อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร – ตอนที่ 471 เจอจิ้งจอกห้าสี

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 471 เจอจิ้งจอกห้าสี

ปลายเดือนกรกฎาคม มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนสะพายเข่งใบใหญ่กันคนละใบ ในนั้นเต็มไปด้วยอาหารและของใช้จำเป็น

คนหนึ่งถือกล่องยาใบน้อย อีกคนถือเสียมกับจอบขนาดเล็ก สะพายปืน ดาบ มีดพกไว้บนตัว บอกลาทุกคนเสร็จก็เหาะไปป่าเซียนโหยว

ลงสู่พื้นเมื่อถึงป่าฉีหนาน

“ซาลาเปาน้อย พวกเรากินข้าวกลางวันตรงนี้แล้วกัน”

“อืม”

ระยะทางจากหมู่บ้านเถาหยวนซานมาตรงนี้ไกลมาก ต่อให้วิชาตัวเบาสูงส่งแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาตลอดช่วงเช้า

“ซาลาเปาน้อย ป่าฉีหนานประหลาดจริงๆ นะ กว้างใหญ่ขนาดนี้แต่กลับมีแค่ต้นฉีหนานเขียวกับต้นฉีหนานม่วง”

“แปลกจริงๆ เดิมทีไม้กฤษณาที่ขึ้นตามธรรมชาติก็หาได้ยากอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับต้นฉีหนานขาวที่เป็นราชาแห่งไม้หอม ไม่รู้ว่าในนี้จะมีต้นไม้ที่พวกเราไม่เคยได้พบเห็นอีกมากเท่าไร”

ผลิตภัณฑ์ไม้กฤษณาของหมู่บ้านเถาหยวนซานเป็นไม้กฤษณาที่ถูกปลูกขึ้นมา แต่ป่าฉีหนานแห่งนี้เป็นไม้กฤษณากลุ่มแรกที่เธอพบเจอทั้งที่เข้าป่าเซียนโหยวมานับครั้งไม่ถ้วน

“มีหลายสิ่งที่ไม่รู้จัก พวกเราเก็บพวกต้นที่ไม่รู้จักไปหน่อย เอากลับไปให้ศาสตราจารย์จินศึกษาดู”

พวกเขาไม่มีเวลาใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญดีกว่า

พอมู่เถาเยาได้ฟังแบบนี้ ใบหน้าซาลาเปาขาวนวลก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “พี่สาม อย่าแตะต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่รู้จักส่งเดช ในเมื่อไม่รู้จัก พวกเราก็ไม่รู้ว่าชนิดไหนมีพิษ ชนิดไหนไม่มีพิษ”

“ได้ งั้นพวกเราถ่ายรูปเอาไว้ก่อน”

ที่แท้ซาลาเปาน้อยพกกล้องถ่ายรูปกับโทรศัพท์มือถือเอาไว้ถ่ายของพวกนี้ ไม่ใช่เอามาถ่ายพวกเขาอย่างที่เขาคิด

เขามองว่าการที่พวกเขาเข้าป่าเซียนโหยวมาตามหาสมุนไพรช่วยชีวิตคือการเดต…

“อืม ตอนนี้พวกศาสตราจารย์จินไปถึงไหนกันแล้ว”

“เขาเซินซานที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ”

คนคนเดียวใช้เท้าเดินจะเดินได้ไกลสักแค่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าเดินตลอดสามร้อยหกสิบห้าวันเสียหน่อย

“ซาลาเปาน้อย ตอนนี้อยากหาสมุนไพรอะไรมากที่สุด” ตี้อู๋เปียนไม่อยากคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“หญ้าพิษชีวิต”

ตี้อู๋เปียนดีใจมาก

ซาลาเปาน้อยเป็นห่วงเขาจริงๆ ด้วย!

“มีอีกไหม” เขาจะนำทางไปเก็บ!

อยากได้อะไรเขาจะพาไป ขอแค่ในนี้มี

“ดอกพันวัน”

“ได้ ฉันจะพาไปเก็บนะ” เมื่อวานตอนเย็นเขาได้สื่อสารกับต้นไม้ที่อยู่ในนี้ ดอกพันวันกำลังเตรียมบาน

เวลานี้พวกเขาจึงกำลังไปหา

มู่เถาเยาได้ฟังก็เกิดความรู้สึกประหลาดอีกแล้ว

เธอมักรู้สึกว่าตี้อู๋เปียนเหมือนจะรู้ว่าตรงไหนมีสมุนไพรอะไรบ้าง

จะเป็นไปได้ยังไง

“ซะ…ซาลาเปาน้อย อย่าขยับ!” ตี้อู๋เปียนรีบพูดขึ้นอีกทั้งยังหยิบมีดพกออกมาเตรียมปา

มู่เถาเยาก็ได้ยินเสียงแล้ว แต่เธอไม่รีบร้อน เพราะความเร็วของสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้โจมตีพวกเขาไม่ได้

พอหันกลับไปมองก็อดขำไม่ได้ “พี่สาม ไม่ต้องเครียด นี่งูอูเย่า ไม่มีพิษ แถมพวกมันก็เชื่องมาก ไม่มีทางกัดคนก่อนถ้าไม่ไปทำอะไรมัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราสาดยาใส่ตัวไว้แล้ว มันมีแต่จะเลื้อยอ้อมพวกเราไป”

ตี้อู๋เปียนยังคงจ้องเขม็งงูดำตัวใหญ่ยาวห้าเมตรที่กำลังเลื้อยมาทางพวกเขา

“มันชื่องูอูเย่าเหรอ เอาไปทำยาได้ไหม”

“ถูกต้อง รักษาได้หลายโรคเลยล่ะ เช่น โรคไขข้อ โรคเรื้อน บาดทะยัก สโตรก และโรคอื่นๆ มันเป็นยาชั้นดี ผิวหนังดำเลื่อมของงูอูเย่ายังเป็นหนังสัตว์สำหรับทำซอเอ้อหูโดยเฉพาะอีกด้วย แต่ตอนนี้ห้ามล่าสัตว์ป่า ก็เลยต้องใช้หนังงูที่มนุษย์เลี้ยงหรือใช้หนังเทียมแทน”

“…ซาลาเปาน้อย ทำไมเธอรู้เรื่องงูดีขนาดนี้ล่ะ สาวๆ ไม่ได้กลัวงูกันหมดเหรอ”

มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ “ฉันเป็นหมอ มันเป็นยา ไม่กลัวมันแปลกตรงไหนกัน”

พูดมีเหตุผล!

ตี้อู๋เปียนเถียงไม่ออก

เขาไม่รู้ว่าจะจีบสาวน้อยตรงหน้าโดยเริ่มจากตรงไหนดี

“พี่สามเก็บมีดพกให้ดี รีบกินเถอะ”

ตี้อู๋เปียนมองงูอูเย่าที่เปลี่ยนทิศทางเลื้อยไปทางอื่นแล้ว เขาเก็บมีดพกเข้าปลอกที่อยู่ตรงเอวแล้วเริ่มกินอีกครั้ง

ทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกันระหว่างกิน

หลักๆ คือตี้อู๋เปียนกำลังสื่อสารกับพวกสัตว์และต้นไม้แถวนั้นอยู่ พยายามหลอกล่อให้แมลงมีพิษกับสัตว์ร้ายออกไป และยังต้องจำให้ได้ว่าตรงไหนมีพืชมีพิษรุนแรง จะได้เดินเลี่ยง ขณะเดียวกันก็กำลังตามหาสมุนไพรหายากด้วย…

เมื่อครู่เขาเห็นงูก็ชักอาวุธออกมาโดยอัตโนมัติ ลืมเรื่องความสามารถพิเศษในการสื่อสารไปเสียสนิท

กินอาหารกลางวันเสร็จตี้อู๋เปียนถึงพูดขึ้น “ซาลาเปาน้อย เธอว่าจะมีสัตว์ที่ช่วยตามหาสมุนไพรได้ไหม”

“นั่นมันเป็นสัตว์ในตำนาน คุณเชื่อด้วยเหรอ” มู่เถาเยาเลิกคิ้ว

“เชื่อ ซาลาเปาน้อย ฉันช่วยหาจิ้งจอกน้อยมาช่วยเธอตามหาสมุนไพรดีไหม ฝึกมันให้ดี ช่วยงานเธอได้แน่”

จากตรงนี้เดินไปอีกหน่อยจะมีจิ้งจอกห้าสีที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานหนึ่งตัว เมื่อคืนแม่ของมันถูกตัวลิงซ์ที่แสนฉกาจฆ่าตายขณะไปหาอาหาร

