บทที่ 1298 ฉินหลิง
บทที่ 1298 ฉินหลิง
ว่านเจี้ยนเซิง!
เยี่ยถัง!
ทั้งสองต่างได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน และเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากัน ย่อมส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายที่น่าเกรงขามทันที แม้ว่ามันจะไร้สุ้มเสียง แต่ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในบริเวณใกล้เคียงสั่นไหวอย่างไร้เหตุผล
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ ทว่าท่าทางของเฉินซีกลับสงบไม่แปรเปลี่ยน การประชันของกลิ่นอายระหว่างยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ เปรียบเสมือนสายลมเย็นยะเยือกที่พัดโหมเข้าหาเฉินซีผู้ซึ่งบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง มันจึงไม่สามารถส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเขาได้เลย
“รางวัลน่ะหรือ? ฮ่า ๆ! ไว้พวกเจ้ารอดูเถอะ มันจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังอย่างแน่นอน” ในขณะนี้หวังต้าวหลูหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยท่วงทำนองเต๋าที่ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ยิ่งกว่านั้น มันยังสลายกลิ่นอายของการเผชิญหน้าระหว่างเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิงออกไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ ว่านเจี้ยนเซิงก็หรี่ตาลง และละสายตาออก เขาเป็นเหมือนกระบี่ไร้เทียมทานที่อยู่ในฝัก กลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็น ดุร้าย และคุกคามที่เขาแผ่ออกมานั้น ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ บรรยากาศกลับ มาสงบนิ่งเหมือนทะเลสาบที่ไร้เกลียวคลื่น
ควบคุมกลิ่นอายได้ตามใจต้องการ!
เฉินซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ว่านเจี้ยนเซิงนั่นสมกับที่เป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้า ความสามารถในการควบคุมกลิ่นอายสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยถังก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ และยกน้ำเต้าสุราขึ้นมา ก่อนที่จะดื่มมันเข้าไปเต็มปาก ทำให้ผมสีดำขลับปลิวไสว และเผยท่าทางที่ห้าวหาญและดุร้าย
“คำพูดของพี่ต้าวหลู ทำให้เราตั้งตารอจริง ๆ” พิสดารเฟิงจ้องกวาดตามองผ่านเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางคลี่รอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง
“ข้าก็ตั้งตารอเช่นกัน” หวังต้าวหลูยิ้มตอบ
ในขณะเดียวกัน อาจารย์ของสำนักอื่น ๆ และศิษย์ของพวกเขาก็มาถึงเช่นกัน
หวังต้าวหลูยิ้ม เขาพูดคุยกับอาจารย์ของทั้งหกสำนักอีกเล็กน้อย ในขณะที่เหล่าศิษย์ของสำนักต่างจับกลุ่มดูเชิงฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์ และเจตนาที่จะชิงความเป็นใหญ่
“เฉินซี ดูสิ เช่นเดียวกับการถกวิถีเต๋าในอดีต ศิษย์ของทั้งหกสำนักนี้ถือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเราเป็นศัตรูของพวกเขา และพวกมันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ายั่วยุเราด้วยสายตาของพวกมัน” จี้เซวียนปิงยิ้มเย็น พลางกล่าวกับเฉินซีผ่านกระแสปราณ
เฉินซีพยักหน้า ชายหนุ่มสังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน แต่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะยั่วยุใครในตอนนี้
ทันใดนั้น เสียงที่มืดมนและแหลมคมก็ดังก้องขึ้นมา “ฮึ่ม! การถกวิถีเต๋าครั้งนี้ ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาในอดีต สหายเต๋าแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเจ้าทุกคนระวังตัวไว้เถิด!”
