ตอนที่ 1306 ขุนนางคนสำคัญ
“ข้ามอบหมายเรื่องนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นคนจัดการแล้วเจ้าค่ะ หากผิดจริงก็ควรรับโทษตามกฎหมายเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับต่งซื่อ
“ต้องคืนความยุติธรรมให้ชาวบ้านและให้คนสูงศักดิ์ในต้าโจวรับรู้ว่าต้าโจวในตอนนี้ไม่เหมือนกับต้าจิ้นในตอนนั้นที่คนที่มีอำนาจและเงินทองจะทำตามใจชอบได้ทุกอย่างอีกต่อไปเจ้าค่ะ”
“ข้าคิดว่าควรลงโทษพวกเขาให้หนักเพราะพวกเขาคือเชื้อพระวงศ์” ฮูหยินสองหลิวซื่อกล่าวขึ้น
“ทำตามกฎหมายก็พอ หากทำเกินความจำเป็นชาวบ้านอาจคิดว่าตระกูลไป๋กำลังแสดงละครตบตาพวกเขาอยู่ ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้…” ฮูหยินห้าฉีซื่อกล่าวขึ้น
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ ตอนนี้ประมุขไป๋กำลังจะแก้ไขกฎของตระกูลให้ร้ายแรงกว่ากฎหมายของต้าโจวอยู่เจ้าค่ะ หากพวกเขาทำผิดอีกก็ลงโทษด้วยกฎของตระกูลก็สิ้นเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่ไป๋ชิงเหยียนกำลังสนทนากับมารดาและบรรดาอาสะใภ้อยู่ เว่ยจงเข้ามารายงานว่าเสิ่นเทียนจือมาถึงแล้ว
เว่ยจงเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าฉากกั้น จากนั้นรายงานเสียงเบา “ฝ่าบาท เสนาบดีเสิ่นของกรมโยธามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนที่เพิ่งตักนมร้อนเข้าปากได้คำเดียวรับคำ นางรีบดื่มนมจนหมดถ้วยแล้วก้มลงหอมลูกน้อยทั้งสองของตัวเอง จากนั้นเดินไปยังห้องหนังสือทันที
ระหว่างทางไป๋ชิงเหยียนสั่งให้เว่ยจงส่งคนไปตามต่งฉางหยวนและหลี่หมิงรุ่ยมาพบนางด้วย
ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนเดินไปถึงห้องหนังสือเสิ่นเทียนจือในชุดขุนนางยืนรอนางอยู่ที่หน้าห้องหนังสือก่อนแล้ว ไป๋ชิงเหยียนเห็นเสิ่นเทียนจือล้วงผ้าเช็ดหน้าจากแขนเสื้อออกมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าจึงชะงักฝีเท้าลง จากนั้นกล่าวกับเสิ่นเทียนจือยิ้มๆ “ใต้เท้าเสิ่นมาเร็วจริง”
“คารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเทียนจือรีบเก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน
“เชิญใต้เท้าเสิ่นด้านใน” ไป๋ชิงเหยียนเดินนำเสิ่นเทียนจือเข้าไปในห้องหนังสือ
เสิ่นเทียนจือเดินตามไป๋ชิงเหยียนเข้าไปนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือในห้อง เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนบอกว่าอยากให้เสิ่นเยี่ยนอันบุตรชายคนโตของเรารับหน้าที่ดูแลค่ายทหารผิงอันต่อจากไป๋ชิงผิงจึงเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงนึกถึงบุตรชายของกระหม่อม…”
“ใต้เท้าเสิ่นสอนบุตรได้ดี แม้พวกเขาจะยังเด็ก ทว่า มีความสามารถมาก!”
