บทที่ 1299 พลังแห่งห้วงมิติ
บทที่ 1299 พลังแห่งห้วงมิติ
ณ สนามประลองขนาดมหึมาที่อยู่ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
เฉินซีและฉินหลิง ยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล
ในขณะนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบตกอยู่ในความเงียบสนิท สายตานับไม่ถ้วนจดจ้องไปยังสนามประลองเป็นตาเดียว เพราะหากพลาดรายละเอียดในวันนี้ไปเพียงเล็กน้อยจะต้องเสียใจมากเป็นแน่
เพราะนี่เป็นการประลองรอบแรกของการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก และที่สำคัญที่สุด คือหนึ่งในผู้ประลองเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก เฉินซี!
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ามองข้ามศิษย์ที่โดดเด่นของภพเซียนที่มีชื่อเสียงพุ่งทะยานราวกับดาวหาง
เมื่อประกอบกับเหล่าอาจารย์และศิษย์ของทั้งหกสำนัก ที่เฉินซีได้เอาชนะในช่วงต้นของการทดสอบสำนักฝ่ายใน และยังสังหารศิษย์จากสำนักอื่นไปนับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้น ยังยึดสมบัติประจำสำนักไปอีก ดังนั้นพวกเขาจะลืมชายหนุ่มผู้โหดเหี้ยมคนนี้ได้อย่างไร?
…
บนสนามประลอง เฉินซีกำลังหยั่งพลังคู่ต่อสู้ด้วยสายตา
อีกฝ่ายคือชายหนุุ่มที่มีท่าทางดุร้าย รูปร่างกำยำ ผมยาวถูกมัดเป็นหางม้าปลิวไสวไปทางด้านหลัง มือควงขวานด้ามเล็กอย่างสบายใจ แต่ในขณะเดียวกันร่างกายก็แผ่กลิ่นอายที่เด็ดเดี่ยว ทรงพลัง และมั่นคงออกมา
กลิ่นอายนั้นหนักหน่วงดั่งขุนเขาเทียมฟ้า ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงจิตวิญญาณที่ไม่อาจสั่นคลอน
ชายหนุ่มผู้นี้คือฉินหลิง
ตามความเห็นของเฉินซีก่อนหน้านี้ ในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักศิษย์นภาไพศาล คนผู้นี้จะต้องอยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน แม้ว่าฉินหลิงจะไม่โดดเด่นเท่ากับสุริยันอันเจิดจ้าทั้งหกของภพเซียน แต่ก็ไม่สามารถประเมินต่ำไปได้เลย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีผลอะไรกับเฉินซี และมันไม่สามารถทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในใจแม้แต่น้อย
เพราะการบ่มเพาะในโลกแห่งดารานานกว่าสองปี ทำให้ไม่เพียงบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังได้รับพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก พลังจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับได้เกิดใหม่ ดังนั้นตัวเขาในตอนนี้จึงแตกต่างกับในอดีตโดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้นไม่นาน รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉินหลิง และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “เจ้าคงจะยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นในสมรภูมินอกพิภพได้ใช่หรือไม่?”
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวอย่างสบาย ๆ “แน่นอน ข้าได้ฆ่าไอ้สารเลวสองสามตัวที่สมควรตาย และยึดสมบัติบางอย่างที่ข้าควรยึดแล้วอย่างไร เจ้ามีข้อโต้แย้งหรือไม่?”
สีหน้าของฉินหลิงดิ่งลง “ทั้งฆ่าคน! ทั้งปล้นชิง! กระทำการโหดเหี้ยมและนองเลือดเช่นนี้! แต่เจ้ายังไม่รู้สึกรู้สาอีกหรือ? เจ้ามันไร้ยางอายนัก!”
เฉินซียิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า “สหาย นี่คือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก หากเจ้าต้องการทวงถามเรื่องในอดีต ก็มาหาข้าเป็นการส่วนตัวได้ทุกเมื่อ แต่การที่มากล่าวเรื่องนี้ในงานใหญ่เช่นนี้ พาลแต่ทำลายบรรยากาศเสียเปล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซี เหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่กำลังชมอยู่รอบ ๆ ต่างหัวเราะลั่น และบางคนถึงกับตะโกนว่า “เจ้าจะต่อสู้หรือไม่? หากไม่ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ! อย่าทำให้ศิษย์พี่เฉินซีต้องเสียเวลา!”
