ตอนที่ 477 อย่าโลภมากเกินไป
วันรุ่งขึ้นหลังกินอาหารเช้าพวกมู่เถาเยาพาผู้ใหญ่บ้านกับภรรยา รวมถึงเจียงเฟิงเหมียนไปส่งที่ลานจอดเครื่องบิน เพื่อบินไปเยี่ยมมู่หว่านกับเหลียงจีที่เมืองโบราณผิงจิน
จากนั้นตี้อู๋เปียนก็พาพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานของมู่เถาเยาเหาะเข้าเขตป่าชั้นในของป่าเซียนโหยวไปตัดเถาวัลย์ตี้หวังมาให้แม่ม้าที่ตั้งท้อง
ย่าเย่ว์กับอาจารย์แม่รองช่วยกันเตรียมอาหารกลางวันของมู่เถาเยา ลู่จือฉิน และเยี่ยนหัง จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนพวกเด็กๆ ไม่สังเกต ให้สองผู้ใหญ่กับหนึ่งเด็กแอบออกไปหาฝูงม้าป่า
มู่เถาเยาใส่เยี่ยนหังไว้ในเข่ง เหมือนเมื่อก่อนที่อาจารย์ใหญ่แบกเธอไปเก็บสมุนไพร
หลังลงจากยอดไม้ ลู่จือฉินก็พูดด้วยความรู้สึกอยากขำ “ก็ไม่รู้ว่าอู๋ซวงจะรู้สึกตอนไหนว่าพี่สาวกับพี่ชายหายไป”
มู่เถาเยายิ้มมุมปาก “ต้องหาผลไม้ป่ากลับไปง้อพวกเขาหน่อย” พวกเด็กๆ เป็นจอมตะกละ
ลู่จือฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ผลห้ารส กีวี่ เคฟกูสเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ ผลนมแพะ วอลนัท…เดือนกรกฎาสิงหามีผลไม้เยอะแยะเลย ครั้งนี้พวกเราไม่ต้องเก็บสมุนไพร เก็บผลไม้ป่าเถอะ”
มู่เถาเยากับเยี่ยนหังพยักหน้า
เนื่องจากสภาพแวดล้อมภูมิประเทศดี ผลไม้ในป่าจึงผลใหญ่ น้ำเยอะ หอมหวาน ไม่มีใครไม่ชอบกิน
บรรดาศิษย์พี่ศิษย์หลานของสำนักซย่าโหวพอว่างก็จะมาเก็บผลไม้ป่าตรงเขตป่าชั้นนอกไปให้เหล่าผู้อาวุโสกิน
เยี่ยนหังคิดถึงม้า เขารีบถามขึ้น “อาจารย์ พี่ครับ ป่าเซียนโหยวใหญ่ขนาดนี้ ฝูงม้าป่าจะอยู่ตรงไหนเหรอครับ มันมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือเปล่า”
มู่เถาเยาส่ายหน้า “ไม่มีหรอก ทำได้เพียงตามร่องรอยไป”
ถึงแม้จะมีม้าหลายตัวท้องแล้ว แต่มีม้าตั้งท้องมากมายที่สามารถลงแข่งขันได้ แถมยังคว้าชัยชนะ แล้วนับประสาอะไรกับฝูงม้าป่าที่ตั้งท้องคลอดลูกอยู่เขตป่าชั้นใน พวกมันย่อมต้องเคยวิ่งหนี ดังนั้นต้องใช้เวลาตามหาประมาณหนึ่ง
สองผู้ใหญ่กับหนึ่งเด็กเก็บผลไม้ป่าระหว่างตามหาฝูงม้า
เยี่ยนหังยังเด็ก มีหน้าที่แค่กิน
เมื่อถึงเวลาอาหาร เนื่องจากทั้งสามคนกินผลไม้ป่าไปเยอะมากจึงไม่รู้สึกหิวเลยไม่ได้หยุดพัก
แต่ไม่นานเยี่ยนหังก็รู้สึกง่วง
ร่างกายของเด็กหนึ่งขวบถึงอย่างไรก็ต้องการการพักผ่อน
มู่เถาเยากับลู่จือฉินนั่งลงตรงที่ร่มแล้วอุ้มเยี่ยนหังออกมาจากเข่ง
ปูเสื่อน้ำมันตรงที่ราบเรียบและแห้ง ให้เยี่ยนหังนอนบนนั้น
สองศิษย์อาจารย์กินอาหารกลางวันไปคุยไป
เยี่ยนหังนอนไปหนึ่งชั่วโมงก็ตื่น
มู่เถาเยาเอาน้ำดื่มให้เขากลั้วปากแล้วกินอาหารกลางวัน
จากนั้นก็จับเขาใส่เข่งอีกครั้งแล้วแบกตามหาฝูงม้าป่าต่อ
ผู้ใหญ่สองคนทำงาน ส่วนเยี่ยนหังน้อยก็เล่าเรื่องเมื่อชาติก่อนให้พวกเธอฟัง
