สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 102 ใจอ่อน

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 102 ใจอ่อน

ซินโย่วไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายกับการที่จวนองค์หญิงใหญ่ส่งคนมาอีกครั้ง แม้นางไม่ได้คิดช่วยเพราะต้องการการตอบแทน แต่รู้ว่าบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายทำด้วยความจริงใจหรือเพื่อหน้าตา ไม่ใช่เพียงแค่ส่งพ่อบ้านนำของขวัญมาแล้วก็จะปล่อยผ่านไปได้ อย่างไรก็ต้องพบเจอขอบคุณอย่างเป็นทางการสักครั้ง

“สะดวกเจ้าค่ะ” ซินโย่วตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ

นายหญิงผู้เฒ่าแอบขยิบตาอยู่ก็พลันถอนหายใจ

ยังดีที่หลานสาวมิได้เอ่ยวาจาน่าตกใจออกมา

ตั้งแต่ซินโย่วยืนยันจะให้เฉียวซื่อต้องรับโทษ นายหญิงผู้เฒ่าก็รู้ว่าหลานสาวไม่ใช่คนที่ปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติ ดังนั้นพอมีภาพจำเช่นนี้แล้ว จึงรู้ว่าไม่ควรคุมอีกฝ่ายเข้มงวด จะได้ไม่ทำให้อีกฝ่ายพลันเอาเรื่องขึ้นมา

“ชิงชิง ไปถึงจวนองค์หญิงใหญ่ก็ต้องเชื่อฟังหลิวกูกู[1]”

หลิวกูกูก็คือหัวหน้างนางกำนัลในจวนองค์หญิงใหญ่

ซินโย่วพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอันใด

หลิวกูกูอดมองซินโย่วไม่ได้ ในใจคิดว่าคุณหนูโค่วผู้นี้อายุไม่มาก แต่ดูแล้วสุขุมจริง

รถม้าจวนองค์หญิงใหญ่รออยู่ด้านนอก นายหญิงผู้เฒ่าออกมาส่งซินโย่วด้วยตนเอง มองตามนางขึ้นรถม้าแล้วก็กลับเข้าจวน

“อวี้จู ตามคุณหนูสามมาเรือนหรูอี้ถังคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

มาคุยไม่ใช้เป้าหมาย แต่ใช้การกระทำนี้แสดงความเมตตาต่อหลานสาวคนนี้คือเป้าหมาย

ในใจต้วนอวิ๋นหลิงรู้ว่าท่านย่าพลันมองนางเปลี่ยนไปเพราะนางสนิทกับพี่ชิง ในใจก็ยิ่งกระจ่างถึงคำว่าญาติคืออันใด ทำให้ยิ่งเลื่อมใสซาบซึ้งพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่ยืนหยัดด้วยตนเองได้เข้มแข็งอย่างมาก

“คุณหนูโค่วมาถึงแล้ว”

ซินโย่วลงจากรถม้า ตามหลิวกูกูเข้าไป

จวนองค์หญิงใหญ่พื้นที่กว้างมาก ซินโย่วเดินมาไม่นานก็เห็นหนุ่มน้อยหน้าตากระจ่างสวมชุดชิงซาน[2] เดินมา

“ขอถามหน่อยว่า ท่านคือคุณหนูโค่วหรือ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งมาหยุดตรงหน้าซินโย่วเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

หลิวกูกูแนะนำว่า “นี่คือคุณชายใหญ่เรา”

“คุณชายข่ง”

ชายหนุ่มยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ให้ข้ามารอต้อนรับคุณหนูโค่ว ท่านแม่กำลังอยู่กับน้องฝู ปลีกตัวมาไม่ได้ ขอคุณหนูโค่วอย่าได้ถือสา”

ได้พบกับสาวน้อยที่หน้าตาละม้ายคล้ายมารดา ข่งรุ่ยย่อมอดมองอีกหลายทีไม่ได้

เขากับน้องสาวหน้าตาไปทางบิดา ได้เห็นคุณหนูโค่วผู้นี้ก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง

ข่งรุ่ยยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นมักมีนิสัยนิ่งเฉยเย็นชา แต่เพราะความรู้สึกแปลกใจนี้ จะนิ่งเย็นชาต่อหน้าซินโย่วได้อย่างไร ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว

“ได้ยินว่าคุณหนูโค่วเปิดร้านหนังสือ ใช่ร้านหนังสือชิงซงละแวกสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนไหม”

