ตอนที่ 466 คนที่ใช่ยังไงก็ใช่
มู่เถาเยากับพวกลู่จือฉินอยู่ที่บ้านตระกูลน่าหลานกันทั้งหมดห้าวัน จากนั้นจั่วอีเหิงกับบรรดาคนที่มาจากเมืองหลวงก็กลับไป
ตี้อู๋เปียน มู่หว่าน เจียงเฟิงเหมียน อวิ๋นสุ่ยเหยากับพี่ชาย และตี้อู่หลันฉือต่างตามพวกมู่เถาเยาไปที่เผ่าด้วย
ตระกูลตี้อู่เป็นญาติกับตระกูลเซี่ย ส่วนตระกูลเซี่ยก็เป็นญาติกับตระกูลตี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตี้กับตระกูลเย่ว์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มู่เถาเยาจึงเชิญตี้อู่หลันฉือไปเป็นแขก
อย่างไรเสียคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนิทกับตระกูลเย่ว์จึงไม่สะดวกเชิญไป
เครื่องบินลงจอดที่ตำหนักพระจันทร์เวลาบ่ายสามโมง
สองพี่น้องปาเฝ่ยปาอิน และยังมีลู่หันซูที่มารอต้อนรับพวกเขากลับมาพร้อมคนตระกูลเย่ว์ที่ตำหนักพระจันทร์
พอกลับถึงบ้านทักทายทุกคนเสร็จ มู่เถาเยาก็รีบปรี่ไปหาน้องชายที่กำลังถูกป้อนอาหารเสริมอยู่บนเก้าอี้สำหรับเด็ก
“เยี่ยนหัง พี่สาวคิดถึงเธอกับอู๋ซวงจังเลย”
เด็กน้อยดีใจมาก เรียก ‘พี่ พี่’ ไม่หยุด
เยี่ยนหังที่กำลังจะครบแปดเดือนเรียกได้หลายคนแล้ว เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า พี่
อันที่จริงคำอื่นก็พูดได้ แต่เพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นกว่าเด็กทารกคนอื่นจนน่าสงสัย เขาจึงควบคุมความอยากพูดของตัวเองไว้ อย่างไรเสียน้องสาวฝาแฝดยังเรียกพ่อแม่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อวิ๋นไป๋ยิ้มพูดกับมู่เถาเยา “ดูเด็กคนนี้สิ พอเจอเสี่ยวเยาเยาก็ดีใจเหลือเกิน!”
แต่ทำไมลูกสาวยังเรียกพ่อไม่ได้ล่ะ เขาร้อนใจแล้วนะ!
เย่ว์เลี่ยงยิ้มพูด “เยี่ยนหังก็คิดถึงพี่สาว”
ไม่มีใครจริงจังกับคำพูดนี้ยกเว้นมู่เถาเยากับลู่จือฉิน เพราะเด็กทารกทั่วไปยังคิดถึงคนที่ไม่ค่อยเจอไม่เป็น
เป่ยซีอุ้มเยี่ยนหังมาจากมู่เถาเยา “เสี่ยวเยาเยา กินขนมกันก่อน อยู่บนเครื่องบินไม่ได้กินข้าวดีๆ เลยใช่ไหม”
“ค่ะ”
มีแขกอย่างตี้อู่หลันฉืออยู่ เธอจะเอาแต่เล่นกับน้องๆ ไม่ได้
ส่วนเสี่ยวหว่าน เสี่ยวเหมียน อวิ๋นสุ่ยเหยากับพี่ชาย อันที่จริงไม่ใช่แขกแล้วสำหรับคนตระกูลเย่ว์ แต่เป็นคนในครอบครัว
เย่ว์เลี่ยงมองลู่จือฉินเพื่อนสนิทแล้วมองตี้อู่หลันฉือ ขมวดคิ้วที่ได้รูปเล็กน้อย
เสี่ยวเยาเยามักพูดถึงสองพ่อลูกคู่นี้ให้ฟังบ่อยๆ แสดงให้เห็นว่าชอบพวกเขามาก
แม้แต่เธอตอนนี้ได้เจอตี้อู่หลันฉือที่น่าเอ็นดูก็ยังรู้สึกชอบ
เอาแค่ว่าเด็กคนนี้เห็นใจพ่อ อยากหาแม่เลี้ยงมาช่วยดูแล แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กดีขนาดไหน
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เคยเจอตี้อู่เหลียนจิง
แต่เธอก็ไม่รีบ เพราะคนที่ใช่ยังไงก็ไม่หนีไปไหน คนที่หายไปก็คือไม่ใช่คนที่ชะตาลิขิต
หลังจากมื้อน้ำชายามบ่ายที่ของกินละลานตาผ่านไป เป่ยซีกับมู่เถาเยาก็พาแขกเอาสัมภาระไปเก็บที่ห้องแล้วลงมาห้องรับแขกอีกครั้ง
สายตาของเย่ว์เลี่ยงมองจากตี้อู่หลันฉือแล้วไปหยุดที่คนข้างๆ ยิ้มถาม “เหลียงจี แต่งงานเมื่อไรล่ะ ฉันจะให้หยุดสามเดือนเลย จะได้ไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ให้เต็มอิ่ม”
พูดว่าสามเดือน แต่ถ้าตั้งท้องขึ้นมาแบบนั้นก็ต้องรอคลอดจนลูกหย่านมแล้วถึงค่อยกลับมาทำงาน
เหลียงจีตอบด้วยความเขินอาย “หัวหน้าเผ่า ยังไม่ได้กำหนดวันเลยค่ะ ทางครอบครัวหนิงจะมาคุยวันที่สิบห้าค่ะ”
“อืม ได้ฤกษ์ดีเมื่อไรก็บอกเสี่ยวเยาเยานะ ฉันจะได้หานักบินคนใหม่ไปแทน”
“ค่ะ หัวหน้าเผ่าคะ แต่วันหยุดสามเดือนมันเยอะเกินไปค่ะ เดือนเดียวก็พอแล้วค่ะ”
“ไม่เยอะหรอก ถ้าระหว่างนี้เกิดท้องขึ้นมางั้นเธอก็ต้องหยุดบินไปปีกว่าสองปี ระหว่างนั้นมาเรียนรู้งานจากเหมยเหมยที่ตำหนักพระจันทร์แล้วกัน”
เหมยเหมยเป็นผู้ช่วยคนแรกของเธอ แบบที่ไปไหนก็พาไปด้วย
เหลียงจีหน้าแดงพยักหน้า “ได้ค่ะ”
ก็ไม่น่าท้องเร็วขนาดนั้นหรือเปล่า
แต่ด้วยวัยของพวกเขาก็ไม่ควรป้องกันจริงๆ
ทุกคนดีใจแทนเหลียงจี
ย่าอวิ๋นยิ้มกว้าง “เมื่อก่อนชิงเฉวียนชอบบ่นเรื่องแต่งงานของหนิงชิงให้ฟัง นึกไม่ถึงว่าคู่แท้ของเขาอยู่ที่นี่”
ย่าเย่ว์ “พอเจอคนที่ใช่ อะไรๆ ก็เป็นใจ เรื่องของพรหมลิขิตมันฝืนกันไม่ได้จริงๆ”
ยายหลานพยักหน้า “นั่นสิ”
ตี้อู๋เปียนก็รู้สึกว่าย่าเย่ว์พูดถูก
เมื่อก่อนเขาไม่เชื่อเลยจริงๆ ว่าบนโลกนี้จะยังมีคนที่งดงามดุจสายรุ้งแบบซาลาเปาน้อย
เป่ยซีมองคนที่กำลังเล่นกับอู๋ซวง “อู๋เปียน ทำไมว่างมาด้วยกันล่ะ” ไหนว่างานยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้
“คุณน้า ผมอยากมาเยี่ยมผู้อาวุโสกับหลานๆ ครับ”
“งั้นกะอยู่ที่เผ่านานเท่าไรล่ะ”
“รอซาลาเปาน้อยเปิดเทอมค่อยกลับพร้อมกันครับ”
เย่ว์หลั่งได้ยินก็สีหน้าขรึมลง
ตี้อู๋เปียนแอบหวั่นใจ
เขารู้สึกว่าอาเย่ว์กับพี่ชายทั้งสองคนของซาลาเปาน้อยมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรยิ่งกว่าเมื่อก่อน
หรือเขาจะถูกจับได้แล้วว่าคิดไม่ซื่อ
ตี้อู๋เปียนลอบมองมู่เถาเยาที่กำลังแกล้งเยี่ยนหังพร้อมพวกสาวๆ
สีหน้าของเย่ว์หลั่งแย่กว่าเดิม ใช้คำว่าบึ้งตึงก็ดูจะไม่เกินไป
เย่ว์หลั่งหงุดหงิดมากที่ลูกสาวสุดที่รักถูกหมายตา แถมคนที่หมายตายังเป็นคนที่ไม่รู้จะรอดชีวิตหรือเปล่า
ใครก็ตามที่สุขภาพแข็งแรง แม้จะเป็นคนธรรมดาก็ตาม ขอแค่ลูกสาวของเขาชอบ เขาก็จะไม่คัดค้าน แต่คนตรงหน้านี้มัน…
พอเห็นเย่ว์หลั่งมีสีหน้าแบบนั้น เป่ยซีก็เหยียบเท้าเขา
สามีคิดอย่างไรเธอรู้ดี
ในความเป็นจริงเธอเองก็คัดค้านที่ลูกสาวจะมีแฟนตอนนี้ อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่าอีกสองปีจะเป็นอย่างไร
แต่เธอเชื่อลูกสาวโดยไม่มีเงื่อนไขว่าวันหน้าจะรักษาอู๋เปียนให้หายดีได้แน่
ตี้อู๋เปียนถูกพ่อและพี่ชายของมู่เถาเยาจ้องจนนั่งไม่เป็นสุข แต่สีหน้ายังคงทำเหมือนไม่เป็นไร หาเหตุผลอย่างชาญฉลาดหนีไปเล่นกับอู๋ซวง
เพียงแต่น่าเสียดายที่อู๋ซวงน้อยไม่รู้ความคิดของพี่อู๋เปียน หาวหนึ่งทีก็ผล็อยหลับไปแล้ว
ตี้อู๋เปียนทำได้เพียงส่งคืนน้าเล็ก
พออู๋ซวงหลับ เยี่ยนหังก็หลับตาม
ทั้งสองคนเป็นฝาแฝด นาฬิกาชีวิตย่อมคล้ายกัน
แม้วิญญาณของเยี่ยนหังจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ฝืนกลไกของร่างกายไม่ได้
ในมือไม่มีอู๋ซวงเป็นข้ออ้างได้แล้ว ตี้อู๋เปียนจึงเสนอขอประลองกระบวนท่าใหม่กับเย่ว์จือกวงภายใต้สายตาจ้องเขม็งของพ่อลูกทั้งสาม
เย่ว์จือกวงต้องการแบบนั้นพอดี
เขารู้ว่าตี้อู๋เปียนไม่ต้องมีคนสอนแล้ว สามารถคิดค้นวิทยายุทธที่เหมาะสมกับตัวเองได้ จึงรอประลองด้วยมานาน
คนอื่นๆ ก็สนใจ โดยเฉพาะเย่ว์เลี่ยง
เย่ว์จือกวงถือเป็นลูกศิษย์ที่เธอถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง เธอจึงอยากดูผลลัพธ์
ครั้นแล้วทุกคนจึงตามทั้งสองคนไปยกเว้นอวิ๋นไป๋ที่ต้องดูลูกๆ
มองทั้งสองคนที่สู้กันอย่างที่ยากจะตัดสินแพ้ชนะ ย่าอวิ๋นถึงกับน้ำตาคลอ
เมื่อก่อนสุขภาพของหลานชายคนเล็กเป็นยังไง พวกเขายังจะไม่รู้อีกเหรอ
ตอนนี้ดีขึ้นขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะสวรรค์เมตตา แต่เป็นเพราะเสี่ยวเยาเยา
มู่เถาเยาที่ถูกผู้อาวุโสซาบซึ้งใจกำลังตั้งใจดูทั้งสองคนสู้กัน ทั้งยังช่วยกันหาช่องโหว่กับซย่าโหวโซ่วและลู่จือฉิน
เย่ว์เลี่ยง “เสี่ยวเยาเยา อู๋เปียนน่าทึ่งมากเลยนะ”
ฝึกได้ขนาดนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เคยเจอมาก่อนเลยจริงๆ
พูดอย่างยุติธรรม เสี่ยวเยาเยาของเธอก็ยังสู้ไม่ได้
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “อาคะ หนูก็นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะว่าตี้อู๋เปียนจะเก่งขนาดนี้”
คนที่ดูอยู่ตรงนั้นต่างพยักหน้า ยอมรับว่าสู้ไม่ได้จากใจจริง