ตอนที่ 441 ฉันมีความทรงจำจากชาติที่แล้ว
ตอนที่ 441 ฉันมีความทรงจำจากชาติที่แล้ว
หลินเซี่ยมองดูท่าทางมุ่งมั่นของชายตรงหน้าที่ยอมตายดีกว่ายอมเสียใจ เธอก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ แน่นอนว่าทัศนคติของเขาทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งและมีความสุขมากขึ้น
เธอไม่มีวันยอมให้เขาพาหู่จือไปขายเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ให้เธอแน่
เธอมองเขา ขอคำยืนยันกับเขาอย่างใจเย็นที่สุด “คุณยอมเห็นด้วยจริง ๆ เหรอ?”
เฉินเจียเหอถามหน้านิ่ง “ผมยังมีทางเลือกอื่นอยู่หรือไง?”
หลินเซี่ย “ไม่มีค่ะ”
เธอลุกขึ้น เดินไปหาเขาจับใบหน้าเขาไว้แล้วจูบเขาแรง ๆ ที่หน้าผาก “ที่รัก ในที่สุดก็ยอมเข้าใจฉันสักที ขอบคุณมากนะ ฉันเลือกแต่งงานไม่ผิดคนเลยจริง ๆ ไม่ต้องกังวลค่ะ ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันจะทำให้คุณได้รับเงินโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักหยวน และจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้คุณกับหู่จือมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
รอยจูบทำให้เฉินเจียเหอหายอารมณ์เสียทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความสมเพชในตัวเอง ถามว่า “ภรรยา คุณแน่ใจจริง ๆ เหรอ? ผมไม่อยากให้คุณต้องมาทำงานหนักเพื่อหาเงินใช้หนี้ทีหลังเลย”
หลินเซี่ยกำหมัดแน่นและให้สัญญาว่า “แน่ใจได้เลยค่ะ”
เฉินเจียเหอมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ “แล้วทำไมคุณถึงได้มั่นใจขนาดนั้น?”
พูดตามหลักการแล้ว เซี่ยไห่ไม่ใช่คนโง่ ภรรยาของเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
แต่ทำไมครั้งนี้พวกเขาถึงได้คิดเห็นแตกต่างกันแบบนี้?
เซี่ยไห่แทบจะเขียนเครื่องหมายกากบาทตัวโต ๆ ตราหน้าโครงการดังกล่าว ในขณะที่หลินเซี่ยเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เธอเอาความกล้าหาญในการลงทุนเป็นเงินสามแสนหยวนมาจากไหน?
ภรรยาของเขาค้นพบคุณสมบัติพิเศษบางอย่างในตัวเถ้าแก่อู๋ผ่านสายตาที่เฉียบคมของเธอจากอะไร?
นี่คือสิ่งที่เฉินเจียเหอไม่สามารถเข้าใจได้
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ทันใดนั้น หลินเซี่ยก็ขยับเข้าไปใกล้หูของเขา และกระซิบอย่างลับๆ ล่อๆ
“บอกตามตรง ฉันมีความทรงจำมากมายหลงเหลือมาจากชาติที่แล้ว ฉันถึงได้รู้ว่าในอนาคตโครงการของอู๋เซิ่งหงจะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้อย่างแน่นอน”
เฉินเจียเหอ “???”
หลินเซี่ยรู้ว่าต่อให้เฉินเจียเหอจะยอมประนีประนอมเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่หัวใจของเขาก็ยังคงมีข้อกังขา
ดังนั้น หลินเซี่ยจึงไม่อยากโหดร้ายกับเขา ตัดสินใจว่าจะบอกความลับเรื่องการเกิดใหม่ของตัวเองให้เขาฟัง
ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่เธอมอบให้เขาในเวลานี้คงดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับเขาไปเสียหมด
ถึงเฉินเจียเหออาจคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูไร้สาระยิ่งกว่าเมื่อเธอพูดเรื่องการเกิดใหม่ก็ตาม
แต่ความลับนี้ถูกเก็บซ่อนอยู่ในใจของเธอมานาน เธอไม่เคยรู้สึกสบายใจ จึงเลือกสารภาพกับเขาในวันนี้
เห็นได้ชัดว่าเขาแสดงออกว่าต้องการตำหนิ
หลินเซี่ยเผชิญกับสีหน้าน่ากลัวของเขา พยายามเรียกคืนความไว้วางใจด้วยการอ้างอิงข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่าง ๆ
“นอกจากฉันจะรู้ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งหงของอู๋เซิ่งหงจะยิ่งใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น และในอนาคตเขาจะกลายเป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ฉันยังรู้ด้วยว่าโรงงานยานยนต์ของคุณจะผลิตรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า แล้วคุณก็จะกลายเป็นแกนนำหลักของแผนกวิจัยและพัฒนารถไฟฟ้า ถ้าการคาดเดาของฉันไม่ผิดพลาด ตอนนี้คุณน่าจะกำลังก่อสร้างและปรับแก้จุดบกพร่องของเครื่องยนต์สันดาปรุ่นตงเฟิงหมายเลข 11 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการและนำไปใช้จริงภายในปีหน้า…”
เมื่อเธอพูดมาถึงนี้ จู่ ๆ เฉินเจียเหอก็เอื้อมมือไปปิดปากเธอไว้ด้วยสีหน้าตะลึงลาน มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
อารมณ์ของเขาน่ากลัวมาก หลินเซี่ยคิดว่าเขาน่าจะตกตะลึงเกินไป จึงพูดอย่างระมัดระวัง
“ฉันบอกแล้วว่าฉันมีความทรงจำมาจากชาติก่อน คุณต้องเชื่อฉันนะ โครงการของอู๋เซิ่งหงไม่มีทางล้มเหลวจนสูญเงินเปล่า แล้ววันข้างหน้าตัวคุณเองก็จะกลายเป็นวิศวกรแกนนำหลักของแผนกวิจัยและพัฒนารถไฟฟ้า เราทุกคนจะมีอนาคตที่สดใส”
“ความทรงจำจากชาติก่อนอะไรกัน อย่าเอาแต่พูดจาไร้สาระ” เฉินเจียเหอเหลือบมองไปทางประตูอย่างระมัดระวัง ลดเสียงลง มองเธอแล้วถามว่า “หลินเซี่ย บอกหน่อยว่าคุณไปได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับแผนวิจัยและพัฒนาหัวรถจักรเครื่องยนต์สันดาปตงเฟิงหมายเลข 11 ของโรงงานเรามาจากไหน?”