ถ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้นไม่มีสัตว์ชนิดเดียวกันชุบเลี้ยง สุดท้ายถ้าไม่หิวตายก็ต้องถูกสัตว์ตัวอื่นกิน

อันที่จริงเขาก็ไม่ได้สงสารจิ้งจอกห้าสีหรอก อย่างไรเสียสัตว์ป่าธรรมชาติก็มีกฎเกณฑ์ของมัน

เพียงแต่เขามีความสามารถพิเศษ ไม่ว่าสัตว์ตัวไหนก็มาเป็นสัตว์ที่ช่วยหาสมุนไพรให้เขาได้ ซึ่งจิ้งจอกน้อยตัวนี้สวยงาม ปรากฏตัวในเวลาที่พอเหมาะพอดี

มู่เถาเยายิ้ม “พี่สาม ฉันไม่เคยเห็นจิ้งจอกในป่าเซียนโหยวเลยนะ”

“ป่าเซียนโหยวใหญ่มาก เป็นไปได้ว่าแต่ละโซนจะมีสัตว์ที่ไม่เหมือนกัน ไม่เคยเจอไม่ได้หมายความว่าไม่มี”

“ก็จริง ต่อให้ไม่อันตราย แต่ถ้าเราอยากเดินเท้าให้ทั่วป่าเซียนโหยวทุกตารางนิ้ว ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่พอ ไม่ได้เจอสิ่งมีชีวิตมากมายก็เป็นเรื่องปกติ”

“ซาลาเปาน้อย เคยคิดบ้างไหม…สามีของเธอในอนาคต…มาเก็บสมุนไพรเป็นเพื่อนเธอที่นี่ไม่ได้”

แต่เขาทำได้!

เขาเป็นตัวเลือกสามีที่ดีที่สุด!

ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ภายนอกหรือความสามารถ ต่างกินขาดเซี่ยซิงเฉิน โจวซือหย่วน เฉินหมิ่นอะไรนั่น!

ขอแค่สายตาของซาลาเปาน้อยไม่มีปัญหาจะต้องเลือกเขาแน่นอน!

ดวงตาของตี้อู๋เปียนเปล่งประกายดุจดวงอาทิตย์ ชวนให้ไม่กล้ามองตรงๆ

สว่างสดใสและลึกซึ้ง งดงามจนทำให้ทัศนียภาพโดยรอบกลายเป็นเพียงองค์ประกอบ

พอมู่เถาเยาเงยหน้าเห็นดวงตาระยิบระยับของเขาก็หัวใจเต้นแรงจนมีเสียงตึกตึก แม้แต่ตัวเธอเองยังตกใจ

ตี้อู๋เปียนเริ่มกลายเป็นแบบในตอนนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อก่อนตอนป่วยไม่น่ามอง ตอนนี้…เขาเหมือนดอกท้อที่เดินออกมาจากทุ่งดอกท้อที่แสนกว้างใหญ่ งดงามสะกดตา สดใสบริสุทธิ์

เวลานี้ในใจเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย แต่เธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เอาเป็นว่ามันประหลาด

มู่เถาเยาพยายามข่มใจ “ฉันไม่ต้องการสามี”

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสามีอาจส่งผลต่อความเร็วในการทำตามความฝันของเธอ เอามาจะมีประโยชน์อะไร

ตอนนี้เธอมีน้องๆ แล้ว วันหน้าก็จะมีหลานๆ ไม่กลัวว่าเผ่าหมาป่าพระจันทร์จะไม่มีคนสืบทอด

สำนักแพทย์โบราณก็มีคนดูแลมากมาย ไม่จำเป็นต้องกลุ้มเรื่องคนสานต่อ

ตี้อู๋เปียนเหมือนถูกฟ้าผ่า

“ซาลาเปาน้อย ทำไมเธอมีความคิดที่อันตรายแบบนี้ล่ะ”

“อันตรายเหรอ” มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ “พี่สาม ไม่แต่งงานก็ไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพ ดูอาจารย์ใหญ่ของฉันก็ได้”

“…”

เขาย่อมรู้ว่ามันไม่ส่งผลต่อสุขภาพ!

แต่ถ้าเธอไม่แต่งงานงั้นเขาก็ต้องโสดน่ะสิ!

ตี้อู๋เปียนอยากกระอักเลือด

แต่ตอนนี้ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้แต่ทำให้ความสัมพันธ์คลุมเครือเขาก็ยังไม่กล้า

รออีกสองปีแล้วกัน ดูว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้ไหม

ตอนนี้ซาลาเปาน้อยไม่มีความคิดนั้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับเขา เพราะไม่ต้องกังวลว่าเธอจะถูกสุนัขตัวไหนคาบไปกิน

“ซาลาเปาน้อย เธอ…”

“หน้าฉันเหมือนซาลาเปาจริงเหรอ” มู่เถาเยาเอามือลูบใบหน้าที่เหมือนเด็กทารกของตัวเอง

เมื่อก่อนก็เคยถามเขาว่าทำไมถึงเรียกเธอว่าซาลาเปาน้อย แต่เขาไม่ตอบ

มู่เถาเยาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เรียกอะไรไม่เรียก ทำไมต้องเรียกว่าซาลาเปาด้วย

หรือหน้าตาของเธอมันชวนให้นึกถึงซาลาเปากันนะ

ตี้อู๋เปียนนึกถึงครั้งแรกที่เจอกับเธอ รู้สึกตัวเองเหมือนเด็กเอาแต่ใจไร้เหตุผล…เขาหน้าแดงขึ้นมาทันที

แต่ก็ยังคงไม่ตอบ

มู่เถาเยาก็ไม่ใช่ว่าจะเอาคำตอบให้ได้

ก็แค่คำเรียก ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไปคิดตลอดเวลา

ดังนั้นตี้อู๋เปียนไม่บอก เธอก็ไม่จี้ถาม เก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วสะพายเข่ง

“พวกเราไปกันเถอะ”

“อืม”

ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้า เจอสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่ได้เก็บ

ยังต้องอยู่ในเขตป่าชั้นในอีกนาน ไม่ต้องรีบ

เพียงแต่ ระหว่างทางทำไมไม่เจอสิ่งมีพิษหรือสัตว์ร้ายเลย แม้แต่พวกหญ้าพิษก็ไม่เจอสักต้น

มู่เถาเยามองตี้อู๋เปียนที่นำทางอยู่ข้างหน้า ในใจเต็มไปด้วยคำถาม

หรือว่าเขาจะดวงดีแบบสุดๆ

เธอจำได้ว่านับตั้งแต่เขาบอกว่าตัวเองดวงดี พอเข้าป่าเซียนโหยวมากับเขาก็เป็นแบบนี้แล้ว

อีกทั้งสมุนไพรที่เก็บได้ตอนมีเขานำทางก็เป็นสมุนไพรที่ปกติพบเจอได้ยากมาก ต่อให้เธอเคยเข้าเขตป่าชั้นในมาหลายครั้งนับไม่ถ้วนก็นานๆ จะเก็บได้สักต้น…

ครั้งสองครั้งยังบังเอิญได้ ถ้าทุกครั้งเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่สวรรค์เอ็นดูแล้วล่ะ

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตของเขาแล้วหรือเปล่า

“ซาลาเปาน้อย ตรงนี้มีถ้ำ”

มู่เถาเยาเดินขึ้นหน้าไปดู “น่าจะเป็นถ้ำของสัตว์สักชนิด ไม่ต้องสนใจ เดินต่อเถอะ”

ตี้อู๋เปียน “…”

ไม่สงสัยเลยสักนิดหรือไง

ในนั้นมีจิ้งจอกน้อยอยู่นะ!

“ซาลาเปาน้อย ฉันว่าในนั้นมีลูกสัตว์อยู่ เข้าไปดูหน่อยไหม”

มู่เถาเยารู้สึกแปลกใจ

เขาเป็นคนช่างสงสัยขนาดนี้เลยเหรอ อย่างกับเด็ก!

แต่พอคิดได้ว่าเขาไม่ได้มีชีวิตแบบคนปกติมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยเล่นแบบเด็กคนอื่น เธอก็ใจอ่อน

“งั้นก็ไปดูหน่อย แต่ก็ไม่รู้ข้างในมีอะไร อย่าเข้าใกล้ล่ะ ฉันจะใช้สมุนไพรล่อมันออกมา”

“ได้”

มู่เถาเยาหยิบขวดเซรามิกขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าผ้าสะพายเฉียง เปิดฝาออกเอายาเม็ดหนึ่งวางไม่ไกลจากปากถ้ำ

ทั้งสองคนเดินออกไปหน่อย ไม่ขวางปากถ้ำ

สิบกว่าวินาทีต่อมาก็มีเสียงสวบๆ ดังออกมา

ไม่นานสัตว์ตัวน้อยที่มีขนสีดำ สีขาว สีแดง สีเงิน และสีน้ำเงินปนกันก็กระโดดหยองๆ ออกมา

กินยาเม็ดนั้นโดยที่ไม่แม้แต่จะดม เห็นได้ชัดว่ามันหิวมาก

มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “ลูกสุนัขจิ้งจอก ห้าสีเสียด้วย หายากมากเลยนะ!”

ชาติที่แล้วเคยเจอสุนัขจิ้งจอกมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอจิ้งจอกห้าสี

เดิมทีสุนัขจิ้งจอกก็มีอยู่ห้าสี แต่ตัวนี้มีห้าสีในตัวเดียวกัน

“ซาลาเปาน้อย สภาพนี้มันน่าจะเพิ่งเกิดได้ไม่นานนะ ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของมันออกไปหาอาหาร…” แล้วถูกกิน!

มันเป็นลูกกำพร้า…จิ้งจอกน้อยกำพร้า!

“อืม แต่มันดูหิวมากเลยนะ ไม่รู้ว่าแม่จิ้งจอกไม่ได้ป้อนอาหารมันนานเท่าไรแล้ว อย่างน้อยๆ น่าจะหกชั่วโมงได้”

“ซาลาเปาน้อย ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว คืนนี้พวกเราค้างตรงนี้กันเถอะ”

มู่เถาเยาสังเกตรอบๆ ก็รู้สึกว่าที่นี่เหมาะจะเป็นที่สำหรับค้างคืน

“ได้ เอาที่นี่แหละ คุณไปหาที่เรียบๆ โรยยาไว้ ฉันจะออกไปดูแถวนี้หน่อยว่ามีเถาวัลย์น้ำไหม”

ถึงแม้จะพกน้ำดื่มมาด้วย แต่นี่เพิ่งเข้ามาวันแรก ไม่รู้ว่าต่อไปต้องใช้น้ำเยอะหรือเปล่า ประหยัดได้ก็ประหยัดไว้ก่อน

“อืม ซาลาเปาน้อย อย่าไปไกลล่ะ ถ้าไม่มีก็ช่างเถอะ พวกเราเดินเข้าไปข้างในอีกต้องมีเถาวัลย์น้ำเยอะแน่ๆ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยตัดเอาไปด้วยก็ได้”

“เข้าใจแล้ว”

มู่เถาเยาปลดเข่งบนบ่าและของบนตัวลง เอาไปแค่ดาบหลิวอิ่งของรักของอาจารย์รอง เดินสำรวจบริเวณรอบๆ

ตี้อู๋เปียนหาที่แห้งและราบเรียบ จัดการโรยยาเป็นวงกว้าง จากนั้นก็เอาข้าวของไปไว้ในวง

หยิบเสื่อน้ำมันออกมาปู ล้างมือแล้ววางของกินบนเสื้อน้ำมัน

เนื้อแห้ง นม ขนมปัง ไม่ได้เอาผลไม้มา เพราะตอนนี้เดือนกรกฎาคม เป็นฤดูกาลที่ผลไม้จำนวนมากเข้าตลาด ผลไม้ป่าก็เยอะไม่แพ้กัน ไม่จำเป็นต้องขนมาจากบ้าน

“พี่สาม”

มู่เถาเยาหอบแตงโมสีเขียวมาสองลูก ใบหน้ามีรอยยิ้ม

“ที่นี่มีแตงโมด้วย!” ตี้อู๋เปียนก็รู้สึกประหลาดใจ

“นั่นสิ ฉันเองก็นึกไม่ถึง แต่แตงโมขึ้นง่าย จะมีก็ไม่แปลกหรอก”

“อืม ตรงนั้นยังมีอีกไหม ไว้พรุ่งนี้พวกเราไปเก็บพกเอาไปด้วย” แตงโมให้น้ำเยอะ เอาไปกินต่างน้ำได้

“มีประมาณหนึ่ง”

“เยี่ยม พรุ่งนี้พวกเราไปเก็บอีก วางลงสิ ล้างมือแล้วกินอาหารเย็นกัน”

“อืม”

ตี้อู๋เปียนช่วยเทน้ำให้มู่เถาเยาล้างมือ จากนั้นก็นั่งกินเนื้อแห้งบนเสื่อน้ำมันด้วยกัน

จิ้งจอกน้อยเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา ทั้งยังอยากปีนขึ้นขาของมู่เถาเยา

มู่เถาเยามองสภาพของมันด้วยความรู้สึกขำ

จิ้งจอกน้อยเด็กเกินไป น่าจะเพิ่งหัดเดิน สภาพทุลักทุเลของมันน่ารักสุดๆ

ตี้อู๋เปียนเห็นเธอมีความสุขเขาก็มีความสุขไปด้วย

กินอาหารเย็นแบบง่ายๆ เสร็จ เก็บขยะที่ไม่ย่อยสลาย ป่าเริ่มมืดลง

ตี้อู๋เปียนเปิดอุปกรณ์ให้แสงสว่างแบบพกพา ทำให้พื้นที่แคบๆ นี้มีแสงสว่างดุจเวลากลางวัน

“ทำไมแม่ของจิ้งจอกห้าสียังไม่กลับมาอีก” มู่เถาเยามองไปรอบๆ

ถึงแม้จิ้งจอกน้อยจะกินยาบำรุงไปแล้ว ไม่หิวแล้ว แต่ทำไมแม่จิ้งจอกถึงกล้าทิ้งลูกตัวเท่านี้ไว้ในถ้ำตัวเดียวได้ล่ะ

ตี้อู๋เปียนพูด “อาจจะกลับมาไม่ได้แล้วก็ได้” เดิมทีก็กลับมาไม่ได้แล้ว

มู่เถาเยาครุ่นคิด ความเป็นไปได้นี้สูงมาก

อดลูบหัวจิ้งจอกน้อยไม่ได้

จิ้งจอกน้อยมองมู่เถาเยาอย่างงุนงง

“ซาลาเปาน้อย ถ้าพรุ่งนี้เช้าก่อนพวกเราไปแม่จิ้งจอกยังไม่กลับมา พวกเราเอามันไปด้วยเถอะ”

“คุณอยากเลี้ยงมันไว้ช่วยหาสมุนไพรจริงๆ เหรอ”

“ฉันว่าไหวนะ”

มู่เถาเยาลูบจิ้งจอกน้อยพลางพูด “งั้นก็พากลับไปก่อน รอมันโตอีกหน่อย พึ่งพาตัวเองได้แล้วค่อยให้มันอยู่เขตป่าชั้นนอกกับพวกฝูงม้าป่า” ถ้ามันไม่หนีไปไหนนะ

จิ้งจอกน้อยหมอบอยู่บนขามู่เถาเยา ปล่อยให้เธอลูบ มันหลับตาเป็นเส้นตรงเหมือนกำลังสบาย

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

Status: Ongoing
มองจากภายนอกเธอคือหญิงสาวจากหมู่บ้านชนทบทที่ห่างไกล แม้รูปโฉมไม่ธรรมดาแต่จะมีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังของเธอนั้นคือ ‘หมอเทวดา’ ผู้มีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร!นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีในเมืองใหญ่ นางเอกเก่งทั้งรักษาโรคและวรยุทธ์โคจรมาเจอกับพระเอกขี้โรคสุดหลงตัวเอง!โลกของอดีตจักรพรรดินีอย่าง มู่เถาเยา ถึงคราวกลับตาลปัตรเมื่อต้องมากลายเป็นเด็กทารกที่ยังมีความทรงจำเดิมในชาติก่อน?! อีกทั้งโลกใหม่นี้ยังแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงหลายปีผันผ่านเธอหลอมรวมเข้ากับโลกใหม่ใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์พร้อมได้รับวาสนาเป็นศิษย์ของหมอเทวดาผู้เก่งกาจประสบการณ์และพรสวรรค์มากมายในชาติก่อนแล้วทำให้เธอเก่งกาจเหนือกว่าผู้ใดพร้อมก้าวเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อร่ำเรียนและฝึกฝนหาประสบการณ์ชีวิตในโลกใหม่แปลกหน้าใบนี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท