ตอนที่ 449 ขับรถอย่างมีความสุข
เช้าตรู่วันจันทร์ คนตระกูลเย่ว์เตรียมอาหารแห้ง ขนม ผลไม้ และน้ำดื่มให้สองคนที่ต้องออกไปข้างนอก
ใส่ลงไปในเข่งใบเล็กกินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง
มู่เถาเยากับลู่จือฉินหยิบกล่องยาใบน้อยของตัวเองกับเสื้อผ้าสำรองลงมาจากชั้นบน
วันนี้เป็นวันทำงาน ทั้งสองคนจึงไม่ให้คนตระกูลเย่ว์ไปส่ง
และก็ไม่ต้องการคนขับรถ ขับไปกันเองได้
รถที่ลู่จือฉินขับเป็นรถที่ไม่หวือหวา ออกเดินทางพร้อมหมาป่าสองตัว
รถที่มู่เถาเยาขับเป็นของเย่ว์หลั่ง ปากทางขึ้นเขาเทพจันทรามีค่ายทหารปักหลักอยู่ ทหารยศใหญ่ต่างรู้จักรถคันนี้และมู่เถาเยา ไปคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาไม่ให้เข้า
เผ่าหมาป่าพระจันทร์พื้นที่กว้างขวางผู้คนบางตา ถนนหลวงกว้างใหญ่ ขับรถสบายๆ
ความรู้สึกแบบนี้ไม่มีในเมืองหลวงหรือเมืองเย่ว์ตูของประเทศเหยียนหวง เธอรู้สึกชอบมาก
เพราะแบบนี้มู่เถาเยาจึงพลอยนึกถึงตี้อู๋เปียนไปด้วย
เขาดีใจแม้กระทั่งขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้
อาจเพราะผู้ชายทุกคนชอบขับรถ ไม่อย่างนั้นเขาไม่จำเป็นต้องหัดขับรถก็ได้
อย่างไรเสียไม่ว่าเมื่อไรตี้อู๋เปียนก็ไม่สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ จะขับรถเป็นหรือไม่ก็ไม่มีความหมายเท่าไร
เอ๊ะ ทำไมเธอถึงนึกถึงเขาล่ะ
มู่เถาเยาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ในใจ
เธอสะบัดศีรษะเล็กน้อย ชายหนุ่มรูปงามหายไปจากสมองทันที ตั้งใจขับรถต่อ
พอไปถึงปากทางเข้าภูเขาเทพจันทราเธอก็ลดความเร็วลง ลดกระจกลงเพื่อให้คนข้างนอกเห็นใบหน้าของเธอ
พวกทหารยศใหญ่เห็นรถก็ทำความเคารพ แต่พอไม่เห็นเจ้าของรถตัวจริงก็แอบแปลกใจ
เรื่องที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจไม่ใช่ว่าคนกับรถไม่เข้ากัน แต่เป็น ทำไมหัวหน้าเผ่าน้อยถึงมาคนเดียวล่ะ สองครั้งก่อนมีคนในครอบครัวมาด้วยไม่ใช่เหรอ
มู่เถาเยาย่อมไม่มีทางหยุดรถอธิบายให้พวกเขาฟัง เธอแค่ยิ้มพยักหน้า บอกพวกเขาว่าจะค้างข้างในสองคืนแล้วขับรถเข้าไปในเขตภูเขาเทพจันทรา
ทิวทัศน์ด้านในเริ่มเป็นป่าเงียบสงัด
พอขับไปจนถึงจุดที่ขับต่อไม่ได้แล้วเธอก็จอดรถไว้ข้างทาง
อย่างไรเสียเส้นทางนี้ก็ไม่มีคนมา จะจอดอย่างไรก็ได้
สะพายเข่งใบน้อย ถือกล่องยา แตะปลายเท้าเบาๆ กระโดดขึ้นเขาแล้วมุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ทัศนียภาพยังคงงดงาม แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของมันเลยสักนิด ราวกับว่าเป็นเช่นนี้มาแล้วนับพันปี
เหมือนว่าตายไปแล้ว แต่ความเป็นจริงคือยังมีชีวิต
ครั้งนี้เธอไปตามแนวเขารอบนอก
จากภูมิประเทศหลากสีไปยังธารน้ำแข็งแดนลึกใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม
ระหว่างนั้นไม่พบอะไรแตกต่างจากครั้งก่อน
มู่เถาเยาหาจุดที่อยู่ระหว่างน้ำแข็งกับไฟแล้วนั่งลงกินอาหารเย็น ครุ่นคิดว่ามีตกหล่นอะไรไปหรือไม่
ธารน้ำแข็ง ภูเขาหิมะ ภูเขาไฟ เยี่ยนหงกับชวนไป๋ ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้วเหรอ
เยี่ยนหงกับชวนไป๋อาศัยอะไรดำรงชีวิต
ผาภูเขาไฟกับชั้นธารน้ำแข็งทำไมถึงมีพืชงอกออกมาได้
รากของพวกมันสะอาดมาก แสดงให้เห็นว่าด้านล่างไม่มีดิน
แต่ถอนออกมาไม่ยาก ทั้งๆ ที่รากเล็กมาก แต่กลับไม่ขาด พื้นข้างใต้ก็ไม่มีทางแตกด้วย…
มู่เถาเยาสังเกตรอบๆ พลางครุ่นคิด
คิดจนหัวจะแตกแล้วก็ยังไม่พบคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
ช่างเถอะ แช่น้ำพุร้อนก่อนดีกว่า
หยิบชุดว่ายน้ำบิกินีออกมาจากเข่งใบน้อย ถอดเปลี่ยนทันที อย่างไรเสียในรัศมีร้อยลี้ก็ไม่มีคน
แช่น้ำพุร้อนอุณหภูมิต่ำก่อนค่อยแช่อุณหภูมิกลาง สุดท้ายถึงแช่สระที่อุณหภูมิสูง
แต่ละสระแช่สิบถึงสิบห้านาที ครบหนึ่งชั่วโมงก็ขึ้นมา ร่างกายสบายตัว รู้สึกตัวเบา สบายยิ่งกว่าบ่อน้ำพุร้อนในย่านท่องเที่ยว
มู่เถาเยาใส่เสื้อผ้า ไปตรงสระที่ไม่เคยแช่แล้วเอานิ้วจุ่มขึ้นมาแตะลิ้น
ทำแบบนี้หลายครั้งจนภายในปากมีรสหวานอ่อนๆ รู้สึกดีกว่าดื่มน้ำแร่
เมื่อก่อนคนตระกูลเย่ว์เคยเอากลับไปให้ตระกูลปาวิจัย ไม่มีอะไรแตกต่างจากน้ำแร่ทั่วไป แต่อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้เห็น
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่อยากเห็นด้วยตัวเอง
การรู้กับการประสบด้วยตนเองมันเป็นสองความรู้สึกที่ต่างกัน
มู่เถาเยาเลือกบริเวณที่เรียบหน่อยแล้วเอาผ้าพลาสติกปูพื้น
ใส่เสื้อกันหนาว กล่องยาใบน้อย ปืน และมีดพกอยู่ตรงจุดที่เอื้อมถึง เอนตัวลง มองแสงสุดท้ายค่อยๆ ลับขอบฟ้า
เวลานี้ยังไม่สองทุ่ม แต่ดวงดาวก็ออกมาส่องแสงระยิบระยับแล้ว
ไม่ใช้อุปกรณ์ส่องแสงก็มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจน
มู่เถาเยานอนดูดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า
อันที่จริงที่นี่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่มาก แต่กลับรู้สึกใกล้ท้องฟ้ามาก ราวกับว่าแค่ยื่นมือไปก็คว้าดวงดาวได้
วันนี้เป็นพระจันทร์เสี้ยว แต่เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงมาก็ทำให้ภูเขาไฟกับธารน้ำแข็งดูอ่อนโยนลง เหมือนมีม่านบางอันบางเบาปกคลุมหนึ่งชั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฟ้าดินดูมีความลึกลับชวนพิศวง
มู่เถาเยาดื่มด่ำกับความเงียบสงบที่หาได้ยากนี้ เข้าสู่ห้วงความฝันอย่างอารมณ์ดี
เช้าตรู่ตีห้า พระจันทร์ยังไม่เลิกงาน มู่เถาเยาก็ตื่นขึ้นมาออกกำลังกาย
จากนั้นก็แช่น้ำพุร้อนอุณหภูมิต่ำเหมือนเป็นการอาบน้ำไปในตัว
ดื่มนม กินขนมปัง ผลไม้ เก็บของแล้วเดินทางต่อ
วันนี้เดินไปสองในสามของที่วางแผนไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ไม่ต่างจากวันแรก
เช้าตรู่วันที่สาม เก็บของเสร็จเธอก็ไม่ได้รีบร้อนไปต่อ แต่นั่งศึกษาน้ำในทะเลสาบของธารน้ำแข็งตรงหน้าที่สีเหมือนน้ำนม
น้ำในนี้ไม่ข้นเหมือนนม แต่ก็ไม่ได้ใส มองไม่เห็นว่าในทะเลสาบมีอะไร ลึกแค่ไหน
มู่เถาเยาหักน้ำแข็งข้างๆ โยนลงไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงกระทบกับคลื่นเล็กน้อย
เอาน้ำจากธารน้ำแข็งที่สีเหมือนนมใส่ขวดน้ำดื่มแล้ววางลงเข่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองภูเขาหิมะที่สูงที่สุด
แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ โผล่พ้นยอดเขาที่สูงหมื่นเมตรนี้
วงแสงสีแดงโอบล้อมดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ขนาดใหญ่ขึ้น ต่อมาเป็นแสงสีส้มโอบล้อมแสงสีแดง เมื่อดวงอาทิตย์ขยายใหญ่ขึ้นก็เป็นแสงสีเหลือง
ตามมาด้วยสีเขียว สีคราม สีน้ำเงิน สีม่วง ไล่ไป โดดเด่นสะดุดตา
ประมาณสิบนาที แสงสีม่วงก็หายไปก่อนจากด้านใน ตามมาด้วยสีน้ำเงิน สีคราม สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง สุดท้ายเหลือเพียงดวงอาทิตย์เหนือยอดเขา
วงแหวนสีรุ้งครั้งนี้ใหญ่กว่า สวยกว่า นานกว่าเมื่อครั้งที่แล้ว!
แต่มู่เถาเยาไม่ได้ตื่นเต้นมาก เธอกำลังประเมินความสามารถตัวเองว่าจะขึ้นยอดเขาหมื่นเมตรนั่นได้หรือไม่
บนนั้นเหมือนมีอะไรดึงดูดเธอ คันไม้คันมืออยากขึ้นไปดูให้แน่ชัด
แต่เธอเองก็รู้ว่าต่อให้มีพละกำลังความสามารถขึ้นไปได้ก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วย
ก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร เธอตัดสินใจขึ้นไป แต่กลับไม่คิดใช้วิชาตัวเบา แค่อยากปีนขึ้นไปเอง
เธอประเมินระยะเวลาขึ้นลง น่าจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์
รอเธอหายยุ่งจากปีนี้ก่อนค่อยว่ากัน
ภูเขาอยู่ตรงนี้ไม่หนีหายไปไหนหรอก
มู่เถาเยาละสายตาด้วยความเสียดาย สะพายเข่งแล้วเริ่มเดินลง
ตอนกลางวันเธอนั่งลงตรงน้ำตกที่สูงตระหง่าน กินพวกเนื้อแห้งเป็นอาหารกลางวันง่ายๆ พลางดื่มด่ำกับน้ำตกที่สูงประมาณห้าสิบเมตร ตระการตา ดูทรงพลัง
สายน้ำที่เหมือนน้ำนมไหลลงสู่เบื้องล่าง คล้ายม่านสีเงิน ถึงขั้นที่บางจุดคล้ายคน สัตว์…มีรูปร่างแตกต่างกันไป
ผลงานศิลปะแห่งธรรมชาติเป็นปรากฏการณ์ที่ผลงานฝีมือมนุษย์ไม่อาจเทียบได้
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมามู่เถาเยาที่ดื่มด่ำกับทัศนียภาพเสร็จแล้วก็สะพายเข่งแล้วเหาะกลับด้วยความเร็วสูงสุด