ตอนที่ 430 สะสมกลายเป็นบุญ
วันแรกยังไม่เริ่มเรียนอย่างเป็นทางการ ช่วงเช้ามู่เถาเยาจัดการพวกขั้นตอนต่างๆ เสร็จ ช่วงบ่ายก็ไม่ไปมหาวิทยาลัยแล้ว
สามคนพ่อแม่ลูกกับเหลียงจีไปดูมู่หว่านที่สถาบันศิลปะการแสดงก่อน จากนั้นถึงพามู่หว่านไปหาเจียงเฟิงเหมียนที่วิทยาลัยวิจิตรศิลป์ สุดท้ายถึงไปหาอวิ๋นสุ่ยเหยาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเหยียนหวง
อวิ๋นสุ่ยเหยาก็นอนหอพักมหาวิทยาลัย
ฟังจากที่คุณนายอวิ๋นบอก เด็กผู้หญิงเลี้ยงดูแบบทะนุถนอมได้ ตามใจได้ แต่ก็ต้องพึ่งพาตัวเองเป็น วันหน้าเจอปัญหาจะได้ไม่ตื่นตูมทำอะไรไม่เป็น อย่างไรเสียก็ไม่มีใครอยู่ปกป้องได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ทุกคนไปกินข้าวเย็นบ้านหลินหลิงศิษย์พี่สามของมู่เถาเยาอย่างสนุกสนาน จากนั้นถึงทยอยไปส่งพวกมู่หว่านตามมหาวิทยาลัย
สุดท้ายสามคนพ่อแม่ลูกกับเหลียงจีก็กลับวังตระกูลตี้
ย่าตี้ยิ้มถาม “เสี่ยวเยาเยาจ๊ะ พรุ่งนี้ก็เริ่มเรียนแล้ว กลางวันจะกลับมากินบ้านหรือให้เอาไปส่งล่ะ”
“กลับมากินดีกว่าค่ะ ไม่ได้ไกลกัน”
เนื่องจากมหาวิทยาลัยวิศวกรรมสารสนเทศไม่ใช่มหาวิทยาลัยเก่าแก่แบบมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู อีกทั้งยังตั้งอยู่ในเมืองหลวงที่ราคาที่ดินแพง ขนาดพื้นที่จึงไม่ได้กว้างขวางแบบมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู ขับรถใช้เวลาไม่นาน
“กลัวรถจะติด ถึงเส้นทางไม่ได้ไกล แต่อาจรถติดครึ่งชั่วโมง เมืองหลวงรถติดมาก เวลาพวกเราจะไปไหนทีต้องคอยเลี่ยงช่วงเวลาเร่งด่วน”
เหลียงจีรีบพูดขึ้น “งั้นเดี๋ยวหนูเอาข้าวไปส่งให้เสี่ยวเยาเยาที่มหาวิทยาลัยเองค่ะ”
มู่เถาเยา “เลิกเรียนเร็วกว่าช่วงเวลาเร่งด่วนหน่อย ไม่น่าจะติดนะคะ ลองกลับมาก่อน ถ้าไม่ได้ พี่หยางทำกับข้าวเสร็จค่อยเอามาส่งก็ได้ค่ะ พี่เหลียงจีไปหาอะไรที่สนใจเรียนเถอะค่ะ”
เย่ว์หลั่งกับเป่ยซีก็ไม่ได้คัดค้านที่เหลียงจีจะไปเรียนอย่างอื่น อย่างไรเสียวันหน้าก็ต้องติดตามลูกสาวของพวกเขา มีความรู้ติดตัวเยอะหน่อยย่อมดีต่อลูกสาวของพวกเขา
พี่หยางทำอาหารให้แค่สามคนกิน มีเวลาเหลือเฟือ
กลางวันมาส่งอาหาร รอเสี่ยวเยาเยากินเสร็จเอาชามกลับบ้าน ใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง
เป่ยซีมองลูกสาวพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “งั้นก็ลองกลับมาดูก่อน ถ้ารถติดค่อยให้เสี่ยวหยางเอาข้าวไปให้นะ”
มู่เถาเยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
กู้หานเคยบอกว่าอาหารที่มหาวิทยาลัยก็ใช้ได้ ตอนกลางวันจั่วอีเหิงก็กินที่มหาวิทยาลัย
ดังนั้นต่อให้พี่หยางเอาอาหารไปส่ง เธอก็อาจจะให้ส่งแค่อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง
ย่าตี้มองมู่เถาเยาด้วยความเอ็นดู “เพียงชั่วพริบตาเสี่ยวเยาเยาก็ออกจากหมู่บ้านเถาหยวนมาได้สองปีกว่าแล้ว”
