ตอนที่ 137 ต่อรอง
สมุดเล่มบางมาก ไม่นานนายหญิงผู้เฒ่าก็อ่านจบ มือนางสั่นเทา ใบหน้าสั่นไม่หยุด ขอบตาเองก็ยังสั่น ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ตลอดเวลา
รองเจ้ากรมต้วนยังคงห่วงใยมารดาแก่ชราของตน มองปฏิกิริยาของนายหญิงผู้เฒ่าอย่างเป็นห่วง
ซินโย่วกลับสีหน้าเรียบเฉย รอรับมือต่อจากนี้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางว่านอนสอนง่ายแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าค่อยๆ มองไปทางซินโย่วเหมือนตอนมองหลานสาวเข้าเมืองมาเมื่อสี่ปีก่อน ยามนี้มองประเมินนางอย่างละเอียด
ระยะเวลาเพียงสี่ปี เด็กหญิงในตอนนั้นเติบโตเป็นสาวน้อยเต็มวัยในตอนนี้ เครื่องหน้าสมบูรณ์ กิริยาสงบสุขุมตรงหน้า แม้มองละเอียดก็ยังไม่รู้สึกแตกต่าง ทว่าตอนนี้กลับพบว่าความจริงใบหน้าเปลี่ยนไปไม่น้อย
นายหญิงผู้เฒ่าถึงกับรู้สึกว่าสาวน้อยตรงหน้าดังคนแปลกหน้า นี่คือหลานสาวอ่อนไหวและว่านอนสอนง่ายคนเดิมของนางหรือ
“ชิงชิง สมุดเล่มนี้มาจากไหน” เป็นนานกว่านายหญิงผู้เฒ่าจะเอ่ยน้ำเสียงเบาหวิวออกมา
“ย่อมเป็นท่านแม่ทิ้งไว้ให้เจ้าค่ะ” ซินโย่วเบนสายตาไปกวาดตามองนายหญิงผู้เฒ่ากับรองเจ้ากรมต้วน “สมุดเล่มนี้คัดลอกไว้แล้ว ยังมีอีกหลายเล่มอยู่ร้านหนังสือ อ้อ ต้นฉบับนิยายก็ใช่ นอกจากข้าแล้ว ผู้ดูแลร้านร้านหนังสือก็มี”
เห็นรองเจ้ากรมต้วนสีหน้าแปรเปลี่ยน ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “แต่ท่านลุงวางใจ พวกเขาจะไม่แอบเปิดออกอ่าน คนที่ร้านหนังสือไม่ได้มีความสามารถมาก ทุกคนให้ความเคารพเจ้าของร้านเช่นข้ามากพอ”
รองเจ้ากรมต้วนสีหน้าดำคล้ำ กำหมัดแน่น
นี่กำลังข่มขู่เขาว่าอย่าคิดนอกลู่นอกทางหรือ
รองเจ้ากรมต้วนไม่ใช่ว่าไม่เคยคิด คิดอาศัยโอกาสที่หลานสาวกลับมา จับนางขังไว้ในจวน แล้วบอกกับคนนอกว่านางล้มป่วย
หลานเขาคนนี้ไม่มีญาติที่ใดในเมืองหลวง มาพักรักษาอาการป่วยที่บ้านยายก็สมเหตุสมผล ผู้ใดจะกล้าบุกเข้ามาตรวจสอบความจริงกัน
แต่สติยังอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เขาล้มเลิกความคิดนี้ดีกว่า
ประการแรก มีองค์หญิงใหญ่เจาหยางกับฉางเล่อโหวจับตาดูอยู่ ทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป
ประการที่สอง นายหญิงผู้เฒ่าเองก็ไม่เห็นด้วย
ตอนนี้ดูท่าทางหลานเขาคนนี้เตรียมป้องกันมาพร้อมแล้ว
ก็จริง หลานเขาคนนี้วางแผนเป็นขั้นตอนได้เช่นนี้ จะไม่คิดวางแผนเรื่องความปลอดภัยให้ตนเองได้อย่างไร ดังคาด กล่อมให้นางสงบลงก่อนดีที่สุด รออีกสองสามวันให้เรื่องราวผ่อนคลายลงก่อนค่อยลงมือ
ซินโย่วปล่อยเวลาให้สองคนย่อยเรื่องราวเหล่านี้ครู่หนึ่ง ก่อนมองไปทางนายหญิงผู้เฒ่า “ท่านยาย ในสมุดบัญชีจดไว้หนึ่งล้านตำลึง ยังมีที่นาร้านค้า ชิงชิงใช่ว่าเป็นคนไม่รู้บุญคุณ อยู่จวนรองเจ้ากรมมาสี่ปี ทำให้ท่านยายเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าต้องการเพียงแปดแสนตำลึง ที่เหลือก็ถือเสียว่าท่านแม่แสดงความกตัญญูต่อท่านยาย”
“แปดแสน?” นายหญิงผู้เฒ่าโมโหจนพูดไม่เป็นภาษา “ชิงชิง เจ้ารู้ไหมว่าแปดแสนมากมายเพียงใด นี่มิใช่แปดร้อย แปดพันนะ!”