ทุกคนตกตะลึง และมองไปยังที่มาของเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน ปรากฏว่าเป็นชายในชุดคลุมสีเขียวเอามือไพล่หลังอย่างภาคภูมิ และยื่นอยู่ท่ามกลางศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์
ใบหน้าของเขาเรียวและผอมแห้ง ริมฝีปากแคบซีด ดวงตาเรียวยาว และเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบอันน่าสะพรึงกลัว ยิ่งกว่านั้น ทั้งร่างกายอาบย้อมไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเยือกเย็นและไร้ซึ่งความรู้สึก ซึ่งทำให้หัวใจของผู้พบเห็นสั่นสะท้าน
เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่พุ่งมาที่ตน ชายในชุดคลุมสีเขียวก็แสยะรอยยิ้มน่าสยดสยอง พร้อมกับฟันแหลมคมและขาวราวกับหิมะเต็มปาก พลางกล่าวด้วยเสียงแหลมหู “คราวนี้ ข้าเซียวเชียนซุ่ยจะพลิกสถานการณ์ และข้าจะเอาชนะพวกเจ้าทีละคน เพื่อคว้าชัย!”
คนผู้นั้นกล่าวเน้นทีละคำ ในขณะที่แผ่กลิ่นอายที่สงบ แต่กลับน่ากลัวและมืดมน คล้ายอสรพิษที่กำลังจดจ้องเหยื่อจากเงามืด ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่เรียกตัวเองว่าเซียวเชียนซุ่ยไม่ได้ผ่อนเสียงของตน ดังนั้นไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสและศิษย์ทุกคนในสนามประลองเท่านั้นที่ได้ยิน แม้แต่ผู้ชมที่อยู่ใต้สนามประลองก็ได้ยินเช่นกัน ทำให้เกิดความโกลาหลในฝูงชนขึ้นมาทันที
“คนผู้นี้เป็นใครกัน? ช่างเป็นความมั่นใจที่สูงส่งเสียจริง!”
“เซียวเชียนซุ่ย? ฮึ่ม! เขาก็แค่คนไร้ชื่อเสียง คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
“เขาคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง? ถึงได้กล้ายั่วยุพวกเราเช่นนี้ในดินแดนของเรา คนผู้นี้สมควรถูกทุบตีสั่งสอนจริง ๆ”
“มีใครเคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้หรือไม่?”
เสียงของการสนทนาแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ ศิษย์ทุกคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าล้วนขุ่นเคืองจากการยั่วยุนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จำคนผู้นี้ได้
เยี่ยถังและคนอื่น ๆ ในสนามประลองต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า แต่ไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับกันพวกเขาแค่รู้สึกว่ามันน่าขบขันเล็กน้อย “ไอ้สารเลวนี้ช่างโอ้อวดได้อย่างไร้ยางอายจริง ๆ!”
“พี่จี้ เจ้ารู้จักเขาหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว รู้สึกบางอย่างไม่ถูกต้อง เซียวเชียนซุ่ยดูเหมือนจะไม่แยแสและสงบเกินไป ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ใช่การแสดงพลังอย่างเปล่าประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเซียวเชียนซุ่ยกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของเหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ยังคงไม่เปลี่ยนแแปลง ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำกลุ่มจากสำนักศึกษาระทมสันต์ก็ยังคงยิ้มแย้ม แต่ไม่ได้ตำหนิหรือกล่าวอะไร