ไป๋ชิงเหยียนยกชาขึ้นจิบ
“เสิ่นเยี่ยนฉงปฏิบัติงานในเมืองหานได้โดดเด่นมาก เกาอี้จวิน ฉินหล่าง หลู่หยวนชิ่งและเฉินเจาลู่ล้วนเคยเอ่ยถึงเขาในฎีกาที่ส่งมาให้ข้า พวกเขากล่าวว่าเสิ่นเยียนฉงมีส่วนช่วยสนับสนุนให้การปกครองระบอบใหม่ดำเนินไปอย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก”
ใบหน้าของเสิ่นเทียนจือเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารีบกล่าวขึ้น “ต้าโจวของพวกเราเป็นแคว้นใหญ่ มีคนมีความสามารถมากมาย ฝ่าบาททรงสนับสนุนเยี่ยนฉงเขาจึงมีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเองเช่นนี้ กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกขำกับคำกล่าวของเสิ่นเทียนจือ
“ใต้เท้าเสิ่นคือสหายของบิดาข้า ตอนอยู่ที่เมืองซั่วหยางไม่เคยเห็นท่านจะเกรงใจข้าถึงเพียงนี้ เหตุใดตอนนี้ใต้เท้าเสิ่นจึงกลายเป็นคนแบบเดียวกับนายอำเภอโจวไปเสียแล้ว”
ตั้งแต่ที่เสิ่นเทียนจือถูกย้ายมารับตำแหน่งในเมืองหลวงตำแหน่งเจ้าเมืองซั่วหยางคนต่อไปจึงตกเป็นของนายอำเภอโจว ตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนควรเรียกเขาว่าเจ้าเมืองโจวถึงจะถูก ทว่า ไป๋ชิงเหยียนยังชินที่จะเรียกเขาว่านายอำเภอโจว เพราะตอนนั้นนายอำเภอโจวทำให้นางจำได้ดีจนถึงวันนี้
เสิ่นเทียนจือหัวเราะออกมาน้อยๆ เมื่อแน่ใจว่าไป๋ชิงเหยียนยังคงเป็นไป๋ชิงเหยียนคนเดิมเขาจึงเลิกเลียนแบบพฤติกรรมของนายอำเภอโจว จากนั้นกล่าวขึ้นยิ้มๆ
“เดิมทีกระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีแห่งต้าโจวแล้ว ย่อมไม่เหมือนกับตอนที่ฝ่าบาทยังเป็นเพียงองค์หญิงเจิ้นกั๋ว นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทยังคงเหมือนเดิม ทว่า เมื่อเอ่ยถึงใต้เท้าโจว…”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางเสิ่นเทียนจืออย่างรู้สึกสนใจสิ่งที่เขาจะกล่าวต่อขึ้นมาทันที
“ใต้เท้าโจวผู้นี้มีข่าวกรองที่รวดเร็วและความรู้สึกไวมากพ่ะย่ะค่ะ หลังจากราชสำนักติดประกาศกระดาษคำตอบของบัณฑิตไปได้ไม่กี่วันใต้เท้าโจวก็เดินทางมาถามกระหม่อมที่เมืองหลวงว่าต่อไปราชสำนักจะใช้แบบร่างการตรวจสอบและประเมินขุนนางมาใช้ตรวจสอบขุนนางในราชสำนักใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ไป๋ชิงเหยียนให้ไทเฮาต่งซื่อเป็นตัวแทนมอบตำแหน่งอันดับหนึ่งของระดับสองให้ต่งถิงเจินเสิ่นเทียนจือก็เริ่มเอะใจแล้ว ต่อมาไทเฮาสั่งให้คนติดกระดาษคำตอบของเหล่าบัณฑิตให้ทุกคนได้รับรู้ เสิ่นเทียนจือจึงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการทำสิ่งใดต่อไป
เขารู้ทันทีว่าต่อไปต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงกับระบบตรวจสอบและประเมินขุนนางในราชสำนัก
เมื่อก่อนใต้เท้าโจวชอบนำเรื่องทุกอย่างมาปรึกษากับเสิ่นเทียนจือตอนที่เขายังอยู่ในซั่วหยาง ครั้งนี้เมื่อใต้เท้าโจวเห็นกระดาษคำตอบของเหล่าบัณฑิตจึงเริ่มรู้สึกเอะใจและแอบมาพบเสิ่นเทียนจือที่เมืองหลวง