“ใช่แล้ว! เวลาของทุกคนมีค่า เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า!”
ศิษย์หลายคนต่างตะโกนออกมาติด ๆ กัน
ทำให้คิ้วของฉินหลิงขมวดแน่น สีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา ในขณะที่กลิ่นอายน่าเกรงขามก็แผดเสียงดังก้อง แผ่คลื่นพลังแห่งการเข่นฆ่าและความโหดเหี้ยมออกมาอย่างหนักหน่วง
“เฉินซี เจ้าไม่คิดว่าการที่เจ้าได้ประลองเป็นคู่แรกนั้นเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้ข้าหรอกหรือ!? ครั้งนี้ข้าจะไม่เพียงแค่เอาชนะเจ้า แต่ข้าจะล้างแค้นให้พี่น้องของข้าด้วย!” จู่ ๆ ฉินหลิงก็ตะโกนลั่น ก่อนกระทืบลงบนพื้นอย่างแรง แสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกจากร่าง คล้ายทวยเทพผู้โกรธเกรี้ยว และพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างดุร้าย
โครม!
ทันทีที่ลงมือ ขวานด้ามเล็กที่ฉินหลิงควงเล่นก็ขยายขนาดขึ้นฉับพลัน กลายเป็นขวานที่ยาวสิบสองฉื่อในพริบตา โดยที่ส่วนของหัวขวานนั้นมีรูปทรงจันทร์เสี้ยว ทั้งยังเปล่งแสงเรืองรอง ทุกที่ที่มันวาดผ่าน ความว่างเปล่าจะถูกบดขยี้เป็นเสี่ยง ๆ!
เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าผู้คนที่เยาะเย้ยฉินหลิงเมื่อครู่ พลันสั่นสะท้าน รอยยิ้มฝืดเฝื่อน ปรากฏบนใบหน้าจริงจัง
เป็นเพราะผู้คนสามารถแยกแยะพลังฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ได้ทันทีที่ลงมือ
กลิ่นอายน่าเกรงขามที่ฉินหลิงเผยออกมาในขณะนี้ ถือได้ว่าทรงพลัง น่าเกรงขามและครอบงำอย่างไร้ขอบเขต มันเผยให้เห็นกลิ่นอายที่ดุร้ายน่ากลัว และแม้แต่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มันก็เพียงพอที่จะเป็นหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง!
“ฉินหลิงผู้นี้ไม่เลวเลย แม้ว่าเฉินซีจะเก่งกาจ แต่เขาก็เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ถึงอย่างไร ความสามารถของเขาก็ยังไม่อาจต่อกรกับฉินหลิงได้”
บนเมฆมงคลทางทิศตะวันตกของสนามประลอง พิสดารเฟิงลูบเคราของตนพลางแย้มยิ้ม และพยักหน้ากับตัวเองในใจ
เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของเฉินซีเช่นกัน แต่หากไม่คำนึงถึงชื่อเสียงอันยอดเยี่ยมของคนผู้นี้ เฉินซีก็เป็นเพียงศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่ปี ในขณะที่ฉินหลิงได้บ่มเพาะในสำนักศึกษานภาไพศาลมากว่าหนึ่งพันปี!
แล้วศิษย์ใหม่จะเทียบเคียงศิษย์ที่บ่มเพาะมากว่าพันปีได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่เขาไม่เคยได้ยินคำพูดของหวังต้าวหลูมาก่อน ระยะเวลาที่บ่มเพาะ ไม่สามารถกำหนดพลังฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ได้
…
“เจ้าอยากล้างแค้น? ไม่คิดว่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยหรือ?”
เฉินซียังคงไม่แยแส ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสงบ ร่างวูบไหวเมื่อการโจมตีของฉินหลิงกำลังจะมาถึง
ชู่ว!
เฉินซีหายไปในอากาศ ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของฉินหลิง ชายหนุ่มสร้างกระบี่ด้วยนิ้วแล้วฟันปราณกระบี่ออกไปโดยไร้ลังเล
ฉินหลิงแค่นเสียงเย็น เขาควงขวานขนาดมหึมา ตวัดฟันออกไปแนวนอน มันฉีกห้วงมิติจนเกิดเป็นรอยแยกน่ากลัว แสงศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงดังก้อง และพวยพุ่งออกมาจากมัน
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้อง คมขวานและปราณกระบี่ปะทะกัน พวกมันต่างระเบิดแสงเรืองรองออกมากมาย และกวาดไปทั่วทั้งสนามประลอง
“หรือเจ้าคิดจะสู้กับข้าด้วยมือเปล่า? อวดดีเกินไปแล้ว!” ฉินหลิงไม่รอให้การโจมตีเสร็จสิ้น เงื้อขวานสับเข้าใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง การโจมตีนี้มีอานุภาพทำลายมหาศาล มันแผ่กลิ่นอายของการทำลายล้างที่น่าเกรงขามออกมาอย่างราง ๆ
ตู้ม!
เฉินซีตวัดฝ่ามือฟาดกลับสบาย ๆ และสลายการโจมตีของฉินหลิงได้อย่างง่ายดาย ร่างพลันหายวับไปในอากาศอีกครั้ง ทำให้การโจมตีระลอกต่อไปพลาดเป้า
สำหรับเฉินซี ผู้ซึ่งครอบครองตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติ การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติก็เหมือนกับมัจฉาแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ยิ่งกว่านั้น เขาสามารถใช้พลังงานแห่งมิติได้ตลอดเวลา และหากเป็นในโลกภายนอก ฉินหลิงจะไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ปลายเส้นผม
แม้สนามประลองจะใหญ่โตมโหฬาร แต่ก็ยังจำกัดเฉพาะผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน
ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!
ในสายตาของผู้ชมทุกคน เฉินซีเป็นเหมือนกลุ่มควันที่ไร้ตัวตน ชายหนุ่มกระโจนไปมาในสนามประลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเคลื่อนไหวรวดเร็ว จนคนอื่นไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้การโจมตีของฉินหลิงจะเหวี่ยงออกไปเป็นวงกว้าง แต่เฉินซีก็สามารถหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง ราวกับกำลังร่ายรำอยู่บนปลายดาบ ทำให้หลายคนต้องเหงื่อแตกพลั่กเมื่อได้เห็น
“กลยุทธ์ในการต่อสู้ของเฉินซีค่อนข้างเสี่ยง” บนเมฆมงคลทางทิศตะวันออกของสนามประลอง ดวงตาของจี้เซวียนปิงจ้องมองไปยังสนามประลองอย่างแน่วแน่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินซีถึงไม่เริ่มโจมตี แต่ใช้กลยุทธ์หลบหลีกเช่นนี้
“เขากำลังหยั่งพลังฝีมือของฉินหลิง ในขณะเดียวกัน ก็มองหาโอกาสเอาชนะฉินหลิงด้วยกระบวนท่าเดียว” เยี่ยถังยิ้มบาง ๆ แล้วยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่มสองสามคำ “แน่นอนว่าเป็นการสงวนกำลังเช่นกัน เพราะมันเป็นเพียงรอบแรกของการถกวิถีเต๋า บางทีในความคิดของศิษย์น้องเฉินซี รอบสุดท้ายคือเวลาที่จะเปิดเผยพลังฝีมือที่แท้จริง”
เพียงคำพูดไม่กี่คำ เยี่ยถังก็วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ทำให้จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่รู้สึกชื่นชมอย่างมาก ความกังวลที่มีต่อเฉินซีก็คลายลงไปเยอะ
“พวกเจ้าไม่สังเกตบ้างหรือ? เฉินซีบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงแล้ว” ทันใดนั้น หวังต้าวหลูก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเผยสีหน้าตกใจ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเจ้าสำนักจึงเจาะจงให้เฉินซีเข้าร่วมในการถกวิถีเต๋า บางทีเจ้าสำนักอาจคาดเดาถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก?