รายละเอียดเหล่านี้ ทำให้เฉินซีสังเกตเห็นร่องรอยของความผิดปกติ และขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“ข้าไม่รู้จักเขา แต่ข้าจำได้ว่า เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาระทมสันต์” จี้เซวียนปิงส่ายศีรษะ แต่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้คิ้วเลิกขึ้นอย่างฉับพลัน “หลังจากได้ยินคำถามของเจ้า ตัวข้าก็รู้สึกว่ามันแปลกเช่นกัน นี่คือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษา ซึ่งได้รับความสนใจจากภพเซียนทั้งหมด และไม่มีทางที่สำนักศึกษาระทมสันต์จะส่งตัวโง่งมเข้าร่วมอย่างแน่นอน…” เมื่อไตร่ตรองดูอีกครั้ง จี้เซวียนปิงก็พบว่าการปรากฏตัวของชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่ชื่อเซียวเชียนซุ่ยนั้นค่อนข้างจะผิดปกติเกินไป
เฉินซีชำเลืองมองไปยังเยี่ยถัง เจิ่นลู่ และจ้าวเมิ่งหลี ทั้งสามก็ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเช่นกัน บนใบหน้าของพวกเขาฉายแววสับสน
“ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้ที่เซียวเชียนซุ่ยผู้นี้จะเป็นไพ่ตายที่สำนักศึกษาระทมสันต์เตรียมไว้? ทั้งที่การถกวิถีเต๋ายังไม่ได้เริ่มขึ้น แต่คนผู้นี้ก็ยั่วยุสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าโดยไม่เกรงกลัว เขาไม่ไร้ความอดทนไปหน่อยหรือ?” เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ แต่เขารีบส่ายศีรษะและไม่สนใจเซียวเชียนซุ่ยอีกต่อไป
ในเวลาเดียวกัน หวังต้าวหลูมองไปที่ชายในชุดคลุมสีเขียว และนึกถึงสิ่งที่จั่วชิวไท่อู่บอกในวันนั้น ทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“พวกเจ้าทุกคนต้องระวังเซียวเชียนซุ่ยผู้นี้ให้ดี จากข้อมูลที่เราได้รับมา ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะไม่ด้อยไปกว่าว่านเจี้ยนเซิงเลย” เสียงของหวังต้าวหลูก็ดังก้องในหูของเฉินซี เยี่ยถัง และคนอื่น ๆ พร้อมกัน “นิกายอำนาจเทวะอาจอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องระวังตัวไว้”
เฉินซีและคนอื่น ๆ รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นี่เป็นข้อมูลที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เพราะศิษย์ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามจากสำนักศึกษาระทมสันต์ กลับมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าว่านเจี้ยนเซิง
ทว่าหากเป็นเพียงแค่นั้น ก็คงไม่อาจทำให้เฉินซีตกใจถึงขนาดนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีตกใจอย่างแท้จริงคือ นิกายอำนาจเทวะ!
การเสียชีวิตของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และการตายของมารบงกช ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะทั้งสิ้น ดังนั้นเฉินซีจึงจงเกลียดจงชังนิกายนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่เฉินซีไม่เคยคาดคิดว่ากองกำลังของนิกายอำนาจเทวะจะปรากฏตัวในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษา!
“ดูเหมือนว่าเซียวเชียนซุ่ยคนนี้อาจเป็นเบี้ยที่นิกายอำนาจเทวะวางไว้ในสำนักศึกษาระทมสันต์? ไม่แปลกใจที่เขากล้าโอ้อวดเช่นนั้น… ครั้งนี้เมื่อเทียบกับว่านเจี้ยนเซิง ข้ากลับอยากประลองกับคนผู้นี้จริง ๆ!” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย ส่วนลึกในดวงตาทอประกายเย็นเยียบ
“เอาละ มาเริ่มจับสลากกันเถอะ” หวังต้าวหลูกล่าวขัดความคิดของพวกเฉินซีด้วยเสียงที่ดังและชัดเจน ทำให้ทุกคนกลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง
การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษา กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า!
หวังต้าวหลูก็สะบัดแขนเสื้อของตน ฉับพลันกงล้อทองแดงก็ปรากฏขึ้น ภายในกงล้อมีแท่งหยกทั้งหมดสามสิบห้าแท่ง ประกอบด้วยแท่งหยกเปล่า ๆ หนึ่งแท่ง และแท่งหยกที่มีตัวเลขสลักไว้อีกสามสิบสี่แท่ง เรียงตั้งแต่เลขหนึ่งจนถึงสามสิบสี่
เมื่อพวกเขาจับสลาก ตัวเลขสองตัวที่ตรงกันซึ่งอยู่ปลายทางของทั้งสองด้าน จะเป็นตัวกำหนดคู่ต่อสู้
ตัวอย่างเช่น ฝั่งตรงข้ามของศิษย์ที่จับสลากหมายเลขหนึ่ง จะเป็นศิษย์ที่จับสลากหมายเลข 34 ส่วนหมายเลขสองจะตรงกับหมายเลข 33 เป็นต้น
ในเวลาเดียวกัน ตัวเลขบนแท่งหยกจะแสดงถึงลำดับที่จะทำการประลอง มันเริ่มจากหนึ่งถึงสิบเจ็ด เท่ากับจะมีการประลองทั้งหมดสิบเจ็ดคู่
ในทางกลับกัน ศิษย์ที่จับได้สลากเปล่าเพียงหนึ่งเดียว จะสามารถเข้าไปรอการประลองรอบที่สองได้ทันที
กงล้อทองแดงนั้นค่อนข้างมีมนต์ขลัง เพราะในระหว่างการจับสลาก ศิษย์ของสำนักต่าง ๆ จะไม่เจอคู่ต่อสู้ที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักของตนเองโดยเด็ดขาด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จะต้องต่อสู้กับศิษย์ต่างสำนักเท่านั้น
โอม~
หวังต้าวหลูโยนกงล้อทองแดงออกไป จากนั้นมันก็หมุนวนลอยขึ้นไปกลางอากาศ กงล้อส่งเสียงดังกึกก้องอยู่กลางเวหา ขณะที่สลากทั้งสามสิบห้าแท่งก็หมุนวนไปพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังถูกปกคลุมด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง ซึ่งสามารถยับยั้งพลังตรวจจับได้อย่างสมบูรณ์
“ข้าเป็นคนแรกเอง!” เซียวเชียนซุ่ยก้าวยาว ๆ ออกไปข้างหน้า จากนั้นคว้าสลากมาไว้ในมือ หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้ว “ไยกลายเป็นสลากเปล่า…”
สิ้นคำ ทุกคนอยู่ที่นี่ก็ประหลาดใจ “โชคของคนผู้นี้ไม่ดีเกินไปหน่อยหรือ?”
สิ่งที่ทำให้ทุกคนถึงกับกล่าวไม่ออก เพราะเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้จับได้สลากเปล่า ทั้งที่ไม่อยากได้ ช่างสมควรถูกทุบตีจริง ๆ!
เซียวเชียนซุ่ยแสยะยิ้มน่าสยดสยองแก่เฉินซีและคนอื่น ๆ แล้วหันหลังจากไป
“ฮึ่ม! อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าก็แล้วกัน!” จี้เซวียนปิงขมวดคิ้วและเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
เยี่ยถังหัวเราะดังลั่นและตบไหล่จี้เซวียนปิง “ใจเย็น ๆ”
หลังจากที่เซียวเชียนซุ่ยจับสลากเสร็จ ศิษย์คนอื่น ๆ ก็เริ่มจับสลากทีละคน ไม่มีใครต่อสู้เพื่อเป็นที่หนึ่ง เพราะผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม การแย่งชิงจึงเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง
การจับสลากเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาจับสลากได้หมายเลขหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การประลองคู่แรก คือตนกับศิษย์ที่จับสลากได้หมายเลข 34
ซึ่งศิษย์คนนั้นมีนามว่า ‘ฉินหลิง’ จากสำนักศึกษานภาไพศาล!
เมื่อเขาหวนนึกถึงสำนักศึกษานภาไพศาล เฉินซีก็ลอบแสยะยิ้ม เมื่อรู้ว่าตนจะได้สู้กับศัตรูเก่า ที่เคยสังหารศิษย์สารเลวของสำนักศึกษานภาไพศาลไปหลายคนระหว่างการสอบฝ่ายในในสมรภูมินอกพิภพ
ในขณะเดียวกัน เยี่ยถัง เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และจี้เซวียนปิงค่อนข้างโชคดี แม้ว่าลำดับการจับสลากจะแตกต่างกัน แต่ว่านเจี้ยนเซิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
อย่างน้อยที่สุด การต่อสู้ระหว่างเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิง ต้องรอจนถึงรอบที่สอง
แก๊ง!
เสียงระฆังดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า เป็นการประกาศว่าม่านของการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษาจะถูกเปิดออกในขณะนี้!
คนอื่น ๆ หลบไปยืนข้างสนามประลอง เหลือเพียงเฉินซีและฉินหลิงยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ในทันที