หลินเซี่ยสะดุ้งกับการแสดงออกของเขา เธอมองตาเขา ราวกับว่าตอนนี้เขากำลังสอบปากคำอาชญากร เพิ่งรู้ก็ในตอนที่ข้อมูลที่เธอหยิบยกมาพูดถึงอาจเป็นความลับสุดยอดสำหรับเฉินเจียเหอในตอนนี้
เขาน่าจะคิดว่าเธอเป็นสายลับ ขโมยความลับหลักจากแผนกวิจัยและพัฒนาของโรงงานยานยนต์พวกเขาสินะ?
เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาคาดคั้นไม่หยุดหย่อน จนต้องเธออธิบายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เฉินเจียเหอ อย่ามองฉันด้วยสายตาน่ากลัวแบบนั้นสิ ฉันไม่ใช่สายลับของใคร ข้อมูลที่ฉันรู้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณชนโดยกรมการรถไฟ หลังจากมันเปิดใช้งาน ก็มีการตีพิมพ์ลงตำราเรียนด้วยนะ”
ใบหน้าของเฉินเจียเหอยังไม่หายน่าเกลียด สายตาดุดันราวกับจะกดหลินเซี่ยให้จมลงให้ได้
เธอพูดต่อว่า “เวลานั้นคุณไม่ได้เอาข้อมูลใด ๆ กลับมาบอกครอบครัวของตัวเอง แล้วคุณก็ไม่ได้เปิดเผยความลับเรื่องงานใด ๆ ให้ฉันรู้ ฉันรู้แค่กระบวนการวิจัยและพัฒนารถไฟฟ้าที่ถูกเปิดเผยในอีกสิบปีข้างหน้า แต่ฉันไม่รู้อะไรในส่วนขั้นตอนการวิจัย หรือแผนการพัฒนาปรับแก้ภายในโรงงานคุณเลย อย่ามองฉันเหมือนเห็นสายลับสิ ข้อมูลพวกนี้มีอยู่ในความทรงจำชาติก่อนของฉันจริง ๆ ใช่ว่าฉันไปสืบรู้มันมาจากช่องทางผิดกฎหมายซะหน่อย”
หลินเซี่ยรู้สึกเสียใจที่ตัวเองตัดสินใจเปิดเผยเรื่องการเกิดใหม่ของเธอกับเฉินเจียเหออย่างหุนหันพลันแล่น เฉินเจียเหอเป็นทหาร ได้รับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก พอเธอพูดออกไปแบบนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่เชื่อในสิ่งที่เรียกว่าอดีตชาติ หรือทฤษฎีความทรงจำในชีวิตก่อนหน้า แต่ยังทำท่าเหมือนเห็นเธอเป็นนักล้วงข้อมูล
ไม่ว่าเธอจะอธิบายอย่างไร ใบหน้าของเฉินเจียเหอก็มืดมนและซับซ้อนอยู่เสมอ ทั้งยังไม่หยุดจ้องมองเธอด้วยสายตาที่น่ากลัว
การแสดงออกของหลินเซี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “นอกเหนือจากโครงการของเถ้าแก่อู๋ และโครงการวิจัยและพัฒนารถไฟฟ้าโดยสารแล้ว ฉันยังรู้ทิศทางชีวิตของคนอื่นด้วย”
หลินเซี่ยไม่สนใจว่าเขาจะเต็มใจฟังหรือไม่ พูดกับตัวเองว่า “เสิ่นอวี้อิ๋งจะคลอดลูกสาว แล้วแอบส่งเด็กคนนั้นไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เสิ่นเถี่ยจวินจะถูกสอบวินัยเกี่ยวกับอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิต ถึงแม้ยี่สิบปีก่อนเขาจะไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่ก็ยังต้องรับผิดทางกฎหมาย”
“นอกจากนี้ พ่อผู้ให้กำเนิดของหู่จือชื่อจางเจิ้นหู่ ที่คุณตั้งชื่อให้เขาว่าหู่จื่อ ก็เพื่อให้ทุกคนจดจำพ่อแท้ ๆ ของเขาได้เสมอ คุณวางแผนจะบอกภูมิหลังเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตกับหู่จือเมื่อเขาอายุครบสิบแปดปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พอหู่จือเริ่มเรียนชั้นประถม แม่แท้ ๆ ของเขาก็กลับมา และแสดงเจตจำนงว่าอยากรับเขาไปอยู่ด้วย…”
“มีเรื่องของเจียวั่งด้วยนะ”
เมื่อเอ่ยถึงเฉินเจียวั่ง ท่าทางของหลินเซี่ยก็ดูเคร่งขรึม เธอลดสายตาลงและพูดเสียงเบาว่า “เขา… แต่ชาตินี้โชคชะตาของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดี แตกต่างจากชาติที่แล้วของเขา”