“ใช่เจ้าค่ะ” ซินโย่วเอ่ยรวบรัด

“หลายปีก่อนข้าเองก็เรียนอยู่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน มักไปร้านหนังสือชิงซงซื้อหนังสือ ยังจำได้ว่าเจ้าของร้านหนุ่มตอนนั้นอายุมากกว่าข้าไม่เท่าไร…”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางกำลังรออยู่ เห็นบุตรชายท่าทางสนใจอยากสนทนากับคุณหนูโค่วมาก นางจึงอดมองหลิวกูกูไม่ได้ หลิวกูกูตอบกลับด้วยสายตา

“ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางลุกขึ้น มาประคองซินโย่วด้วยตนเอง “คุณหนูโค่ว เชิญนั่ง”

“ขอบพระทัยเพคะ”

“คุณหนูโค่วช่วยบุตรสาวข้าไว้ เดิมควรไปกล่าวขอบคุณด้วยตนเอง ไม่คาดคิดว่าบุตรสาวข้าจะตกใจมากเกินไปต้องคอยปลอบใจตลอดเวลา จึงปลีกตัวไปไม่ได้”

“องค์หญิงให้เกียรติหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น เชื่อว่าตอนนั้นหากเป็นคนอื่นก็จะต้องทำเช่นเดียวกับที่หม่อมฉันทำเพคะ”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางรู้ว่าคำพูดนี้คือคำพูดตามมารยาทแท้จริง

เพราะต่อจากนั้นนางได้ถามเหตุการณ์มาอย่างละเอียดแล้ว ตอนนั้นในละแวกนั้นไม่ได้มีเพียงคุณหนูโค่วผู้เดียว แต่คนที่เผชิญหน้ากับอันตรายแล้วกล้าพุ่งตัวเข้าไปช่วยไว้ และยังช่วยฝูเอ๋อร์ไว้ได้ทันท่วงที ก็มีเพียงคุณหนูโค่วผู้เดียว

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เกิดความสงสารเพราะชาติกำเนิดคุณหนูโค่ว ตอนนี้องค์หญิงใหญ่เจาหยางรู้สึกดีต่อสาวน้อยตรงหน้าอย่างมาก

“คุณหนูโค่ว ข้ามีคำขอร้องที่อาจมากเกินไปสักนิด”

“องค์หญิงทำหม่อมฉันอายุสั้นแล้ว ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีอันใดรับสั่งเพคะ”

องค์หญิงใหญ่เจาหยาง ถอนหายใจเบาๆ “ฝูเอ๋อร์เอาแต่ตกใจอยู่เช่นนี้ เกรงว่ามีข้าคอยปลอบใจก็อาจช่วยให้ผ่อนคลายลงไม่ได้ คุณหนูโค่วเป็นคนช่วยฝูเอ๋อร์ไว้ บางทีอาจทำให้ฝูเอ๋อร์สงบลงได้บ้าง ข้าอยากขอให้คุณหนูโค่วมาคุยเป็นเพื่อนนางสักหน่อย”

ซินโย่วย่อมไม่ปฏิเสธคำขอร้องนี้

เมื่อคืนวานนี้ข่งฝูนอนที่เรือนพักองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่เจาหยางพาซินโย่วไปยังที่พักนาง

ในห้องจุดกำยานกล่อมจิตกลิ่นบางเบา แม้เด็กหญิงหลับตาอยู่ แต่ขนตากะพริบท่าทางเหมือนจิตใจกำลังวุ่นวาย

ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหรือฝันเห็นอันใด องค์หญิงใหญ่เจาหยางกับซินโย่วเพิ่งจะเดินเข้ามา เด็กหญิงก็พลันผุดลุกขึ้นนั่ง ร้องเรียกหามารดา

เสียงเรียก ท่านแม่ ทำให้องค์หญิงใหญ่เจาหยางปวดใจอย่างมาก รีบก้าวไปหาข่งฝู อุ้มนางขึ้นมาปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝูเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นอันใดแล้ว”

ผ่านไปหนึ่งวัน สภาพข่งฝูดูแล้วผิดปกติยิ่งกว่าเดิม ขดตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดองค์หญิงใหญ่เจาหยาง

“ฝูเอ๋อร์ เจ้าดูว่าผู้ใดมา”

ข่งฝูค่อย ๆ มองมา แววตาเบิกโพลง “พี่สาวคนนั้น…”

