ตอนที่ 438 เทียบเคียงได้กับกึ่งเทพ
ทุกคนนั่งคุยที่ห้องรับแขกจนถึงสามทุ่มตี้อู๋เว่ยกับภรรยาและพวกพ่อบ้านก็พาเด็กๆ ไปอาบน้ำเข้านอนก่อน
จากนั้นสามทุ่มครึ่งพวกคนแก่ก็ทยอยกันขึ้นชั้นบน
เวลาสี่ทุ่มราชาตี้ คุณนายอวิ๋นเหอ และพวกมู่หว่านก็ออกไป
ตอนนี้ภายในห้องรับแขกเหลือเพียงมู่เถาเยากับตี้อู๋เปียน
“ตี้อู๋เปียน คุณไปพักเถอะ สมุนไพรน่าจะใกล้มาแล้ว ฉันต้มเสร็จก็จะไปนอนเหมือนกัน”
“ฉันรอเป็นเพื่อน อยากดูสมุนไพร ดูว่าต้มยังไง ครั้งหน้าฉันออกไปข้างนอกเผื่อต้องใช้เวลาจำเป็น”
“ก็ได้ ฉันจะเขียนชื่อสมุนไพรให้ใหม่”
“อืม”
มู่เถาเยาเปิดกล่องยาใบน้อย หยิบกระดาษกับปากกาแล้วเขียนสมุนไพรแบบเมื่อครู่ ต่างกันแค่ปริมาณ
“ลองดูนะ อันนี้เป็นปริมาณยาเปลี่ยนสีผิวสำหรับหนึ่งชุด เมื่อครู่เยอะกว่า แบ่งต้มได้สามชุด เดี๋ยวพอได้สมุนไพรมาฉันจะแบ่งให้คุณเก็บไว้สองชุดสำหรับยามจำเป็นต้องใช้”
“ซาลาเปาน้อย เธอรอบคอบมากจริงๆ” ดวงตาของตี้อู๋เปียนเปล่งประกาย เวลายิ้มเหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง งดงามหาใดเปรียบ
มู่เถาเยาเหมือนต้องมนต์สะกดแวบหนึ่ง เธออึ้งไปสองวินาทีถึงตอบ “เป็นหมอต้องละเอียดรอบคอบ”
“อืม ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิต ตอนนี้เธอยุ่งขนาดนี้เวลาเรียนพอเหรอ”
“พอ” ในความเป็นจริงเธอไม่เหนื่อยเรื่องเรียนเลยสักนิด
เพราะเดิมทีเธอก็ถนัดด้านคอมพิวเตอร์ เคยศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์มาก่อน
ดังนั้นต่อให้เอไอรวมเข้ากับการแพทย์เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ เธอก็สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่มีอยู่ไปกับด้านนั้นได้
“แต่เธอก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย อย่าหักโหมจนเกินไป” ตี้อู๋เปียนย่อมทะนุถนอมชีวิต
“ไม่หรอก ฉันรักชีวิตมาก” ได้เกิดใหม่อีกชาติถือเป็นเมตตาจากสวรรค์ ต้องรักและหวงแหน
“อืม”
“งานก่อสร้างทางระบายน้ำกับช่วยเหลือคนยากจนเป็นยังไงบ้างแล้ว”
“งานก่อสร้างทางระบายน้ำราบรื่นดีมาก ส่วนเรื่องช่วยคนยากจน…ฟังดูเหมือนง่าย แต่ลงมือทำไม่ง่ายเลย…แต่มันก็อยู่ในความคาดหมายของฉัน”
ยิ่งเป็นพื้นที่ยากจน ความคิดของผู้คนก็ยิ่งล้าหลัง อยากเปลี่ยนไปฉับพลันทันทีย่อมเป็นไปไม่ได้
มู่เถาเยาก็พอคิดได้ว่าเจอปัญหาแบบไหนบ้าง
อย่างไรเสียก็ใช่ว่าหมู่บ้านบนเขาหรือหมู่บ้านเกษตรกรทั้งหมดจะเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ บางพื้นที่ได้พิสูจน์ให้รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘ยากจนจนต้องเป็นโจร’ เมื่อชาติก่อนเธอเจอมาเยอะ
การใช้ไม้แข็งเข้าข่มไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุ ดังนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องปัญหาต่างๆ อยู่นั้น พ่อบ้านก็เอาพวกห่อสมุนไพรมาให้
“ลุงพ่อบ้านคะ รบกวนช่วยหากระดาษมาให้หน่อยค่ะ นี่เป็นสมุนไพรสำหรับสามชุด อีกสองชุดต้องห่อเก็บไว้”
“ได้ครับ”
พ่อบ้านรีบไปหยิบมา
มู่เถาเยารับกระดาษมา “ลุงพ่อบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
“ต้องต้มยาอีกไม่ใช่เหรอครับ”
“มันค่อนข้างคุมยาก หนูทำเองจะดีกว่าค่ะ”
พ่อบ้านหันไปมองตี้อู๋เปียน
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “ไปเถอะ”
“ครับ งั้นผมไปก่อน มีอะไรก็โทรมาได้ตลอดนะครับ”
“ค่ะ”
หลังจากพ่อบ้านไปแล้วมู่เถาเยาก็ทยอยแกะห่อสมุนไพร
“ตี้อู๋เปียน แบ่งสมุนไพรทั้งหมดเป็นสามกอง สองกองแยกชนิดสมุนไพรห่อไว้ให้ดี”
“อืม”
“ดูนะ นี่เป็นสมุนไพรที่สำคัญที่สุดจากทั้งหมด…ชื่อฝูซู สรรพคุณของมัน…” บลาๆๆ
ตี้อู๋เปียนฟังไปพยักหน้าไป
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จทั้งสองคนก็ไปที่ห้องครัว
คนตระกูลตี้ชอบนอนเร็วตื่นเช้า ไม่มีนิสัยกินมื้อดึก เวลานี้ห้องครัวจึงไม่มีคนแล้ว
มู่เถาเยาหาหม้อดินขนาดเล็ก ล้างน้ำหนึ่งรอบแล้วเอาสมุนไพรใส่ลงไปล้าง
จากนั้นก็เติมน้ำให้ท่วมสมุนไพรแล้วตั้งบนเตา
“ใช้ไฟอ่อนๆ ก่อน ให้กลิ่นของสมุนไพรค่อยๆ ออก”
“ไม่เหมือนต้มยาปกติเหรอ”
“ไม่เหมือนกัน สมุนไพรปกติต้องแช่น้ำอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แต่ยาตำรับนี้เป็นพวกกิ่งก้านใบ แช่ในน้ำเย็นนานหน่อยกลิ่นก็ออกได้ พออุณหภูมิของน้ำค่อยๆ สูงขึ้น กลิ่นของมันก็จะเริ่มออกมาทีละนิด…”
ตี้อู๋เปียนยิ้มพูด “ทำไมรู้สึกเหมือนใช้น้ำอุ่นต้มกบ”
“ต้มไปแบบนี้ แต่หลังๆ จะเร่งไฟแรงขึ้นให้ยาออก สุดท้ายเหลือแค่ยาเหนียวข้นครึ่งชาม”
พอกลิ่นเริ่มแรงขึ้นตี้อู๋เปียนก็ย่นจมูก “ซาลาเปาน้อย กลิ่นนี้มัน แปลกๆ…”
“นี่แค่กลิ่นเริ่มแรก เดี๋ยวพอถึงกลิ่นช่วงกลางกับช่วงท้ายจะดีขึ้น”
“นี่มันน้ำหอมเหรอ มีแบ่งกลิ่นช่วงต้น ช่วงกลาง ช่วงท้ายด้วย”
“กลิ่นช่วงแรกเป็นกลิ่นของสารพัดสมุนไพร ผสมปนเปกันจะแอบตีกันหน่อย กลิ่นเลยไม่ค่อยดีเท่าไร กลิ่นช่วงกลางเป็นกลิ่นที่สมุนไพรเริ่มคละเคล้าผสมผสานกัน ส่วนกลิ่นช่วงท้ายเป็นกลิ่นที่กลมกลืนกันแล้ว…”
“ความรู้ด้านการแพทย์ลึกล้ำจริงๆ วิชาแพทย์เรียนตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงดอกเตอร์โดยทั่วไปใช้เวลาแปดถึงเก้าปี จบดอกเตอร์แล้วก็เป็นอาจารย์แพทย์ได้ อาจารย์แพทย์เลื่อนไปเป็นรองหัวหน้าใช้เวลาสองปี…บางคนทำถึงเกษียณก็ใช่ว่าจะได้เลื่อนเป็นหัวหน้า ซาลาเปาน้อย เธอ…รู้สึกเสียดายไหม”
มู่เถาเยาคอยดูไฟพลางตอบ “ฉันเรียนหมอไม่ได้เพื่อเลื่อนตำแหน่ง ไปนั่งตรวจคนไข้ในโรงพยาบาลก็ไม่ใช่เป้าหมายของฉันด้วย”
“ฉันรู้ วันหน้าเธอต้องการเป็นนักวิจัย ไปนั่งตรวจคนไข้ในโรงพยาบาลมันจำกัดการช่วยชีวิตคน”
“อืม เอาชนะโจทย์ยากในการรักษาจะช่วยชีวิตคนได้มากมายนับไม่ถ้วน”
“ซาลาเปาน้อย ฉันภูมิใจมากที่ได้รู้จักเธอ”
มู่เถาเยาได้ยินแบบนั้นก็เอียงหน้ามองตี้อู๋เปียน
“มีอะไรเหรอ”
“คุณดูแตกต่างจากตอนแรกนะ”
ตี้อู๋เปียนนึกถึงตัวเองที่ไร้เดียงสาในตอนนั้น หูของเขาเริ่มแดง
“แค่ก คนเรามันเปลี่ยนกันได้” เธอในตอนนี้ก็แตกต่างจากชาติที่แล้ว
เธอหวังว่าเยี่ยนหังก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน
“นั่นสิ คนเรามันเปลี่ยนกันได้”
“เธอไม่เปลี่ยนเลย เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก”
“มีแค่ปณิธานที่ไม่เปลี่ยน อย่างอื่นเปลี่ยนไปแล้ว” ตอนนี้เธอมีความสุขมาก! ผ่อนคลายสบายๆ จนมองโลกนี้มีสีสันไปหมด!
“สิ่งที่ต้องการก็คือปณิธานไม่เปลี่ยน”
“…ตี้อู๋เปียน คุณยังมีเวลาอีกสองปีกว่า ฉันจะเก็บหน่วยกิตให้หมดในหนึ่งปี ปีหน้าจะอยู่เขตป่าชั้นในนานหน่อย”
“ฉันจะไปกับเธอด้วย”
“งั้นคุณต้องขยันฝึกต่อสู้แล้ว อีกสองสามเดือน น่าจะราวๆ ปิดเทอมหน้าหนาว หมิงเจ๋อก็ไม่เหมาะที่จะสอนคุณต่อ ฉันจะให้ดาบคุณ ขอให้อาจารย์รองมาสอน พอเดือนกรกฎาปิดเทอมหน้าร้อน คุณก็น่าจะเก่งพอประมาณแล้ว พวกเราไปเขตป่าชั้นในกัน”
“ได้ ซาลาเปาน้อย ไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องกดดันตัวเองด้วย ตอนนี้ทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ”
ถ้าชะตาของเขาถึงฆาตจริง ความตั้งใจในห้าปีนี้ก็สูญเปล่า
ความเสียดายมันย่อมมี แต่ยังไงก็ต้องรู้จักสำนึกในบุญคุณ
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติมาสองสามปี
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงยุ่งขึ้นมา ก็แค่อยากใช้ชีวิตแบบคนปกติบ้าง
มู่เถาเยาขานรับพลางพยักหน้า แต่อารมณ์กลับดิ่งเล็กน้อย
ถ้าช่วยได้เธอช่วยแน่ ช่วยไม่ได้ก็อธิบายได้เพียงว่าเธอเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพ
หมอเก่งก็เทียบเคียงได้กับกึ่งเทพ ช่วยคนจากเงื้อมมือมัจจุราชได้
อาจารย์ใหญ่กับอาจารย์สามของเธอก็คือหมอกึ่งเทพ
แต่สภาพร่างกายของตี้อู๋เปียนไม่เหมือนอาการป่วยตามปกติ ต่อให้เป็นเทพก็ชิงชีวิตของเขามาจากบอสใหญ่อย่างสวรรค์ไม่ได้
เว้นเสียแต่…ตัวเขาเองจะสร้างปาฏิหาริย์