“หมายความว่าไง?” หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ เฉินเจียเหอก็ถามโดยไม่รู้ตัว
หลินเซี่ยมองไปที่เขาและพูดด้วยความเคร่งขรึม “จากความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ของฉัน เฉินเจียวั่งฆ่าตัวตาย”
“ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ฉันแต่งงานกับคุณ ฉันถึงพยายามพร่ำบอกให้คุณใส่ใจกับสภาพจิตใจของเฉินเจียวั่งให้มาก ไม่ควรปล่อยให้เขาอยู่บ้านคนเดียว ต้องเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนั้นฉันก็หาทางเข้าหาเขาด้วย นั่นเป็นเพราะฉันอยากจะฉุดดึงเขาขึ้นมาจากหล่ม โชคดีที่เขาออกมาจากหมอกควันอึมครึมสำเร็จ และได้รับการรักษากับหมอแผนจีนเย่ ตราบใดที่เขายังมีอารมณ์ที่เป็นสุขและผ่อนคลาย หายขาดจากโรคลมบ้าหมู ในอนาคตเขาก็จะไม่ประสบปัญหาทางสภาพจิตใจอย่างร้ายแรงจนนำไปสู่โศกนาฏกรรม”
เฉินเจียเหอตกใจมากเมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย
ถ้าเป็นเรื่องสารพัดที่เธอพูดมาก่อนหน้านี้ เขาอาจจะปรามาสว่าเธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อพูดถึงสถานการณ์ของเฉินเจียวั่ง เขาก็ไม่สามารถมองว่ามันเป็นแค่เรื่องไร้สาระอีกต่อไป
นับตั้งแต่เขาพาหลินเซี่ยกลับมาในเมือง เธอก็คอยเป็นห่วงเป็นใยเกี่ยวกับสภาพร่างกายและจิตใจของเฉินเจียวั่งเสมอ
เนื่องจากความเอาใจใส่และความพยายามของเธอ ในที่สุดเฉินเจียวั่งก็เต็มใจที่จะก้าวออกจากโลกปิดตายของเขา ค่อย ๆ เต็มใจที่จะสื่อสาร ออกไปพบปะผู้อื่น
ถ้าขาดหลินเซี่ยไปสักคน เฉินเจียวั่งคงไม่มีทางร่าเริงและยอมออกสู่โลกกว้างแบบนี้
การสอบถามเรื่องของหมอแผนจีนเย่ ก็ได้รับการช่วยเหลือโดยส่วนใหญ่จากหลินเซี่ยและแม่ยายของเขาทั้งนั้น
ดังนั้น คำกล่าวของหลินเซี่ยที่ว่าชะตากรรมของเฉินเจียวั่งเปลี่ยนไปจากเดิม จึงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย
สำหรับแผนกวิจัยและพัฒนาของโรงงานยานยนต์ ไม่มีใครนอกจากสมาชิกภายในทีมวิศวกรหลักที่รู้เรื่องพวกนี้
เขาเองก็ไม่เคยเอาความลับเรื่องงานกลับมาที่บ้าน…
สายตาที่เฉินเจียเหอใช้มองเธอ เปลี่ยนจากความสงสัยเป็นการตั้งคำถาม…
เขาไม่เคยเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องภพชาติอดีตหรือปัจจุบัน ทั้งยังไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้จะเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่เมื่อได้ยินว่าสิ่งที่หลินเซี่ยพูดล้วนเป็นความจริงอันแม่นยำ เขาก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วพวกเราล่ะ?” เขามองหน้าเธอแล้วถามว่า “ชาติที่แล้วความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นยังไง?”
แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูดเต็มร้อย แต่เขาก็ยังอยากรู้ ว่าเธอจะตอบ(อ้าง)ถึงเหตุการณ์ระหว่างพวกเขาในชาติก่อนอย่างไร?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เปิดเผยความลับสวรรค์แล้วจะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยเซี่ยเซี่ย
ไหหม่า(海馬)