อาจารย์แม่รองนึกย้อนอดีต คิดแล้วก็ขำ “ตอนแรกเสี่ยวเยาเยาก็ไม่อยากออก อาจารย์ใหญ่เลยต้องเอาเรื่องอาการของอู๋เปียนกับอาหารอร่อยของเมืองเย่ว์ตูมาล่อ”
คุณนายอวิ๋นเหอพูดด้วยความรู้สึกโชคดี “โชคดีที่เสี่ยวเยาเยาออกมา ไม่อย่างนั้นอู๋เปียน…ไหนจะตระกูลเย่ว์…”
ถ้าเสี่ยวเยาเยาไม่เดินออกมาจากหมู่บ้านเถาหยวน ลูกชายคนเล็กของเธออาจตายไปแล้ว ตระกูลเย่ว์ก็ไม่ได้ลูกสาวกลับมา
เป่ยซีพยักหน้า “พวกอาจารย์ของเสี่ยวเยาเยาเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเย่ว์กับตระกูลตี้”
ซย่าโหวโซ่วส่ายมือ “จะว่าไป เหล่าหยวนกับเสี่ยวเยาเยาก็เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลซย่าโหวเหมือนกัน ตอนนั้นผมไปฝึกยุทธ์ที่ป่าเซียนโหยวคนเดียว เกือบธาตุไฟแตกซ่าน พยายามฝืนหยุดอย่างเต็มที่ เลยถูกแรงตีกลับ เหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย ได้เหล่าหยวนกับเสี่ยวเยาเยาที่เข้ามาเก็บสมุนไพรเจอเข้าพอดี ถึงได้ช่วยผมกลับมา”
มู่เถาเยานึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นก็ยิ้ม “วาสนานำพาค่ะ ถ้าไร้วาสนา ต่อให้เดินผ่านกันทุกวันก็ไม่ได้รู้จักกัน ป่าเซียนโหยวใหญ่ออกขนาดนั้น ถ้าพวกเราไร้วาสนากับอาจารย์รอง คงไม่ได้เจอกัน”
อยากเจอพวกชาวหมู่บ้านยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
ก่อนที่เธอกับอาจารย์จะมาอยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวน คนที่นั่นแทบจะไม่กล้าเข้าเขตป่าชั้นนอก อย่างมากก็แค่เก็บผักป่าผลไม้ป่าเห็ดป่าตามชายป่า
เพราะเขตป่าชั้นนอกก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไงก็มีพวกงูพิษพืชมีพิษ อย่างไรเสียพวกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของป่าดงดิบ
เพียงแต่เมื่อเทียบกับเขตป่าชั้นใน อันตรายจากเขตป่าชั้นนอกมีน้อยกว่า
ต่อให้เป็นป่าเขาทั่วไปก็มีงูพิษ หรือสิ่งอื่นที่แค่แตะถูกก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น หนอนบุ้ง
หากไม่ระวังไปแตะถูกขนของมัน ก็จะถูกพิษในทันที เกิดอาการป่วยตามมา
ชาวหมู่บ้านเถาหยวนจึงแทบจะไม่เข้าป่าเซียนโหยวกันเลย อาจารย์รองที่บาดเจ็บสาหัสจะเจอคนช่วยได้อย่างไร
ต่อให้บังเอิญเจอชาวบ้านพอดี แต่ถ้าไม่มีอาจารย์ใหญ่กับเธอก็ไม่มีใครช่วยชีวิตอาจารย์รองได้
สุดท้ายก็เป็นเพราะพวกเขามีวาสนาต่อกัน
ปู่ตี้ยิ้มพลางพยักหน้า “เสี่ยวเยาเยาพูดถูก คนเรามีวาสนาต่อกันย่อมได้พบกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้นั่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางรู้จักกัน”
สังคมสมัยนี้มีเหตุการณ์แบบนี้เยอะแยะไป
“เสี่ยวเยาเยากับอาจารย์ใหญ่ป็นคนที่นำพาโชคดีมาให้ทุกคนจริงๆ” ใบหน้าที่ดุดันคมคายของเย่ว์หลั่งค่อยๆ แสดงสีหน้าอ่อนโยน
ราชาตี้ยิ้มเล็กน้อย “เป็นแบบนั้นจริงๆ ลุงหยวนช่วยคนมามากแค่ไหน ตัวเขาเองก็ยังนับได้ไม่หมด แต่ทุกคนที่เคยถูกช่วยล้วนจำได้ สิ่งเหล่านี้สะสมมากเข้ากลายเป็นบุญ ใครที่ได้อยู่ใกล้คนบุญเยอะก็จะได้รับการดูแลไปด้วย”
คุณนายอวิ๋นเหอพยักหน้า “จริงตามนั้น ดูอวิ๋นไป๋ของพวกเราสิ อยู่กับลุงหยวนกับเสี่ยวเยาเยาบ่อยก็เลยได้แต่งกับเย่ว์เลี่ยง ไม่อย่างนั้นเยี่ยนหังกับอู๋ซวงจะได้เกิดเหรอ”
มู่เถาเยาอมยิ้มดวงตาโค้งมน “คุณป้าคะ ถ้าไม่มีความพยายามของอาเขยมาก่อนยี่สิบปี เขาก็ไม่ได้แต่งกับอาหนูหรอกค่ะ”
คนอื่นๆ เห็นด้วยกับคำพูดของมู่เถาเยา
ก็จริง ผู้หญิงคนไหนบ้างที่จะแต่งงานกับใครโดยไม่มีสาเหตุ และทำไมต้องเป็นคุณไม่ใช่คนอื่นล่ะ
คุณนายอวิ๋นเหอก็ไม่คัดค้านคำพูดนี้ “แต่ยังไงต้องมีทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกในนี้แน่นอน”
ทุกคนพยักหน้าอีกครั้ง
เป็นเช่นนั้นจริง ไม่อย่างนั้นอวิ๋นไป๋พยายามมาตั้งนาน ทำไมแค่ปีสองปีนี้ก็สมหวังแล้วล่ะ
เรื่องบางอย่างก็น่าพิศวง ไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน
มู่เถาเยายิ้ม “ต่อให้เมื่อก่อนอาเขยเกือบเคยเลิกกับอา แต่อาเขยทุ่มเทมาเยอะขนาดนั้น ส่วนที่ขาดเราทำเต็มที่แล้ว พอวาสนามาครบ ทุกอย่างก็ลงตัว”
คุณนายอวิ๋นเหอมองมู่เถาเยา ยิ้มพลางพูด “เสี่ยวเยาเยาไม่เหมือนเด็กอายุยี่สิบเลยนะ เหมือนคนวัยเดียวกับพวกป้ามากกว่า พูดออกมาแต่ละอย่าง คนอายุยี่สิบไม่มีทางเชื่อกันหรอก”
มู่เถาเยา “…”
อาจารย์แม่รองอดหัวเราะไม่ได้ “ตอนนั้นพวกเรากลัวเสี่ยวเยาเยาอยู่กับพวกเรานานไปจะมีความคิดแบบคนแก่ เลยอยากหาทางให้ออกไปเจอคนวัยเดียวกันบ้าง นึกไม่ถึงว่าออกมาได้เกือบสามปีแล้วก็ยังเป็นแบบนี้”
ซย่าโหวโซ่ว “เสี่ยวเยาเยาชอบคุยกับผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก วางตัวเกินวัย ว่านอนสอนง่ายจนพวกเราคิดมาก”
“ใช่แล้ว ถึงแม้เสี่ยวเยาเยาจะเป็นหัวหน้าเด็ก แต่ก็ชอบคุยกับผู้ใหญ่มากกว่า อาจเพราะไอคิวสูงเกินใคร คิดว่าคุยกับเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง แต่พวกเด็กๆ กลับชอบเล่นด้วย…”
อาจารย์แม่รองพูดพลางยิ้มจนตาหยี
ถึงแม้เธอจะไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านเถาหยวนทีหลัง ทว่านับตั้งแต่ซย่าโหวโซ่วปักหลักอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวน ทุกปีเธอก็จะไปพักหมู่บ้านเถาหยวนนานหน่อย จึงรู้เรื่องในวัยเด็กของเสี่ยวเยาเยาดี
“พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงตอนเสี่ยวเยาเยาสี่ห้าขวบ ทุกวันจะถูกพวกเด็กๆ อย่างเสี่ยวหว่านลากไปเล่นเกมกระโดดเรียงเลข กระโดดยาง ดีดลูกแก้ว นึกแล้วก็ขำ…” ซย่าโหวโซ่วนึกถึงอดีตอย่างมีความสุข
ทุกคนต่างสนใจวัยเด็กของเสี่ยวเยาเยา คะยั้นคะยอให้ซย่าโหวโซ่วเล่าเยอะหน่อย
จากนั้นก็ฟังไปยิ้มไป ทั้งยังเหลือบมองเจ้าตัวอยู่เรื่อยๆ
มู่เถาเยา “…”