เสิ่นเทียนจือไม่ได้ตอบใต้เท้าโจวไปตรงๆ ได้แต่กล่าวเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ทว่า เขาเห็นแก่ที่ใต้เท้าโจวไม่ใช่ขุนนางที่เห็นชีวิตชาวบ้านเป็นผักเป็นปลา เขาเพียงแค่ชอบประจบประแจงเจ้านายและผู้มีอำนาจมากไปเท่านั้นจึงเอ่ยเตือนให้ใต้เท้าโจวปฏิบัติตัวให้อยู่ในศีลธรรมและกฎของบ้านเมือง
เขากำชับใต้เท้าโจวว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าโจวชอบประจบองค์หญิงเจิ้นกั๋วตอนที่อยู่ที่ซั่วหยาง เช่นนั้นตอนนี้ก็จงช่วยสนับสนุนระบอบการปกครองของจักรพรรดินีต่อไป อย่าต่อต้านระบอบการปกครองใหม่เด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาอาจเดือดร้อนเป็นคนต่อไป
ใต้เท้าโจวเข้าใจเรื่องทุกอย่างขึ้นทันที เขารีบโค้งกายคารวะเสิ่นเทียนจือ จากนั้นเดินทางกลับซั่วหยางทันที เขาตั้งใจว่าจะกลับไปสร้างผลงานที่โดดเด่นในซั่วหยางสักสองสามผลงาน จะไม่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบที่เคยทำอีกต่อไป มิเช่นนั้นเขาคงรักษาตำแหน่งเจ้าเมืองซั่วหยางไว้ต่อไปไม่ได้
ไป๋ชิงเหยียนได้ยินเสิ่นเทียนจือกล่าวเช่นนี้จึงกำถ้วยชาในมือไว้หลวมๆ พลางมองไปทางเสิ่นเทียนจือ
“ใต้เท้าเสิ่นคิดว่าใต้เท้าโจวเป็นคนเช่นไร”
“ความจริงใต้เท้าโจวเป็นคนมีความสามารถอยู่พอตัว เขาประจบคนเก่งและชอบประจบคน ที่สำคัญเขาเอาตัวรอดเก่งมาก ต้องดูว่าเบื้องบนจะใช้งานเขาเช่นไร หากเบื้องบนใช้งานเขาดีคนผู้นี้สามารถใช้งานได้พ่ะย่ะค่ะ! ทว่า หากเบื้องบนไม่ดี ลูกน้องอย่างเขาก็คงพลอยไม่ดีตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นเทียนจือกล่าวอย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นใต้เท้าเสิ่นก็ช่วยจับตาดูใต้เท้าโจวให้ข้าด้วย หากการสอบประเมินปีหน้าเขาทำได้ดี…ก็เลื่อนตำแหน่งเขามาใช้งานได้”
เสิ่นเทียนจือได้ยินเช่นนี้จึงยิ้มออกมา จากนั้นกล่าวอย่างจริงใจ
“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ เห็นแก่ที่ใต้เท้าโจวเคยออกไปต้อนรับฝ่าบาทที่นอกเมืองซั่วหยางพร้อมกับกระหม่อม หากพอช่วยได้กระหม่อมก็จะช่วยสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนได้ยินเสิ่นเทียนจือกล่าวเช่นนี้จึงถึงนึกเรื่องที่เสิ่นเทียนจือและใต้เท้าโจวออกไปส่งและต้อนรับนางที่นอกเมืองซั่วหยางทุกครั้งที่นางจากไปหรือกลับมาขึ้นมาทันที
ตอนนั้นใต้เท้าโจวทำเพื่อหนทางข้างหน้าของตัวเอง ทว่า เสิ่นเทียนจือทำเพื่อตรวจสอบนางว่าบุตรสาวของไป๋ฉีซานเป็นคนเช่นไรกันแน่ คู่ควรให้เขากลายเป็นทางรอดของตระกูลไป๋หรือไม่!
เสิ่นเทียนจือคือคนที่ท่านพ่อของนางให้ความสำคัญดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนิสัยของคนผู้นี้ ตอนนี้นางพยายามสนับสนุนจนเขาได้เป็นเสนาบดีกรมโยธาแล้ว นางเชื่อว่าสักวันเสิ่นเทียนจือต้องกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของต้าโจวได้อย่างแน่นอน