ตอนที่ 117 ทำจนเป็นเรื่อง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นฮ่องเต้ที่ทรงขยันหมั่นเพียรในราชกิจ ไม่สิ ควรกล่าวว่าทรงขยันหมั่นเพียรมากจนเกินไป ทำให้บรรดาขุนนางมักรู้สึกว่าไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงยกเลิกวันหยุดทั้งหมดเมื่อใด อาจเป็นเพราะในวัยนี้ยังทรงงานหนัก สมองจึงยังนับว่าฉับไว แม้ว่าเสด็จวังหลังไม่มาก แต่นิสัยเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดานางสนมวังหลังก็ล้วนจดจำได้แม่นยำ
อย่างเช่นตอนพระสนมซูเฟยเตรียมจะฟ้อง ก็จะอ่อนโยนมากกว่าปกติ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เองก็มิได้เปิดโปง ประทับนั่งท่าทีสบายๆ ยกจอกน้ำชาที่นางกำนัลนำมาถวายขึ้น
น้ำชาในวังย่อมเป็นชาชั้นเลิศ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อยๆ เสวยแทนการรับคำพระสนมซูเฟย
พระสนมซูเฟยแอบขมวดคิ้ว นางมิได้เขลา ผู้ชายที่ไม่สนใจคำพูดของผู้หญิงย่อมมองออก สีพระพักตร์ฮ่องเต้มิได้ให้ความสนใจนางเท่ายามอยู่ต่อหน้าขุนนางใหญ่ ยังดีที่มีเรื่องพอปลอบใจนางได้บ้างก็คือต่อหน้านางในวังหลังคนอื่นก็ไม่ต่างกัน
เรื่องนี้ทำให้พระสนมซูเฟยยากจะไม่นึกถึงฮองเฮาซิน
ตอนนั้นพวกนางคล้ายดังหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในท่อมืดมิด หลบอยู่ในอี๋หยวนไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ได้แต่มองดูสตรีผู้นั้นทรงเกียรติเจิดจรัสอยู่เงียบๆ ถึงกับต้องให้ฮ่องเต้คอยเอาอกเอาใจ ถือสิทธิ์อันใด พี่ชายนางเป็นขุนนางคู่พระทัย มีความดีความชอบช่วยเหลือฮ่องเต้ให้ได้ครอบครองแผ่นดิน แล้วสตรีผู้นั้นเล่า ได้ยินว่าก่อนแต่งงานกับฮ่องเต้ ก็เป็นเพียงสตรีที่หนีภัยไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาก่อน
การได้หวนคิดหลายต่อหลายครั้งทำให้พระสนมซูเฟยฝึกจนไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมาได้ ไม่ว่าความรังเกียจคับแค้นต่อฮองเฮาซิน ความยินดีที่ไม่มีฮองเฮาซิน พระสนมซูเฟยล้วนเก็บซ่อนไว้ในซอกส่วนลึกของจิตใจมิดชิด
นางยกกาน้ำชารินน้ำชาเติมให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ในที่สุดก็เอ่ยเข้าประเด็นว่า “วันนั้นซุนกงกงนำนิยายกลับมา หม่อมฉันให้คนไปซื้อมาอีก ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องน่าตกใจ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เผยสีพระพักตร์สนใจรับฟัง
สืบเนื่องจากธรรมเนียมราชวงศ์ก่อน ผู้ร้ายต้องโทษประหารทุกคนต้องนำรายชื่อทูลเกล้า สุดท้ายฮ่องเต้เป็นคนตัดสินพระทัยลงอาญา แต่ก็มิใช่ว่าทุกคดีโทษประหารชีวิตจะต้องผ่านการตัดสินพระทัยจากฮ่องเต้ ความจริงสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงทำก็คือหยิบพู่กันวงหมึกแดงลงไปบนรายชื่อนักโทษประหาร คนที่ถูกวงก็จะเป็นผู้โชคร้ายต้องโทษประหารตามเวลาที่กำหนด คนที่ไม่ได้ถูกวงก็จะเป็นนักโทษที่รอไปอีกหนึ่งปีค่อยทูลเกล้าถวายอีกครั้ง ซึ่งก็ขึ้นกับโชคอยู่บ้างแล้ว
และฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นฮ่องเต้พระองค์แรกแห่งแผ่นดินนี้ ย่อมทรงปรีชาสามารถสติปัญญาเต็มเปี่ยม ไม่เพียงแต่ทอดพระเนตรรายชื่อคนร้าย ยังอ่านเนื้อหาคดีเป็น โดยเฉพาะคดีที่เกิดในเมืองหลวง พฤติกรรมชั่วที่ท่านผิงอันฆ่าขอทานคนหนึ่งตาย ย่อมต้องมีโทษประหารอย่างไม่ต้องสงสัย วันหน้ารอให้รายชื่อทูลเกล้าขึ้นมาก็เป็นไปได้ว่าที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จะได้ทอดพระเนตรเห็น
แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ทรงทราบว่าในวังและนอกวังแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินอยู่ใต้พระบัญชาฮ่องเต้โดยตรง มีหน้าที่ตรวจสอบบรรดาขุนนางชนชั้นสูง จะไม่นำเรื่องชาวบ้านมากราบทูลอย่างไร้สาเหตุ
“มีชายหนุ่มผู้หนึ่งถูกควักหัวใจออกมา ตายอนาถข้างถนน” พระสนมซูเฟยสีหน้าตกใจหวาดกลัว
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่แปรเปลี่ยน รับฟังพระสนมซูเฟยทูลต่อ
“ราษฎรเมืองหลวงต่างบอกว่า ‘วาดหนัง’ ที่ร้านหนังสือชิงซงขายเป็นหนังสือปีศาจ ผู้ชายถูกผีร้ายใน ‘วาดหนัง’ ออกมาทำร้ายจนตาย”
“วาจาไร้ซึ่งสาระ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ส่ายหน้า
ฮ่องเต้เป็นผู้ก่อตั้งแผ่นดินนี้มา ยังลือกันว่าตอนเขาเกิดมีปรากฏการณ์ประหลาด ความจริงเขาเป็นคนให้คนกระจายข่าวลือนี้ออกไปเอง เพื่อให้คนเชื่อในข่าวลือพวกนี้ เรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องโง่งมของคนบนโลกนี้เท่านั้น
แน่นอน เขายังคงตั้งใจฟังต่อ อย่างไรก็ว่างไม่มีอันใดทำอยู่พอดี
พระสนมซูเฟยถูกดำรัสฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ‘วาจาไร้ซึ่งสาระ’ ทำเอานิ่งอึ้งไปนาน จากนั้นค่อยๆ ตั้งสติเอ่ยต่ออีก “อย่างไรก็มีคนมากมายลือกันไปทั่ว หวาดกลัวกันว่าหนังสือปีศาจจะทำร้ายผู้คน จึงจุดไฟเผาหนังสือ ปรากฏทำให้เกิดเหตุไฟไหม้หลายครั้ง ถึงกับเกิดเหตุบาดเจ็บล้มตาย”
ยามนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เริ่มให้ความสำคัญขึ้นมาแล้ว “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”
ไม่ว่าราชวงศ์ใด การป้องกันเหตุเพลิงไหม้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด วังหลวงสร้างด้วยไม้ ไม่ว่าในประวัติศาสตร์หรือในช่วงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ล้วนเคยเกิดเหตุเพลิงไหม้
ปฏิกิริยาฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทำให้พระสนมซูเฟยค่อยๆ คลี่ยิ้มมุมปาก ถอนหายใจเอ่ยว่า “หม่อมฉันได้ยินก็ตกใจมาก ปลายฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศจะแห้ง หากเกิดเหตุเพลิงไม้ขึ้นจะทำอย่างไร ได้ยินว่าคนของกองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวงตะวันออกต้องการปลอบประโลมใจผู้คนให้อยู่ในความสงบ จึงได้ไปที่ร้านหนังสือชิงซงเก็บกวาดหนังสือปีศาจ ไม่คิดว่า…”
“อย่างไรหรือ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สีพระพักตร์จริงจัง
พระสนมซูเฟยสังเกตสีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ในใจก็มั่นใจว่ามาได้ถูกทางแล้ว ถอนหายใจเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะถูกฉางเล่อโหวขัดขวาง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงแปลกพระทัย “เฮ่อชิงเซียว?”
พระสนมซูเฟยพยักหน้า รินน้ำชาให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต่อ น้ำเสียงอ่อนโยนหวานหยดย้อย “ว่ากันว่าฉางเล่อโหวปกป้องเจ้าของร้านหนังสือชิงซงอย่างมาก”
ลือกันว่าคุณหนูโค่วเจ้าของร้านหนังสือชิงซงละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง พระสนมซูเฟยก็ไม่รู้สึกดีต่อคุณหนูโค่วที่ไม่เคยพบหน้าผู้นี้ กอปรกับนิยายเรื่องนั้น ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
“หืม? เจ้าของร้านหนังสือชิงซงเป็นคนอย่างไรหรือ”
พระสนมซูเฟยนึกถึงว่าคุณหนูโค่วเป็นคนช่วยบุตรีองค์หญิงใหญ่เจาหยาง ฮ่องเต้ยังพระราชทานรางวัลให้อีก จึงกล่าวกลบเกลื่อนผ่านไปว่า “ได้ยินว่าเป็นคุณหนูคนหนึ่ง”
ในฐานะผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือสังกัดกองกำลังองครักษ์อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เพื่อสตรีผู้หนึ่ง ถึงกับขัดขวางปฏิบัติการของกองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวง ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดได้ยินแล้วพอพระทัยเป็นแน่
พระสนมซูเฟยได้เห็นสายพระเนตรเย็นเยียบของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ดังคาด รู้ว่ากล่าวถึงแค่เพียงนี้ก็ควรหยุดได้แล้ว จึงยิ้มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้ประทับในตำหนักฮั่นตั้นกงนานนัก ก็เสด็จกลับตำหนักเฉียนชิงกง วันต่อมาหลังเลิกประชุมท้องพระโรงก็เรียกตัวเฮ่อชิงเซียวเข้าเฝ้าทันที
“ร้านหนังสือที่ท่านซงหลิงเขียนนิยายให้ เข้าของร้านเป็นคนเช่นไร” หลังตรัสเรื่องทั่วไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ถามขึ้นเหมือนไม่สนพระทัยอันใด
แววตาเฮ่อชิงเซียวลุ่มลึก สะกดกลั้นความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาไม่ให้เผยพิรุธหลังได้ยินรับสั่งถาม “ทูลฝ่าบาท เจ้าของร้านหนังสือชิงซงก็คือคุณหนูโค่ว”
ไม่ว่าฮ่องเต้แสดงท่าทีสบายๆ อย่างไร แต่ย่อมไม่ถามขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ดูท่าเกี่ยวข้องกับข่าวลือ ‘วาดหนัง’ ฮ่องเต้น่าจะทรงทราบแล้ว ถึงกับทรงทราบว่าเขาขัดขวางหานตงหมิง เอ่ยสถานะคุณหนูโค่วออกมาตรงๆ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ดังคาด ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินชื่อคุณหนูโค่วก็รับตรัสถามขึ้นว่า “ใช่คุณหนูโค่วที่ช่วยฝูเอ๋อร์ไว้ผู้นั้นหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่คิดว่าคุณหนูอายุน้อยๆ ยังเปิดร้านหนังสือด้วย” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลืนดำรัสที่คิดจะตรัสกลับคืนไป ได้แต่ตรัสทิ้งค้างไว้เช่นนี้
เฮ่อชิงเซียวรู้ว่าในพระทัยทรงคิดมากมาย รีบออกมายอมรับว่า “หลายวันก่อนร้านหนังสือชิงซงเข้าไปพัวพันกับข่าวลือคดีฆ่าคนตาย…กระหม่อมคิดว่าหาตัวฆาตกรตัวจริงและสยบข่าวลือ จึงจะเป็นการขจัดความหวาดกลัวในใจราษฎรลงได้อย่างแท้จริง ไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้อน ท่านซงหลิงเป็นบุคคลที่ฝ่าบาททรงชื่นชม กระหม่อมย่อมให้ความสนใจดูแลท่านซงหลิงที่ร่วมมือกับร้านหนังสือชิงซงมากเป็นพิเศษ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดในเรื่องนี้ แต่ตรัสถามถึงคดีฆ่าคนตายขึ้นมา “คนร้ายกับข่าวลือทำให้ราษฎรตื่นตกใจ หาสาเหตุพบแล้วหรือยัง”
“คนร้ายก็คือท่านผิงอันที่เคยเขียนนิยายให้ร้านหนังสือหย่าซิน เพราะการค้าร้านหนังสือชิงซงรุ่งเรือง ทำให้ร้านหนังสือหย่าซินซบเซา ในใจคับแค้นจึงได้ฆ่าคนใส่ความร้านหนังสือชิงซง ผู้ดูแลร้านหนังสือหย่าซินได้ยินคดีนี้ ก็อาศัยโอกาสนี้ปล่อยข่าวลือ ล้วนเพราะต้องการให้ส่งผลต่อการค้าร้านหนังสือชิงซง…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงรับฟังจบ ก็อดสรวลเยียบเย็นไม่ได้ “ร้านหนังสือหย่าซินช่างเป็นสถานที่หมอกดำพิษร้ายเสียจริง วันหน้าก็ไม่ต้องเปิดแล้ว”
ในเมื่อความจริงปรากฏแล้ว ข่าวลือที่ทำให้ประชาตื่นตระหนกย่อมจางหายไปกับสายลม เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องต้องกล่าวอันใดกับการที่เฮ่อชิงเซียวขัดขวางการปฏิบัติการของกองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวงแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ”
ดังนั้นตอนที่ข่าวท่านผิงอันเป็นฆาตกรตัวจริงยังไม่ได้แพร่ออกไป กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็รุดไปถึงร้านหนังสือหย่าซิน ปิดผนึกกระดาษคำสั่งที่ประตูร้านทันที