ตอนที่ 1326 จักรพรรดิผู้ทรงคุณธรรม
เสนาบดีเมิ่งยังกล่าวในจดหมายอีกว่าผู้ที่ช่วยให้เมิ่งเจาหรงหนีออกไปจากต้าเยี่ยนคือพ่อค้านามชุยเฟิ่งเหนียน ฮูหยินของเขาก็ยอมรับแล้วเช่นเดียวกัน เขาให้คนไปพาพ่อค้าผู้นั้นมาสอบถาม ชุยเฟิ่งเหนียนยอมรับว่าตนหลงรักเมิ่งเจาหรง ชุยเฟิ่งเหนียนได้ยินว่าไทเฮาจะพระราชทานสมรสให้ผู้สำเร็จราชการกับเมิ่งเจาหรง เขาไม่อยากให้หญิงสาวแต่งงานกับผู้สำเร็จราชการจึงยุให้เมิ่งเจาหรงหนีไปจากต้าเยี่ยน เขาส่งเมิ่งเจาหรงไปยังอำเภอเฟิงและมอบร้านค้าให้นางหนึ่งร้าน หากผู้สำเร็จราชการไม่เชื่อเมื่อกลับไปถึงต้าเยี่ยนสามารถสอบถามความจริงจากชุยเฟิ่งเหนียนได้ สามารถส่งคนไปสืบเรื่องนี้ที่อำเภอเฟิงได้เช่นเดียวกัน
เสนาบดีเมิ่งเขียนวิงวอนในจดหมาย เขาเขียนความจริงประมาณเก้าส่วนผสมกับเรื่องโกหกอีกหนึ่งส่วนจึงทำให้คนที่อ่านอาจคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย
น่าเสียดายที่คนฉลาดอย่างเสนาบดีเมิ่งกลับมีบุตรสาวอย่างเมิ่งเจาหรงที่งดงามเพียงใบหน้า…ทว่า ไร้สมองโดยสิ้นเชิง หญิงสาวอวดฉลาดคิดว่าตัวเองเก่งกาจกว่าผู้อื่น สามารถควบคุมผู้อื่นให้อยู่ในกำมือของตัวเองได้
แทนที่จะกล่าวว่าชุยเฟิ่งเหนียนหลงรักเมิ่งเจาหรง ยุให้นางหนีไปจากต้าเยี่ยนไม่สู้กล่าวว่าเมิ่งเจาหรงหลอกใช้ประโยชน์จากความรักที่ชุยเฟิ่งเหนียนมีต่อนางจะดีกว่า
แม้เซียวหรงเหยี่ยนจะไม่ค่อยอยู่ในต้าเยี่ยน ทว่า เขาไม่ได้หูหนวกตาบอดจนไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในต้าเยี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสนาบดีเมิ่งคือขุนนางที่ไทเฮาให้ความสำคัญ เซียวหรงเหยี่ยนจึงให้คนจับตาดูเขาเป็นพิเศษ
เมื่อเซียวหรงเหยี่ยนอ่านจบหมายจบเขาจึงหยิบตะเกียงบนโต๊ะเข้ามาใกล้ตัว จากนั้นเผาจดหมายทิ้ง
หวังหานปิงยืนนิ่งรอคำสั่งจากเซียวหรงเหยี่ยนอยู่ด้านข้าง เขาดูเหมือนไม่ได้สนใจเนื้อหาในจดหมายของเสนาบดีเมิ่งแม้แต่น้อย
“ต่อไปเจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องจดหมายลับเหล่านี้ จงจำไว้ว่าเจ้าคือขุนนางบริสุทธิ์ หากผู้อื่นให้เจ้านำจดหมายไปส่งให้ผู้ใดจงจำไว้ว่าเจ้าต้องเปิดอ่านเนื้อหาในจดหมายก่อน จากนั้นรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทรับรู้ทันที!”
เซียวหรงเหยี่ยนมองดูจดหมายที่ถูกไฟเผาไหม้จนเหลือแต่เถ้านิ่ง จากนั้นหันไปกล่าวกับหวังหานปิง
“ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าจงคิดให้ดีว่าจะรับมือกับใต้เท้าหลิ่วของต้าโจวเช่นไร หลิ่วหรูซื่อผู้นั้นมีวาทศิลป์ที่ร้ายกาจมาก ฝ่าบาททรงใช้งานเจ้าเพราะเจ้ามีความสามารถเรื่องวาทศิลป์และความรู้กว้างขวาง!”
หวังหานปิงโค้งกายคำนับเซียวหรงเหยี่ยน
“ผู้สำเร็จราชการไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ข้า…กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!”