นางเอ่ยเรียกแล้วก็อดดิ้นรนจะเข้าไปหาซินโย่วให้ได้

ซินโย่วมององค์หญิงใหญ่เจาหยางทีหนึ่ง ได้รับอนุญาตจากองค์หญิงใหญ่แล้วก็ก้าวเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้กลมข้างเตียง

“คุณหนูข่งดีขึ้นแล้วหรือยังเจ้าคะ” ข่งฝูดูแล้วอายุน้อยกว่าคุณหนูสี่ต้วนอวิ๋นเยี่ยนเล็กน้อย ซินโย่วไม่ค่อยรู้ว่าควรอยู่ร่วมกับเด็กน้อยอายุเท่านี้อย่างไร

เพิ่งกล่าวจบ ข่งฝูก็คว้าแขนเสื้อซินโย่วไว้แน่น

“สัตว์ประหลาดๆ…”

“คุณหนูข่งอย่ากลัว นั่นคือหมูป่า ถูกฆ่าตายไปแล้ว”

ข่งฝูน้ำตาไหล ส่ายหน้าไม่หยุด “พอข้าหลับตาก็เห็น…”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางตกใจ “ฝูเอ๋อร์ เจ้าหลับตาก็เห็นหมูป่าหรือ”

ข่งฝูร่ำไห้ไปพลางพยักหน้าไปพลาง

องค์หญิงใหญ่เจาหยางกอดบุตรสาวไว้อย่างสงสารจับใจ “เหตุใดเจ้าไม่บอกแม่”

ที่แท้ฝูเอ๋อร์ตกใจมากกว่าที่นางคาดไว้ มิน่านอนหลับไม่สนิททั้งคืน จึงต้องจุดกำยานกล่อมจิต

ซินโย่วขยับตัวเล็กน้อย ข่งฝูคว้าแขนเสื้อนางไว้เต็มแรง “พี่สาว อย่าไป!”

“ข้าไม่ไป” ซินโย่วลองยื่นมือไปตบแขนข่งฝู

บางทีอาจเป็นผลจากกำยานกล่อมจิต หรืออาจเพราะมีนางผู้เป็นคนช่วยนางไว้จากสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย ไม่นานข่งฝูก็ถึงกับหลับไปจริงๆ

องค์หญิงใหญ่เจาหยางห่มผ้าให้บุตรีอย่างระมัดระวัง ยิ้มให้ซินโย่วกล่าวขออภัยว่า “รบกวนคุณหนูโค่วแล้ว”

ทั้งสองคนค่อยๆ ก้าวออกไปด้านนอกเบากริบ เสียงสายลมพัดเสียดสีใบไม้แห้งมาโดนตัวทำให้รู้สึกจิตใจสงบลง

องค์หญิงใหญ่เจาหยางมองออกไปพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนข้าตั้งครรภ์สุขภาพไม่ค่อยดีนัก ทำให้ฝูเอ๋อร์คลอดก่อนกำหนด จึงทำให้ข้าเลี้ยงดูนางมาอย่างทะนุถนอมมาก ฝูเอ๋อร์ไม่เคยต้องพบเจอกับความยากลำบาก อาจเพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้นางไม่อาจก้าวออกจากความหวาดกลัวด้วยตนเองได้”

“สถานการณ์ตอนนั้นน่ากลัวมากจริงๆ เพคะ คุณหนูข่งอายุยังน้อย เกิดอาการเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ องค์หญิงทำใจให้สบาย อีกสักสองสามวัน ความหวาดกลัวนี้ก็จะค่อยๆ จางหายไปเองเพคะ”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางมองดูสาวน้อยเอ่ยปลอบใจน้ำเสียงอ่อนโยน ในใจก็รู้สึกแปลกใจ

บิดามารดาเช่นไรจึงอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวได้มีสง่าราศีสุขุมเช่นนี้มาได้

ความกังวลในแววตาองค์หญิงใหญ่เจาหยางราวกับสะกิดใจทำให้ซินโย่วใจอ่อน คล้ายว่าหลังจากสูญเสียมารดาไป นางมักจะใจอ่อนกับเรื่องทำนองนี้

“หม่อมฉันมีความคิดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะช่วยคุณหนูข่งขจัดความหวาดกลัวได้หรือไม่”

[1] กูกู เดิมหมายถึงพี่สาวน้องสาวของบิดา ยังใช้เป็นคำเรียกขานหัวหน้านางกำนัล

[2] ชุดยาวสีเข้มของผู้ชายที่ศึกษาเล่าเรียนมีความรู้ในสมัยโบราณของจีนมักสวมใส่

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท