ตอนที่ 480 หมาป่าสองตัวออดอ้อน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนไปถึงถ้ำของราชาหมาป่าขาวในวันที่หกตอนเที่ยง
กินอาหารกลางวันบนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ผิวเรียบ เล่นกับพวกหมาป่าสักพัก จากนั้นทั้งสองคนก็ไปเก็บต้นจื่อตันที่เหลืออยู่ไม่เท่าไร
สองเทาน้อยเติบโตเป็นหมาป่าตัวใหญ่ที่น่าเกรงขามแล้ว รูปร่างบึกบึนไม่แพ้ขาวน้อยผู้เป็นพี่ชาย คนไม่รู้ยังคิดว่าพวกมันไม่เคยร่างกายอ่อนแอมาก่อน
หมาป่าทั้งสองตัวติดหนึบมู่เถาเยา อยากตามเธอไปด้วย
มู่เถาเยาลูบหัวโตๆ ของพวกมันพลางพูด “พอกลับไปฉันก็ไม่มีเวลาเล่นกับพวกแกแล้ว”
อีกสองวันต้องไปปีนเขาหิมะ คาดว่าใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงสิบวัน
ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดก็อาจใช้เวลาถึงครึ่งเดือน อย่างไรเสียก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
หมาป่าทั้งสองออดอ้อนเหมือนเด็กๆ กอดต้นขาของมู่เถาเยาด้วยขาทั้งสี่เหมือนมนุษย์ไม่มีผิด
สองขามีหมาป่าขนนุ่มเกาะอยู่ น่าตลกเหลือเกิน
ตี้อู๋เปียนอดขำไม่ได้ “พวกมันคงเห็นพวกเด็กๆ กอดเธอแบบนี้บ่อยก็เลยเลียนแบบ”
มู่เถาเยาก็รู้สึกขำ
จิ้งจอกน้อยกลับโกรธมาก ส่งเสียงร้องด้วยความโมโหพลางตะกุยสองเทาน้อยเพื่อไล่สองตัวนี้ที่มายึดครองเจ้านายของมัน
“ซาลาเปาน้อย งั้นก็พาพวกมันกลับตำหนักพระจันทร์เถอะ ครั้งนี้พวกมันอยู่ในป่ามานานแล้วด้วย ตอนนี้ตำหนักพระจันทร์มีเด็กๆ อยู่เยอะ แถมยังมีจิ้งจอกน้อย ไม่มีทางเหงา”
อันที่จริงตำหนักพระจันทร์ก็มีเลี้ยงสัตว์น่ารักๆ อย่างสุนัขกับแมว แต่พวกมันกลัวหมาป่า ไม่มีทางมาเล่นด้วยกัน
“ก็ได้” มู่เถาเยาไม่อยากเอาไปก็คงไม่ได้ เพราะสองตัวนี้เกาะขาเธอไม่ปล่อยเลย!
ตี้อู๋เปียนอุ้มจิ้งจอกน้อยมาไว้ในกระเป๋าหน้าของตัวเอง จากนั้นทั้งสองคนก็อุ้มหมาป่าคนละตัว กระโดดขึ้นยอดไม้แล้วกลับหมู่บ้านเหมียวไจ้ก่อนเวลาอาหารเย็น
ครอบครัวเหมียวดีใจมาก ตื๊อให้พวกเขากินข้าวเย็นก่อนค่อยกลับ
เวลานี้เหมียวรุ่ยน้องชายของเหมียวอวี้กำลังทำอาหารเย็นอยู่
วันนี้เป็นช่วงสุดสัปดาห์พอดี ครอบครัวของเขาสามคนจึงมาเยี่ยมพ่อแม่กับพี่สาว
ตี้อู๋เปียนกับมู่เถาเยาตอบตกลงด้วยความยินดี
มู่เถาเยาโทรไปบอกคนที่บ้านก่อน จากนั้นก็ขอนมหนึ่งกล่องจากแม่ของเหมียวอวี้ เทใส่ขวดนมเฉพาะป้อนจิ้งจอกน้อยกิน
พ่อเหมียวอวี้เข้าครัวไปเอาเนื้อหมูที่วันนี้ซื้อกลับมาตอนเช้า คลายความเย็นด้วยน้ำร้อนแล้วป้อนหมาป่าสองตัว
เหมียวอวี้ “เจ้าหญิงน้อยคะ หมาป่ากินจุ ฉันไปซื้อเนื้อให้พวกมันอีกหน่อยดีกว่า”
พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะพาหมาป่ากลับมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะซื้อเยอะอีกหน่อย
“ไม่ต้องหรอกค่ะน้าเหมียว จริงๆ พวกมันกินมาจากในป่าจนอิ่มแล้ว น้าเหมียวจะอยู่ที่เผ่านานเท่าไรคะ”
“ประมาณหนึ่งเดือนค่ะ ย่าเสี่ยวซูอยู่บ้านคนเดียว น้าไม่วางใจ”
ถึงแม้อายุกับสุขภาพของย่าลู่จะยังไม่ถึงขั้นต้องให้คนดูแล แต่คนแก่ขยันจนชิน แถมตอนนี้ก็ไม่มีภาระทางใจ จะต้องอยากออกไปทำสวนแน่นอน เธอกลัวว่าจะเหนื่อยเกินไป
มู่เถาเยาพยักหน้าแล้วมองสองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียว “ตาเหมียวยายเหมียวก็ไปด้วยไหมคะ”
นับตั้งแต่ได้ลูกสาวกลับมาทั้งสองคนก็ไม่ค่อยกลับเผ่าแล้ว
“พวกเราไม่ไปแล้วล่ะ รอเด็กปิดเทอมหน้าหนาวพวกเราค่อยพาไปค้างที่บ้านเสี่ยวซูกับอาจารย์”
เด็กน้อยเหมียวชิงอวิ้นปรบมือแปะๆ พูดด้วยความดีใจ “อื้อๆ หนูจะไปเยี่ยมพี่สาว!”
เวลานี้มีเสียงเพล้งมาจากในครัว
คล้ายมีจานตกแตก
เหมียวอวี้เข้าไปในห้องครัว สักพักก็ช่วยน้องชายประคองเยี่ยเจินน้องสะใภ้ออกมา
“แม่คะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
เด็กน้อยกับย่าวิ่งเข้าไปหาทั้งสามคน
เหมียวรุ่ย “อยู่ๆ เสี่ยวเจินก็หน้ามืดครับ”
“รีบประคองมานั่งเร็วค่ะ ขอฉันตรวจดูหน่อย” มู่เถาเยาพูดจบก็หยิบกล่องยาใบน้อย
ครอบครัวเหมียวรู้สึกผ่อนคลายลง
มีเจ้าหญิงน้อยอยู่ไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน
มู่เถาเยาตรวจชีพจรให้เยี่ยเจินเสร็จก็ยิ้ม “ยินดีด้วยค่ะ พี่สะใภ้ตั้งท้องได้เดือนกว่าแล้วค่ะ”
ครอบครัวเหมียวดีใจขึ้นมาทันที
หลังดีใจเสร็จเหมียวรุ่ยถึงนึกได้ “เจ้าหญิงน้อยครับ แล้วทำไมเสี่ยวเจินถึงหน้ามืดล่ะครับ เป็นโรคอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ต้องเครียดค่ะ ก็แค่น้ำตาลในเลือดต่ำนิดหน่อย ระยะนี้พี่สะใภ้ไม่ค่อยอยากอาหารหรือเปล่าคะ”
เยี่ยเจินพยักหน้า “ค่ะ ระยะนี้เบื่ออาหาร เดิมคิดว่าเป็นเพราะอากาศร้อนเสียอีก”
“ตั้งท้องระยะแรกจะมีอาการหน้ามืด อ่อนล้า ขี้เซา อาการพวกนี้เป็นเรื่องปกติค่ะ มันเป็นปฏิกิริยาอย่างหนึ่งของระบบประสาทที่เกิดในคนท้องระยะแรก พอเบื่ออาหารก็จะน้ำตาลตกได้ง่าย พอน้ำตาลตกก็จะหน้ามืด ตาลาย…”
มู่เถาเยาพูดพลางเขียนเมนูอาหารสำหรับคนท้องให้เยี่ยเจินแล้วกำชับเรื่องอื่นๆ
คนครอบครัวเหมียวพยักหน้าต่อเนื่อง
สองผู้อาวุโสกับเหมียวรุ่ยเข้าไปทำอาหารต่อ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาก็เสร็จ
“ตาเหมียวยายเหมียวฝีมือทำอาหารเป็นเลิศ บนโต๊ะมีครบทั้งรูป กลิ่น สีสัน” มู่เถาเยาชมแบบไม่ขี้เหนียว โดยเฉพาะเรื่องกิน
ยายเหมียวยิ้มพูด “พวกเราอยู่ประเทศเหยียนหวงนาน ก็เลยเอารสชาติของสองประเทศมารวมกัน กลายเป็นรสชาติใหม่ พวกเรารู้สึกว่าใช้ได้เลยทีเดียว แขกที่มาพักที่นี่ก็ให้การตอบรับดี ก็เลยทำให้เจ้าหญิงน้อยกับเจ้าชายลองชิมดูจ้ะ”
มู่เถาเยายิ้ม “งั้นหนูกับพี่สามจะกินเยอะๆ เลยค่ะ”
คนครอบครัวเหมียวย่อมดีใจ
ไม่ได้ครึกครื้นอะไรมาก แต่กินอาหารเย็นกันอย่างอบอุ่น กินเสร็จมู่เถาเยาก็เอาโสมอายุห้าร้อยปีให้สองผู้อาวุโสเอาไปกินบำรุง
คนชราทั้งสองมีหรือจะกล้ารับ เดิมทีพวกเขายังมีบุญคุณที่ต้องตอบแทนด้วยซ้ำ!
“ถือเป็นการแสดงความกตัญญูแทนศิษย์น้องของหนูค่ะ รับไว้เถอะนะคะ แต่ว่าโสมเป็นยาบำรุงขนานใหญ่ พี่สะใภ้ท้องอยู่ยังกินไม่ได้นะคะ”
เยี่ยเจินยิ้มพลางพยักหน้า “จ้ะ ขอบคุณนะคะเจ้าหญิงน้อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรากลับก่อนนะคะ”
ครอบครัวเหมียวออกไปส่งที่ลานจอดรถยกเว้นเยี่ยเจิน
เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนพวกเขาขับรถมาเอง รถจึงจอดอยู่ที่ลานจอดรถหลังบ้านครอบครัวเหมียวตลอด
ตอนมู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนกลับถึงตำหนักพระจันทร์ ทุกคนกำลังรอพวกเขากลับมาอยู่ในห้องรับแขก
พอเห็นทั้งสองคนกลับมาอย่างปกติสุขดี คนตระกูลเย่ว์ถึงวางใจได้อย่างแท้จริง
สองเด็กน้อยตระกูลเย่ว์ มู่เหยากับข่ายเกอต่างเคยเห็นสองเทาน้อยแล้ว เยี่ยจั๋วเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก แต่เขาก็ไม่กลัว
พวกเด็กๆ เล่นกับสองหมาป่าหนึ่งจิ้งจอกอย่างสนุกสนาน มีแค่เยี่ยนหังน้อยที่เอาแต่จับมือพี่สาวไม่ยอมปล่อย
สองพี่น้องคุยกันอยู่สักพักเย่ว์เลี่ยงถึงดึงลูกชายออกมาอย่างจนปัญญา “เอาล่ะเยี่ยนหัง ให้พี่สาวไปอาบน้ำก่อนนะ”
ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่พวกเขาเนื้อตัวสกปรก แต่พอสะอาดแล้วก็จะรู้สึกสบายกว่ามาก
ย่าเย่ว์พยักหน้า “นี่ก็มืดค่ำแล้ว เดี๋ยวเสี่ยวเยาเยากับอู๋เปียนไม่ต้องลงมาหรอก พักผ่อนสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ยังไงพรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์ ไม่มีใครต้องไปทำงาน”
ทุกคนย่อมไม่ติดขัดอะไร
มู่เถาเยา “งั้นหนูขอเอาต้นจื่อตันไปปลูกก่อน ปีนเขากลับมาค่อยทำยาเก็บไว้”
เย่ว์หลั่ง “ลูกพ่อ เดี๋ยวพ่อช่วยเอาไปปลูกในสวนให้นะ”
เป่ยซี “ใช่จ้ะ พ่อกับแม่จะช่วยปลูกให้”
“ได้ค่ะ”