หวังหานปิงเดินออกมาจากห้องนอนของเซียวหรงเหยี่ยน เขาจำคำสั่งของเซียวหรงเหยี่ยนได้จึงรีบกลับไปเขียนรายงานเรื่องจดหมายของเสนาบดีเมิ่งส่งไปให้มู่หรงลี่ที่ต้าเยี่ยน เขากล่าวในจดหมายว่าเขากลัวผู้สำเร็จราชการจะจับพิรุธได้จึงไม่กล้าเปิดจดหมายออกอ่านก่อน
เดิมทีเขาตั้งใจจะวางพู่กันลงแล้ว ทว่า เมื่อคิดทบทวนให้ดีเขาจึงตัดสินใจเขียนเรื่องที่ผู้สำเร็จราชการได้รับบาดเจ็บในวังหลวงหลังเข้าเฝ้าจักรพรรดินีแห่งต้าโจวลงไปในจดหมายด้วย
เมื่อเขียนเสร็จ รอจนหมึกแห้งเรียบร้อย หวังหานปิงจึงพับจดหมายและให้คนขี่ม้าเร็วส่งไปให้ฝ่าบาทที่เมืองหลวงของต้าเยี่ยน
หวังหานปิงมองดูคนขี่ม้าเร็วจากไป หากคำนวณดูจากเวลาแล้วคนส่งสารน่าจะออกไปจากเมืองหลวงทันก่อนประตูเมืองปิดในวันนี้
ที่จริงเขายังคิดไม่ตกอยู่เรื่องหนึ่ง ทุกคนล้วนกล่าวกันว่าผู้สำเร็จราชการมีใจทะเยอทะยานอยากดึงฝ่าบาทลงมาจากบัลลังก์
หวังหานปิงก็รู้สึกว่าผู้สำเร็จราชการเหมาะจะเป็นจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนมากกว่าจักรพรรดิองค์น้อยมู่หรงลี่ ทว่า เหตุใดผู้สำเร็จราชการจึงไม่เข้าแทนที่จักรพรรดิองค์น้อยเสียที จากการกระทำที่ผ่านมาของผู้สำเร็จราชการเขาไม่น่ากลัวคำครหาของผู้อื่นถึงจะถูก
ที่สำคัญใต้หล้าแห่งนี้ผู้ชนะเป็นจักรพรรดิ ผู้พ่ายแพ้ล้วนเป็นกบฏอยู่แล้ว ความจริงชาวบ้านไม่ได้สนใจสักเท่าใดว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นจักรพรรดิของแคว้น ขอเพียงจักรพรรดิองค์นั้นทำให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็พอ จีโฮ่วในตอนนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่แล้ว!
ตอนที่จีโฮ่วปกครองแคว้นมีแต่คนก่นด่า ต่อมาเมื่อจักรพรรดิต้าเยี่ยนฟื้นคืนสติและสังหารจีโฮ่ว ชาวบ้านเหล่านั้นกลับนึกถึงการปกครองของจีโฮ่วขึ้นมา ต่อมาเมื่อต้าเยี่ยนพ่ายแพ้ให้กับต้าจิ้น จักรพรรดิมู่หรงอวี้ย้ายออกมาจากเมืองหลวง ชาวบ้านเหล่านั้นยอมทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอพยพตามจักรพรรดิมู่หรงอวี้ไปยังดินแดนใหม่เพราะมู่หรงอวี้คือสายเลือดของจีโฮ่วและเขายืนกรานที่จะใช้ระบอบการปกครองของจีโฮ่วอยู่
ผู้สำเร็จราชการไม่ได้บอกหวังหานปิงอย่างชัดเจนดังนั้นหวังหานปิงจึงไม่รู้ว่าผู้สำเร็จราชการต้องการให้เขากลายเป็นตะปูตัวที่ลึกที่สุดข้างกายจักรพรรดิมู่หรงลี่ หรือความจริงแล้วผู้สำเร็จราชการแค่แสดงออกให้คนภายนอกเห็นว่าเขาต้องการบัลลังก์ของจักรพรรดิมู่หรงลี่เท่านั้น แท้ที่จริงผู้สำเร็จราชการอาจเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนมากที่สุดเพื่อที่…
หวังหานปิงเบิกตาโพลง แสงไฟจากตะเกียงในที่พักส่องสะท้อนแววตาดำขลับของหวังหานปิงจนเป็นประกาย
ผู้สำเร็จราชการทำเรื่องโหดร้ายทั้งหมดด้วยตัวเองเพียงเพราะต้องการปกป้องจักรพรรดิองค์น้อยเท่านั้น เขาต้องการให้จักรพรรดิองค์น้อยกลายเป็นจักรพรรดิที่ทรงคุณธรรมและไร้ซึ่งมลทิน