“อะไรนะ!?”
นอกจากเยี่ยถังที่ยังคงยิ้มเงียบ ๆ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่ล้วนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“คนผู้นี้เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางได้ไม่ถึงปี แต่เขา…กลับบรรลุอีกครั้ง?”
พวกเขาอดอิจฉาเฉินซีไม่ได้ เพราะความเร็วในการบรรลุเช่นนี้ ถือได้ว่าผิดปกติอย่างยิ่ง!
ทันใดนั้น เสียงของเฉินซีก็ดังก้องบนสนามประลอง และดึงความสนใจจากทุกคนทันที “ต่อให้ข้ามือเปล่าแล้วจะทำไม? การเอาชนะเจ้านั่นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!”
เสียงทุ้มดังก้อง ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นจากภายในห้วงมิติ มาถึงตรงหน้าฉินหลิงในพริบตา ชายหนุ่มฟาดฝ่ามือลงไปอย่างดุร้าย ฝ่ามือกระแทกเข้ากับขวานสีม่วงของอีกฝ่าย ก่อนจะพลิกกลับแล้วกางเป็นกรงเล็บคว้าไปที่คอของฉินหลิง!
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เร็วจนคนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นมองไม่ทัน และอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างไม่รู้ตัว
“ฮึ่ม!” ในขณะนี้ สีหน้าของฉินหลิงก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวเช่นกัน เพราะฉินหลิงเป็นถึงนักเลงเก่าที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ในช่วงคับขันเช่นนี้ สัญชาตญาณสั่งให้เขากระโจนไปด้านหลัง และเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีถึงตายนี้!
เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ บางคนรู้สึกเสียดายแทนเฉินซี ในขณะที่คนอื่น ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแทนฉินหลิง
ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดไป ทำให้สีหน้าของผู้คนแข็งทื่อทันที เพราะมือของเฉินซีที่ก่อตัวเป็นกรงเล็บได้ฉีกกระชากความว่างเปล่า แล้วลากร่างกำยำออกมา!
ทั้งที่ฉินหลิงเพิ่งเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติ!
ในขณะนี้ ฉินหลิงถูกบีบคอจนใบหน้าแดงก่ำจากการหายใจไม่ออก ทั้งยังไม่อาจรวบกำลังได้แม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการดิ้นรนให้เป็นอิสระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มัจจุราชกำลังบีบคอของเขาอยู่ หากออกแรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถพรากชีวิตของตนได้ ทำให้เขาไม่กล้าดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เพราะกลัวจะถูกปลิดชีวิต
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างตกตะลึงจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
แม้แต่ผู้อาวุโสที่เฝ้าดูการต่อสู้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รู้สึกทึ่งต่อพลังฝีมือที่ทรงพลังและน่ายำเกรงของเฉินซี
แต่เจ้าตัวกลับยังเฉยเมย ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้วิธีนี้เพื่อฆ่าคนไปมาก เพราะบางคนพยายามเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติเพื่อหลบหนีจากตนอยู่เสมอ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ
ในอดีต เป็นเพราะเขามีเนตรเทวะแห่งความจริงที่สามารถมองทะลุความเป็นจริงได้ ทว่าตอนนี้ หลังจากที่ได้ครอบครองตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติ มันทำให้เขาเข้าใจพลังแห่งมิติได้เหนือล้ำเกินกว่าศิษย์รุ่นเดียวกัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แล้วฉินหลิงจะหลีกเลี่ยงการโจมตีของเฉินซีได้อย่างไร
โครม!
เฉินซีโยนฉินหลิงไปที่สนามประลองไม่ต่างจากโยนขยะชิ้นหนึ่ง ก่อนจะปัดมือไปมา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขออภัยด้วย ข้าคงไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้ล้างแค้นแก่ศิษย์น้อง หากเจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้ ก็มาหาข้าเป็นการส่วนตัวได้ทุกเมื่อ”