ซินโย่วคลี่ยิ้ม “ไม่ว่าแปดร้อยหรือแปดแสนตำลึง จะเท่าไรความจริงก็ไม่สำคัญ สำคัญที่สมบัตินี้คืนสู่เจ้าของ แม้จะเอาแปดแสนตำลึง ก็ล้วนเป็นของชิงชิงมิใช่หรือเจ้าคะ”
หรือว่ายึดครองเงินก้อนโตนี้มานานหลายปี คิดไปว่าเป็นเงินจวนรองเจ้ากรมไปแล้ว?
“ท่านยายรู้สึกว่าตอนนี้ข้าอายุยังน้อย รอให้ออกเรือนค่อยมอบให้ข้า แต่ข้าก็ใกล้จะสิบเจ็ดแล้ว เดิมก็ได้วัยออกเรือนแล้ว ท่านเองก็เห็นว่าระยะนี้ข้าดูแลร้านหนังสือ พิสูจน์ว่าข้ารักษาสมบัติไว้ได้ ไยต้องรอให้ข้าออกเรือนด้วยเล่า หากถึงวันออกเรือนจริง จะบอกอีกหรือไม่ว่าตระกูลสามีไว้ใจไม่ได้ เก็บไว้ที่จวนรองเจ้ากรมเผื่อเป็นทางหนีทีไล่ให้ข้าอีก?”
ในใจนายหญิงผู้เฒ่ามีเหตุผลมากมายที่ไม่คิดคายเงินทองที่กลืนลงท้องไปแล้วออกมา แต่เหตุผลที่จริงแท้ที่สุดก็คือละโมบเพียงอย่างเดียว
“ชิงชิง เจ้าพูดมากมายเช่นนี้ ความจริงก็เพราะไม่เชื่อใจยาย ใช่หรือไม่” นายหญิงผู้เฒ่าแสดงท่าทางปวดร้าวใจ
สาวน้อยมองนางเอ่ยว่า “เช่นนั้นรอให้ชิงชิงออกเรือน ท่านยายก็จะมอบหนึ่งล้านตำลึงและที่นาร้านค้าในสมุดนี้ให้ข้าหรือเจ้าคะ”
นายหญิงผู้เฒ่าสะอึก
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้!
ซินโย่วยิ้ม “ตอนนี้ชิงชิงอยากจัดการสมบัติตนเองแล้ว ขอเพียงแปดแสนก็พอ”
“เจ้าเอาเงินมากมายเช่นนี้ไปทำอันใด ร้านหนังสืออย่างไรก็สู้บ้านเราไม่ได้ เกิดโจรปล้นขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ท่านยาย เหตุใดจึงได้กังวลเรื่องที่ยังไม่เกิดเล่าเจ้าคะ ได้ยินว่าวังหลวงยังไฟไหม้ได้ ไม่มีที่ใดปลอดภัยที่สุด หากมีโจรเข้าปล้นจริง เช่นนั้นชิงชิงก็ควรรับผลเอง”
แววตาสาวน้อยกระจ่างใส่จ้องมองไปที่รองเจ้ากรมต้วน สีหน้าเริ่มรำคาญใจ “ท่านยายกับท่านลุงคิดเช่นนี้ ผู้น้อยเช่นข้าก็ไม่พูดมากความแล้ว ข้ากลับร้านหนังสือก่อนนะเจ้าคะ”
เห็นนางลุกขึ้น รองเจ้ากรมต้วนร้อนใจ “หยุดนะ!”
ซินโย่วเอียงหน้าไปมองเขา
รองเจ้ากรมต้วนระงับสีหน้าบิดเบี้ยว ส่งสายตาให้นายหญิงผู้เฒ่า “ท่านแม่ ในเมื่อชิงชิงคิดจัดการสมบัติตนเอง ก็ตามใจนางเถอะ ก็ดี ให้นางได้รู้ว่าแต่ไรมาจวนรองเจ้ากรมเราไม่เคยหมายปองสมบัตินาง”
นายหญิงผู้เฒ่าสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง จึงค่อยทำให้ความปวดใจของนางคลายลงได้บ้าง “ชิงชิง แปดแสนตำลึงไม่ใช่บอกว่าจะเอาก็เอามาได้ เงินส่วนหนึ่งให้ผู้อื่นยืมไป อีกส่วนหนึ่งแบ่งไปซื้อร้านค้าที่ดูการค้าไม่เลว เดิมคิดว่าหลังเจ้าหมั้นหมายก็จะจัดการ…”
“ความหมายท่านยายก็คือไม่อาจนำออกมาคืนได้?”
“หากเจ้าจะเอาตอนนี้ ก็เอาไปได้ราวสี่แสนตำลึง ที่เหลือเกรงว่าต้องการเวลาสักระยะหนึ่ง”
ซินโย่วส่ายหน้า
นายหญิงผู้เฒ่าแววตาเย็นเยียบ “ทำไม ที่เหลือช้าหน่อยไม่ได้หรือ ชิงชิง เจ้ายังเห็นยายเป็นญาติอยู่อีกหรือไม่”
ซินโย่วยกมือนวดหว่างคิ้ว น้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “ท่านยายพูดถึงขั้นนี้แล้ว ก็อย่าได้นำคำว่าญาติมาเอ่ยอ้างอีก ข้าต้องการแปดแสนตำลึง อย่างช้าสุดพรุ่งนี้ต้องได้”
“พรุ่งนี้เป็นไปไม่ได้” นายหญิงผู้เฒ่าไม่มองรองเจ้ากรมต้วนที่ขยิบตาให้นาง “อย่างมากก็รวบรวมได้ห้าแสนตำลึง”
เหลือไว้สามแสนตำลึงย่อมไว้ยื้อต่อไป
เด็กสาวผู้นี้ได้ห้าแสนตำลึงก้อนโตไว้ในมือ คงไม่โง่จนมีเรื่องแตกหักกับจวนรองเจ้ากรม
นายหญิงผู้เฒ่าย่อมรู้ดีว่าเท้าเปล่ากับสวมรองเท้าไว้นั้นแตกต่างกัน
ซินโย่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันถามขึ้นว่า “จวนรองเจ้ากรมคิดแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับจวนกู้ชางป๋อใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นายหญิงผู้เฒ่าแววตาเคร่งเครียด “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”
“จวนกู้ชางป๋อคิดหมั้นหมายผู้ใด”
นายหญิงผู้เฒ่าบ่นขึ้นมาในใจ เจ้าเด็กคนนี้คงไม่ได้มีใจให้ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อกระมัง
เห็นนายหญิงผู้เฒ่าสงสัย ซินโย่วก็ถามขึ้นตรงๆ ว่า “น้องหลิงหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ชิงชิง เหตุใดเจ้าใส่ใจเรื่องนี้ คิดอันใดอยู่หรือ”
“ข้าไม่อยากให้น้องหลิงแต่งกับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ”
สีหน้านายหญิงผู้เฒ่าโมโห “ชิงชิง เจ้าเป็นเพียงคุณหนู ยุ่มย่ามมากเกินไปแล้วหรือไม่”
หลานสาวสามไปร้องไห้ฟ้องชิงชิงหรือ
“หกแสน”
“อะไรนะ” นายหญิงผู้เฒ่าไม่เข้าใจ
“ท่านยายรับปากข้า ปฏิเสธงานแต่งน้องหลิงกับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ ข้าต้องการเพียงแค่หกแสนตำลึง ที่เหลือถือว่ากตัญญูต่อท่านยาย”
ต้องการแปดแสนตำลึง นายหญิงผู้เฒ่าบอกว่าให้ได้ก่อนห้าแสน สามแสนตำลึงที่เหลือเกรงว่าไม่รู้จะยื้อไปถึงเมื่อใด
เรียกแปดแสนตำลึงก่อน ค่อยลดลงเหลือหกแสน ได้มาครองทั้งหมดไม่ยาก ยังได้ช่วยต้วนอวิ๋นหลิงแก้ไขปัญหาความยุ่งยาก
เป้าหมายเริ่มแรกของนางก็คือยึดสมบัติหกส่วนของโค่วชิงชิงคืนมา เป็นตัวเลขที่อาจทำให้นายหญิงผู้เฒ่าเจ็บปวด แต่ไม่ถึงกับคลุ้มคลั่ง
“ข้ารับปาก!” ไม่รอให้นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยปาก รองเจ้ากรมต้วนก็รับปากทันทีอย่างรวดเร็ว