างไม่เห็นแก่ตัว
เจิ้งจนพยักหน้าก่อนจะเข้าไปพร้อมศิษย์สํานักชวนเทียน
หัวใจหลินเซวียนจมลงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าสายตาของคนตระกูลหลิงกําลังจ้องมาโดยเฉพาะหลิงเฟิง มันมีลมหายใจอันแข็งแกร่งกดดันอยู่รอบตัวเขา
เมื่อรับรู้ถึงสิ่งนี้ เขาก็คิดว่าการผจญภัยในราชวังโลหิตคงไม่สงบแน่นอน
เขาได้เตรียมใช้ก้าวอัสนีก่อนจะกลายเป็นเงาสายฟ้าเพื่อตามคนสํานักตนเข้าไป
ยิ้ม!
ประกายแสงสีดําได้ตัดผ่านทางไว้
ตรงหน้าของหลินเซวียนถูกขัดขวางไว้จนต้องถอย
เวลานี้ศิษย์สํานักชวนเทียนทั้งหมดได้เข้าไปแล้ว และไม่มีใครสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติข้างหลัง
หลิงเฟิงมองหลินเซวียนพร้อมเอ่ยคําเย้ยหยัน “อยากจะเข้าไปงั้นเรอะ น่าขันนัก!”
คนของตระกูลหลิงต่างพากันหัวเราะขณะมองหลินเซวียนด้วยความดูถูก
ใบหน้าหลินเซวียนมืดดําเขาไม่คาดคิดว่าตระกูลหลิงจะกล้าขวางทางแบบนี้
เขาสุดหายใจลึกขณะมองหลิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา สายตาของเขาคมประดุจดาบเหล็กกล้าที่พร้อมจะออกจากฝัก
เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน คนตระกูลหลิงก็แสดงอาการตกตะลึงและมองอย่างไม่เป็นธรรมชาติทันทีหลิงเฟิงมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว
“อย่าคิดจะเข้าไปในราชวังโลหิต เมื่อพวกเราออกมา เจ้าตายแน่!” หลังจากสะบัดมือ หลิงเฟิงได้นํากลุ่มของตนเข้าไปก่อนจะปิดพลังเพื่อให้ผนึกกลับมาปิดทางเข้าต่อ
ฟัง!
ทุกคนได้เข้าไปกันหมด มีเพียงหลินเซวียนที่อยู่ด้านนอก
หลินเซวียนยังไม่ขยับตัว ต่อหน้าคนมากมายของตระกูลหลิง เขาเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักแต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขานั่งรอความตาย!
“เมื่อเราเข้าไปได้ เราจะฟันพวกมันทุกคนด้วยตัวเอง!” ดวงตาหลินเซวียนมองไปตามทางที่พวกเขาไปอย่างเย็นเยือก
เพียงไม่นาน ศิษย์อีกไม่กี่คนก็ตามมาจากปาโลหิต เมื่อพวกเขาทราบว่าศิษย์อันดับต้น ๆเข้าไปจึงมองไปยังบนฟ้าก่อนจะร้องออกมา
“บัดซบ ข้าเกือบจะมาทันแล้ว!” บางคนถึงกับโกรธแค้น
บางคนไม่เชื่อว่าจะทําอะไรไม่ได้ พวกเขารีบโจมตีผนึกรอบด้าน แต่พลังของพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับศิษย์อันดับต้น ๆ ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดผนึกได้
“มันไม่มีทางอื่นที่จะเข้าไปแล้วหรือ?” ศิษย์บางคนรู้สึกไม่พอใจ
“ก็มีอยู่! อีกประมาณสิบวันผนึกจะอ่อนแอลง เวลานั้นพวกเราถึงจะเข้าไปได้”
“สิบวัน! พวกเขาได้เข้าไปก่อนหน้านี้แล้ว แล้วมันจะเหลืออะไรให้อีกหลังจากสิบวัน?”
“แต่พื้นที่ทดสอบโลหิตนี้ก็อยู่มาหลายร้อยปี อีกทั้งยังเหลือสมบัติอีกมากมาย แค่สิบวันคงจะยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ละมั้ง?”
หลินเซวียนยืนในกลุ่มคนและฟังอย่างเงียบ ๆ
“อันที่จริงนอกเหนือจากนี้มันยังมีหนทางอื่นอีก” บางคนเอ่ยขึ้น “มันมีทางเข้าอยู่ที่ทิศตะวันตก”
” ทิศตะวันตก!” ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมากก่อนจะส่ายหัว “ข้ารอสิบวันดีกว่ายังไงมันก็ไม่สายเกินไป”
พวกเขาตัดสินใจนั่งรอต่อไป และบางคนก็นั่งลงบ่มเพาะพลังราวกับไม่อยากไปไหนอีก
” ทางเข้าทิศตะวักตก มันทําไมกัน?” หลินเซวียนสงสัยและถามออกไป
บางคนมองไปที่หลินเซวียนก่อนจะอธิบาย “ราชวังโลหิตนั้นแบ่งทางเข้าออกเป็นสี่ทิศนั่นคือทิศตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ สามทางเข้านอกจากทิศตะวันตกจะถูกผนึกไว้ด้วยอาคมที่แข็งกล้า มันจะเข้าไปได้เฉพาะบางเวลาเท่านั้น”
“ทางเข้าทิศตะวันตกนั้นต่างออกไป มันไม่มีผนึกอาคมอะไร เจ้าสามารถเข้าไปได้อย่างอิสระแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป”
“ทําไมกัน?” หลินเซวียนรู้สึกสงสัย
“เพราะไม่มีใครกลับออกมาจากทิศนั้นนะสิ มันจึงไม่มีใครเลือกเส้นทางนั้นมา หลายร้อยปีแล้ว”
เป็นเช่นนี้เอง หลินเซวียนลูบคางพร้อมเผยแววตาสงสัย