“…ผมอายุยืนกว่าพี่ กว่าจะตายก็ห้าสิบแล้ว…แต่ผมยกราชบัลลังก์ให้รัชทายาทมู่เวิ่นตอนอายุสี่สิบ จากนั้นผมกับเป่ยหลีก็ไปเยี่ยมดูดินแดนที่อาจารย์กับพี่ตีมาได้…น้าเล็กขอไปเฝ้าประตูเมือง…เย่ว์หยาพี่สาวที่เป็นญาติเรากับหนานมู่พี่เขยมาที่เมืองหลวง พี่เขยมีความสามารถมาก ได้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี…หมอเจียงเฉาที่เอาชนะโรคระบาดได้ถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง…”
เท้าของลู่จือฉินหยุดชะงักทันที เธอหันไปถาม “เยี่ยนหัง เธอบอกว่าหมอเจียงเฉาไปอยู่สำนักหมอหลวงเหรอ”
“ครับ เขาย้ายครอบครัวมาเมืองหลวง บอกมาตามหาความทรงจำในวัยเด็ก…พี่กลับจากเมืองที่มีโรคระบาดก็มักพูดถึงหมอคนดังที่ชื่อเจียงเฉา มีครั้งหนึ่งผมบังเอิญเจอเข้าตอนออกจากวังหลวงไปบ้านตระกูลเย่ว์…”
เยี่ยนหังเล่าให้ฟังว่าตอนบังเอิญเจอครั้งนั้นหมอเจียงเฉาพูดอะไรบ้าง เล่าโดยไม่มีปิดบังให้สองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาฟัง
“ตามหาความทรงจำในวัยเด็กเหรอ” มู่เถาเยาพึมพำเสร็จทันใดนั้นก็กระจ่าง “เจียงเฉา เจียงเฉา อาจารย์…หรือว่า…”
ลู่จือฉินยิ้มพลางพยักหน้า “อาจารย์ก็สงสัยว่าเป็นเขา ตอนเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าเขาหน้าคุ้น แต่ตอนนั้นเขายุ่งมาก…ต่อมาอาจารย์ก็ตาย เลยไม่มีโอกาสได้ไขความจริง…”
เยี่ยนหังเบิกตาโพลง “อาจารย์หมายความว่า หมอเจียงเฉาก็คือลู่จือหมิงที่เราตามหากันมานานเหรอครับ เป็นพี่ชายของอาจารย์”
“อาจารย์คิดแบบนั้น เยี่ยนหัง ต่อมาเขาเจอญาติหรือเปล่า”
“เปล่าครับ เขาบอกว่าสมองของเขาเคยได้รับบาดเจ็บ จำได้ลางๆ ว่าตัวเองเป็นคนเมืองหลวง แต่ต่อมาเขาให้คนสืบเรื่องบ้านเก่าของตระกูลลู่ อยากซื้อมาอยู่เอง บอกว่าถูกใจตั้งแต่แรกเห็น แต่พอรู้ว่าเป็นบ้านของราชครูก็รู้ว่าซื้อไม่ได้ จึงซื้อบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่แทน”
บ้านเก่าของตระกูลลู่ไม่ได้อยู่ในเขตเมืองที่เป็นศูนย์กลาง แต่อยู่ในบริเวณที่ชาวบ้านทั่วไปอยู่อาศัย
เยี่ยนหัง “จริงสิ พี่เคยบอกว่าพี่ชายของอาจารย์ในชาตินี้ก็เคยถูกลักพาตัวไปตอนเด็ก…หรือว่า…มีวาสนาต่อกันจริงๆ เลยครับ!”
มู่เถาเยากับลู่จือฉินยิ้มพลางพยักหน้า ดวงตามีน้ำตาคลอ
คนที่พวกเขาตามหามาหลายสิบปี ต่อให้ไม่ได้พบเจอกัน แต่รู้ว่าสบายดีแค่นี้ก็วางใจแล้ว
เยี่ยนหัง “พวกเราได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว!” หลายวันก่อนเจียงเฉากับภรรยาได้มาที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน เขารู้สึกดีกับทั้งสองคน
ลู่จือฉินทอดถอนใจ “นั่นสิ พวกเราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที”
มู่เถาเยาพูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี “เยี่ยนหัง ได้นัดกับเป่ยหลีไหมว่าชาติหน้าขอให้ได้อยู่ด้วยกันอีก ดีไม่ดีเป่ยหลีอาจมาเกิดที่โลกนี้ด้วยก็ได้”
เยี่ยนหัง “…”
พวกเขานัดกันจริง ขอให้ชาติหน้าได้อยู่ด้วยกัน!
ถ้าเป่ยหลีก็มาด้วย เธอจะหาพวกเขาเจอได้ง่ายๆ
เพราะละครเรื่องราชวงศ์เทียนเยว่ถูกพี่สาวของเขาเขียนโดยอิงจากเรื่องจริงของพวกเขา
แต่เขาไม่ค่อยกล้าคาดหวังมากนัก แม้พวกเขาจะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วก็ตาม!
เพราะคนเราไม่ควรโลภมาก
ทั้งสามคนเดินไปคุยไป เจอฝูงม้าป่าตอนบ่ายสามโมงกว่า
เห็นเกาหม่าที่คล้าย ‘จี๋เฟิง’ ของพี่สาว เสี่ยวเซวี่ยที่คล้าย ‘อิ่นเซวี่ย’ ของอาจารย์ เสี่ยวเหยี่ยคล้าย ‘หลิวอวิ๋น’ ของเขา เยี่ยนหังเกือบน้ำตาพรั่งพรู
แล้วก็หลิวซิงน้อยยังคล้าย ‘จิงเหลย’ ลูกม้าที่เขายกให้มู่เวิ่นลูกชายตัวเอง!
ตอนเขาจับ ‘จิงเหลย’ ได้ก็ตัวเท่านี้พอดีเลย!
นี่ทำให้เขารู้สึกเซอร์ไพรส์มาก
พวกม้าก็รู้สึกเป็นกันเองกับเยี่ยนหัง ปล่อยให้ลูบปล่อยให้ขี่
เล่นกับพวกม้าสักพักมู่เถาเยาก็ไปดูแม่ม้าที่ตั้งท้อง
พอเห็นพวกมันสบายดีจึงพาฝูงม้าวิ่งไปทางหมู่บ้านเถาหยวนซานแบบไม่ช้าไม่เร็ว
ก่อนดวงอาทิตย์ตกดินพวกเขากลับถึงบริเวณที่อยู่ระหว่างเขตป่าชั้นนอกกับหมู่บ้านเถาหยวนซาน เจอตี้อู๋เปียนกับพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานพอดี
“ซาลาเปาน้อย!”
“พี่สาม พวกศิษย์พี่ กลับมาพอดีเลย เอาเถาวัลย์ตี้หวังให้พวกแม่ม้ากับลูกม้ากินก่อนนะ”
ตี้อู๋เปียนวางเถาวัลย์สองมัดใหญ่ในมือลง “คุณอากับพี่ๆ น้องๆ หลานๆ กลับไปกันก่อนเถอะครับ มีสองมัดใหญ่ของผมก็พอแล้ว”
มู่เถาเยารีบพูดขึ้น “เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่ศิษย์หลานคะ วางเถาวัลย์ตี้หวังลงก่อน ให้พวกม้าได้รู้จักทุกคนไว้ วันหน้าถ้าใครว่างก็เอาเถาวัลย์ตี้หวังเข้ามาให้พวกมันกินได้ เอาให้แม่ม้าที่ตั้งท้องกับลูกม้ากิน”
พวกศิษย์พี่ศิษย์หลานได้ฟังก็วางเถาวัลย์ตี้หวังที่อยู่ในมือหรือบนบ่าลง จากนั้นก็เข้าไปเดินรอบๆ ฝูงม้าประหนึ่งเป็นนายแบบ
มู่เถาเยามองพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานที่แสนน่ารัก พยายามกลั้นขำพูดกับพวกม้า “เกาหม่า เสี่ยวเซวี่ย เสี่ยวเหยี่ย ไป๋เสวี่ย หลิวซิง จำพวกเขาเอาไว้นะ วันหน้าพวกเขาจะเอาเถาวัลย์ตี้หวังเข้ามาให้ม้าตั้งท้องบ่อยๆ…ของม้าตั้งท้องกับลูกม้ากิน…” บลาๆๆ
ตี้อู๋เปียนใช้ความสามารถพิเศษแปลคำพูดของมู่เถาเยาให้พวกเกาหม่าฟัง ป้องกันพวกมันไม่เข้าใจว่ามู่เถาเยาพูดอะไร
เกาหม่าร้องฮี้เพื่อแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว
สิบกว่านาทีต่อมามู่เถาเยารู้สึกว่าพวกเกาหม่าน่าจะเข้าใจแล้วจึงให้พวกศิษย์พี่ศิษย์หลานหอบเถาวัลย์ตี้หวังกลับไปก่อน
ตี้อู๋เปียนอยู่ต่อช่วยสองศิษย์อาจารย์ป้อนแม่ม้ากับลูกม้า
เถาวัลย์ตี้หวังสองมัดใหญ่มีอยู่ไม่น้อย แบ่งให้แม่ม้าตั้งท้องกับลูกม้ากินก็ยังเหลือ มู่เถาเยาจึงแบ่งให้แม่ม้าในฝูงกินหน่อย
ถึงแม้ในฝูงจะมีม้าสามร้อยกว่าตัว แต่แม่ม้ามีอยู่แค่ห้าสิบกว่าตัว ล้ำค่ามาก
ม้าตัวผู้ก็ไม่แย่งอาหาร
มู่เถาเยาพอใจมาก