หวังหานปิงกำหมัดของตัวเองแน่น เมื่อเข้าใจเรื่องทุกอย่างเขารู้สึกใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
เช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นขุนนางกบฏเช่นเดียวกับผู้สำเร็จราชการ ทว่า ผู้สำเร็จราชการเสียสละตัวเองเกินไปหรือไม่นะ
เซียวหรงเหยี่ยนนั่งลูบถุงเงินลายห่านป่าที่หยกจักจั่นที่ไป๋ชิงเหยียนมอบให้อยู่ใต้แสงไฟด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เฝิงเย่าถือชาร้อนเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นเซียวหรงเหยี่ยนไม่ได้เก็บของบนโต๊ะลงจึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ
“คุณหนูใหญ่มอบให้นายท่านหรือขอรับ”
เซียวหรงเหยี่ยนพยักหน้า เขากล่าวกับเฝิงเย่าด้วยน้ำเสียงโอ้อวดและมีความสุขอย่างไม่คิดปิดบัง
“ใช่ นี่คงเป็นครั้งแรกที่อาเป่าเย็บถุงเงินเช่นนี้ แม้จะดูออก ทว่า นางเก็บด้ายได้เรียบร้อยมาก”
“คุณหนูใหญ่ไม่ถนัดเรื่องปักเย็บเช่นเดียวกับจีโฮ่วขอรับ”
เฝิงเย่าเห็นถุงเงินใบนั้นแล้วอดนึกถึงเจ้านายของตัวเองขึ้นมาไม่ได้
“จีโฮ่วและคุณหนูใหญ่เป็นคนมีปณิธานยิ่งใหญ่เหมือนกัน พวกนางคงไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านี้เพราะยังมีเรื่องอีกมากมายให้พวกนางทำ งานฝีมือเหล่านี้ใช้เวลามากเกินไป ทว่า คุณหนูใหญ่ยินดีเสียเวลาเย็บถุงเงินให้นายท่านแสดงว่านายท่านมีความสำคัญต่อคุณหนูใหญ่มากขอรับ”
“ข้ารู้…”
เซียวหรงเหยี่ยนยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาหันไปมองเฝิงเย่าพลางกล่าวยิ้มๆ
“วันนี้ข้ารีบร้อนเข้าวังจึงไม่ได้พาลุงเฝิงไปด้วย อีกไม่นานคุณหนูใหญ่จะจัดงานเลี้ยงในวัง ถึงเวลานั้นข้าจะพาลุงเฝิงไปพบหน้าลูกทั้งสองของข้าด้วย!”
เฝิงเย่าได้ยินดวงตาจึงเปล่งประกายขึ้นทันที
“ดีขอรับ ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้คุณหนูน้อยทั้งสองด้วย หากได้พบหน้าคุณหนูทั้งสอง วันหน้าหากข้าไปพบหน้าจีโฮ่วจะได้เล่าให้นางฟังได้ว่าคุณหนูน้อยทั้งสองน่ารักเพียงใดขอรับ”
เซียวหรงเหยี่ยนนึกถึงเด็กน้อยทั้งสองที่น่ารักราวกับรูปแกะสลัก ดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองกลมโตราวกับลูกองุ่น ขนตายาวเป็นแพ เมื่อนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขาแก้มทั้งสองข้างยุ้ยจนน่าขย้ำ พวกเขาเปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟในตำหนัก ใจของเซียวหรงเหยี่ยนอ่อนยวบลงทันที
“หากเสด็จแม่ยังอยู่ต้องชอบพวกเขาทั้งคู่มากแน่ๆ”
เซียวหรงเหยี่ยนก้มมองหยกจักจั่นในมือ เขาเก็บหยกจักจั่นไว้ในถุงเงิน จากนั้นใส่ไว้แนบอกของตัวเองพลางลูบเบาๆ
“เมื่อใต้หล้ารวบรวมเป็นหนึ่งสำเร็จข้าจะพาอาเป่า ลูกทั้งสองและลุงเฝิงย้ายไปอยู่ที่ไป๋ว่อ”
“ขอรับ ข้าจะพยายามมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้น จะเดินทางไปยังไป๋ว่อกับนายท่านและคุณหนูน้อยขอรับ!”
เฝิงเย่ายิ้มกว้างกว่าเดิม รอยเหี่ยวย่นบริเวณดวงตาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม