ตอนที่ 411 ซ่อมยันต์จอมพลัง
คนของเขาล้อมหยกไปแล้ว เรือนสันติกลับไม่สงบลง กลายเป็นว่าคึกคักยิ่งกว่าเดิม ต่อให้พวกอักษรจิ๋วกดเสียงต่ำก็ยังดังเซ็งแซ่วุ่นวายอลหม่านทั้งแถบ
“ไอ้หยา ข้าแทบขาดใจตาย!”
“ข้าก็แทบขาดใจตาย!”
“ตาเฒ่าประหลาดนั่นร้ายกาจจริง เกือบเจอพวกเราแล้ว”
“นั่นคือจูหยวนจื่อ นายใหญ่ยังมีพวกตำราบัญชาที่เขาเขียนด้วย แน่นอนว่าต้องร้ายกาจ!”
“อ้อๆๆ นึกออกแล้ว ที่แท้ก็เป็นเขา!”
มีอักษรจิ๋วลอยมาวนเวียนหน้าโต๊ะ มองจานสะอาดเกลี้ยงเกลาบนโต๊ะ ก่อนร้องโวยวายเสียงดังขึ้นมา
“คนพวกนี้กินเก่งจริงๆ อาหารเต็มโต๊ะยังกินเกลี้ยง”
“ใช่แล้วๆ น้ำแกงยังไม่เหลือ!”
“สิ่งสำคัญคือไม่ล้างจานด้วย เหลือไว้ให้นายใหญ่ล้างหรือ”
“ใช่แล้ว พวกเขาช่างกล้านัก!”
“ใช่ พวกเราบุกเขาล้อมหยกเพื่อจับพวกเขากลับมากัน!”
“บุกเขาล้อมหยก!”
“บุกเขาล้อมหยก!”
“พวกเจ้าโง่หรือเปล่า…”
“เจ้าบอกว่าใครโง่”
“เจ้า เจ้า ยังมีเจ้าด้วย!”
“อ๊าๆๆ!”
“โอ๊ยๆๆ!”
พวกอักษรจิ๋วกระโดดโหยงเหยงลอยไปลอยมา กระเรียนกระดาษน้อยตั้งใจมองตั้งใจฟังอยู่ด้านข้าง
ส่วนจี้หยวนถือถาดมา เก็บจานทีละใบด้วยตัวเอง มองข้ามเสียงเอะอะกลางลาน
โชคดีว่าเรือนสันติอยู่ห่างไกล ทั้งมีแผ่นป้ายเขียนใหม่กับต้นพุทราคอยช่วย มิฉะนั้นต่อให้เจ้าตัวน้อยพวกนี้กดเสียงต่ำ แต่ยามวิกาลเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เอะอะรบกวนคนอื่น
เขาเงยหน้ามองกระเรียนกระดาษน้อยคราหนึ่ง ก่อนแย้มยิ้มอย่างจนปัญญา คราวนี้จี้หยวนค่อยยกถาดกลับเข้าห้องครัว ผลคือหลังจากนั้นไม่นานพวกอักษรจิ๋วทยอยยกโขยงเข้าห้องครัวมาพร้อมกัน
ความจริงจี้หยวนล้างจานสบายมาก ไม่ต้องสำแดงวิชาอะไร แค่เติมน้ำลงอ่าง หยิบจานใบหนึ่งมาเช็ดล้างเล็กน้อย คราบสกปรกทั้งหมดล้วนไหลตามน้ำ ทุกขั้นตอนเหมือนหยิบชามตะเกียบขึ้นมาจากน้ำก็ล้างเสร็จแล้ว
เมื่อจี้หยวนลุกขึ้นยืน เขากวาดมองโดยรอบ พวกอักษรจิ๋วซึ่งล้อมรอบแตกฮือกลับลานทันที พูดเจื้อยแจ้วอยู่ตรงนั้น ทั้งเริ่มเถียงกันไม่หยุด ‘สมรภูมิ’ วิวาทยังมีหลายแห่ง ประเด็นถกเถียงแตกต่างกันไป
“เฮ้อ หึๆ…”
จี้หยวนหัวเราะก่อนยืดเหยียดกล้ามเนื้อเล็กน้อย เดินตรงไปทางห้องนอน จากนั้นค่อยปิดประตู
“นายใหญ่อยากพักผ่อนแล้ว!”
“ชู่…”
“ชู่…”
“ชู่…”
…
ภายในลานเงียบสงบลงเหมือนโทรทัศน์ถูกกดปุ่มปิดเสียง น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ
พวกอักษรจิ๋วค้นพบวิธีพูดคุยโดยไร้เสียง ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นตัวอักษร เดิมทีก็สื่อความหมายได้
ดังนั้นไม่นานจึงแบ่งเป็นสองสามกลุ่มใหญ่ รวมตัวเป็นคำพูดเหมาะสมราวกับสื่อจิตถึงกัน อาศัยวิธีนี้มาถกเถียงกัน แม้ว่าจำนวนอักษรน้อยก็ไม่ใช้คำหยาบ แต่คุยกันอย่างเบิกบานยิ่ง
กระเรียนกระดาษน้อยเปลี่ยนจุดสังเกตการณ์มาอยู่บนต้นไม้ มองความอลหม่านเหมือนการซ้อมเดินสวนสนามเบื้องล่าง กระพือปีกกระดาษเป็นพักๆ เห็นชัดว่ามองอย่างเพลิดเพลิน
ภายในห้องจี้หยวนยังไม่หลับ แต่หยิบอุปกรณ์ตัดกระดาษกับกระดาษเหลืองกองหนึ่งซึ่งเก็บไว้ในห้องเมื่อปีนั้นออกมา ก่อนหน้านี้เคราะห์อสนีทำลายจอมพลังเกราะทองไปสองตน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้รีบเพิ่มจำนวน หากแต่ต้องการซ่อมเสริม
แม้ว่าร่างเดิมของจอมพลังเกราะทองดูเหมือนยันต์ แต่แก่นแท้แตกต่างกันระดับหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากใช้มาหลายปีจี้หยวนค้นพบเรื่องหนึ่งแล้ว
นั่นก็คือจอมพลังเกราะทองถือเป็นพวกยิ่งใช้งานยิ่งราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้คล้ายคลึงกับจอมพลังเกราะทองอีกหกตน ความรู้สึกยามเพิ่งหลอมสำเร็จกับใช้ไปช่วงหนึ่งย่อมต่างกัน จอมพลังจะปรับตัวกับปราณวิญญาณฟ้าดินและพลังวิญญาณจากพื้นดินยามปรากฏตัวช้าๆ
ทั้งการเคลื่อนไหวนับร้อยซึ่งซ้อนทับกันแต่เดิมยังช่ำชองคล่องตัวขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคลึงกับคนทั่วไปฝึกฝนจนชำนาญ หลังจากนี้สามารถสร้างท่าทางใหม่ๆ เพิ่มบนยันต์จอมพลังซึ่งเป็นรูปเป็นร่างทีละน้อย ยกระดับคุณภาพของยันต์จอมพลัง
จี้หยวนไม่แน่ใจว่าสาเหตุเป็นเพราะจำนวนเกราะทองซ้อนทับที่ตนหลอม หรือสาเหตุเป็นเพราะกระบวนการหลอม หรือพิเศษเพราะการหลอมของตัวเขาเอง ถึงอย่างไรยันต์จอมพลังเรียบง่ายดั้งเดิมคงไม่ไหว
วิธีนี้เท่ากับจี้หยวนเลี่ยงปัญหาการสร้างยันต์จอมพลังแบบครั้งเดียวจำนวนมากเกินไปจนง่ายต่อการหลอมล้มเหลว วิธีการเช่นนี้ยกระดับจอมพลังเกราะทองที่มีอยู่ตอนนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
จำนวนกับคุณภาพ จี้หยวนเลือกเน้นคุณภาพก่อนสร้างจำนวนเหมาะสม สิ่งนี้ทำให้จอมพลังเกราะทองหกตนที่เดิมอยู่ในมือจี้หยวนเพิ่มจำนวนจากสามร้อยยี่สิบสี่ท่า สั่งสมมาจนถึงหกร้อยกระบวนท่าทีละน้อยนานแล้ว
ความจริงก่อนหน้านี้เสียหายไปสองตน นึกย้อนดูแล้วจี้หยวนค่อนข้างปวดใจ
หลังจากรำลึกครู่หนึ่ง จี้หยวนหยิบยันต์จอมพลังผ้าเหลืองอีกแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ
ยันต์จอมพลังผ้าเหลืองในมือแผ่นนี้สัมผัสหยาบมาก ตรงขอบยิ่งมีรอยไหม้บางส่วน สีเข้มเหมือนโดนย่างมาเล็กน้อย เป็นยันต์ซึ่งก่อนหน้านี้ยามเคราะห์อสนีสายแรกผ่าลงมา เขาใช้มันต้านอสนีบาตนั่นเอง ทั้งเป็นจอมพลังเกราะทองตนแรกที่จี้หยวนหลอมตอนนั้น
จี้หยวนรู้สึกว่าจอมพลังตนนี้ยังไม่ถูกทำลาย แต่ผลกระทบแน่นอนว่าไม่น้อย อย่างน้อยสภาพถือว่าไม่เสถียรมาก กระทั่งเขาไม่กล้าเรียกจอมพลังออกมา เกรงว่าหลังจากเรียกแล้วยันต์จอมพลังจะพังทลาย กลายเป็นของใช้ครั้งเดียวทิ้ง
หลังจากตรวจสอบครู่หนึ่ง จี้หยวนเริ่มใช้กรรไกรตัดกระดาษเหลือง เขาตัดพลางหลอมรวมพลังเจตเทพเข้าไปในนั้น นึกถึงท่าทางและอานุภาพของจอมพลังเกราะทอง
ไม่นานกระดาษแผ่นหนึ่งถูกตัดจนเสร็จ ฝ่ามือซ้ายยึดยันต์จอมพลังก่อนหน้านี้ มือขวาตั้งท่านิ้วกระบี่หยิบคนกระดาษตัดใหม่เข้าใกล้ยันต์จอมพลัง ก่อนแปะลงเบาๆ เจตเทพกับภาพนิมิตหลอมรวมกัน
จี๊ดๆๆ…
เสียงดังขึ้นระลอกหนึ่ง มีควันดำลอยขึ้นมา กระดาษเปลี่ยนเป็นไหม้เกรียมทันที จากนั้นค่อยกลายเป็นเถ้าถ่าน
‘ไม่ได้หรือ… ลองอีกครั้ง!’
จี้หยวนไม่เชื่อว่าผิดพลาด เริ่มตัดกระดาษอีกครั้ง ครั้งนี้ถือว่าใช้เวลาไปมาก นึกถึงการเคลื่อนไหวและเจตเทพทั้งหมดสามร้อยยี่สิบสี่กระบวนท่าตั้งแต่ต้น จากนั้นค่อยแปะลงบนยันต์จอมพลังไหม้เกรียมแผ่นนั้นทีละครั้ง
กระทั่งครึ่งคืนหลัง ทั้งห้องนอนเต็มไปด้วยกลิ่นไหม้ บนพื้นมีเถ้าถ่านนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ ส่วนยันต์จอมพลังบนโต๊ะนั่นยังคงเหมือนเดิม
จี้หยวนขมวดคิ้วมองยันต์จอมพลังบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าควรทำอะไรกับมันอยู่บ้าง
ตอนนี้ด้วยความพยายามเกือบทั้งคืนของจี้หยวน ภายในห้องมีทั้งแสงอสนีและกลิ่นไหม้ อักษรจิ๋วกับกระเรียนกระดาษที่อยู่ข้างนอกเริ่มรู้ว่านายใหญ่ยังไม่นอน แต่น่าจะยุ่งกับการทำอะไรอยู่
ดังนั้นทั้งหมดเขยิบมาอยู่ข้างประตูหน้าต่างนอกห้อง ทั้งพูดคุยด้วยเสียงแผ่วเบาเป็นพักๆ เสียงดังเซ็งแซ่ไม่หยุด
แน่นอนว่าจี้หยวนที่อยู่ในห้องไม่มีทางถูกเสียงเช่นนี้รบกวน แต่ปวดกะโหลกอยู่บ้าง
สิ่งที่นึกออกคือผ่านการชำระล้างจากอสนีบาตเช่นนั้น ต่อให้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยครั้งแรก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่อสนีบาตธรรมดา หากยันต์จอมพลังเกราะทองนี้ฟื้นฟูได้ย่อมเก่งกาจ แต่ถ้าถูกทำลายไปเช่นนี้คงน่าเสียดายเกินไปแล้ว
วู้ม…
เสียงครวญของกระบี่เครือเขียวดังขึ้นข้างกาย จี้หยวนเงยหน้าเห็นกระบี่เซียนเครือเขียวหมุนตัวลอยมาอยู่ตรงหน้า ลอยอยู่เหนือโต๊ะเงียบๆ
เสียงครวญของกระบี่เครือเขียวดังขึ้น อักษรจิ๋วข้างนอกตกใจจนเงียบเสียงทันที แนบตัวติดประตูหน้าต่างไม่กล้าขยับ พวกเขาเคารพจี้หยวนมากจริงๆ แต่ถ้าพูดตามตรงคือกลัวกระบี่เซียนเล่มนั้นที่สุด
แน่นอนว่ากระบี่เครือเขียวภายในห้องไม่ได้ส่งเสียงครวญเพราะเสียงเอะอะข้างนอก ตอนนี้กระบี่ทั้งเล่มรวมถึงฝักเหลือบแสงอร่ามเลือนราง เมื่อจี้หยวนเบนความสนใจมาทางกระบี่เซียน อักษรสี่ตัวท้ายบนฝักกระบี่กลับมืดสลัวลงไป ส่วนแสงตรงคำว่า ‘วิญญาณก่อเกิดเครือเขียว’ กลับดึงดูดสายตา
จี้หยวนพลันตบศีรษะ ในที่สุดก็ยิ้มออกมา
“ข้าจมสู่ห้วงคิดจนถึงทางตันแล้ว! อสนีบาตถือเป็นธาตุไม้ แม้ว่าเคราะห์อสนีแตกต่างกันแต่ยังมีเจตจำนงของมันอยู่ เจ้าเกิดจากวิญญาณไม้เจือประกายทองแฝงปราณวสันต์ มีครบทั้งเกื้อกูลกดข่ม ถือเป็นกระบี่พลิกสถานการณ์พอดี!”
วู้ม…
เสียงครวญของกระบี่เซียนดังขึ้น เสียงกระจ่างครวญยาวไม่หยุด
จี้หยวนลุกขึ้นยืน มือขวาตั้งนิ้วกระบี่จ่อไปทางกระบี่เครือเขียว
เสียงกระจ่างดังขึ้น ตัวกระบี่เปล่งประกายขาวนุ่มนวลเป็นระลอก ประกายขาวนี้ดูเหมือนนุ่มนวลแต่กลับเฉียบคม กระดาษไหม้เกรียมที่ยังพอเป็นรูปเป็นร่างบนพื้น ตอนนี้กลายเป็นจุณทันที โชคดีว่าพวกโต๊ะเก้าอี้ยังสมบูรณ์ไม่สึกหรอ
ประกายขาวกระเพื่อมไหวอยู่ตรงโต๊ะ ยันต์จอมพลังบนโต๊ะเหมือนถูกสายลมคลั่งพัดผ่านแต่กลับถูกตะปูตอกติดโต๊ะ ส่งเสียงดังพึ่บพั่บอย่างแรง
จี๊ดๆๆ… จี๊ดๆๆ…
เหนือยันต์จอมพลังมีแสงอสนีมากมายปรากฏ ทำให้จี้หยวนนัยน์ตาหดรัด หลุดปากเสียงหลงอย่างอดไม่ได้
“ถึงกับมีอสนีบาตแฝงซ่อนอยู่!”
ครู่ต่อมาจี้หยวนหรี่ตาก่อนเบิกตาเล็กน้อยอีกครั้ง เขาหมุนนิ้วชี้ กระบี่เครือเขียวที่ลอยอยู่เคลื่อนตามนิ้วมือจี้หยวน ปลายฝักกระบี่จ่อยันต์จอมพลังเบื้องล่าง แสงวิญญาณบนตัวกระบี่ส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ
จี้หยวนผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ตามหาจังหวะแสงอสนียามยันต์จอมพลังเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ
ชั่วพริบตายามแสงอสนีบางสายแผ่ขยาย จี้หยวนกระหวัดนิ้ว กระบี่เครือเขียวกดตัวลงพร้อมกัน
“ไป”
ตึง…
ฝักกระบี่กระแทกโต๊ะจนเกิดเสียงทึบหนัก มีแสงวิญญาณสีเขียวแผ่ออกมาจากปลายฝักกระบี่ วาดผ่านยันต์จอมพลังทั้งมีบางส่วนแทรกเข้าไป ส่วนใหญ่กระเพื่อมไหวสองสามรอบก่อนกลับเข้าสู่กระบี่เครือเขียว
แกรกๆๆ…
ยันต์จอมพลังบนโต๊ะเกิดการเปลี่ยนแปลง รอยไหม้ตรงขอบกลายเป็นเถ้าถ่านหลุดออกทีละน้อย สุดท้ายกลายเป็นยันต์จอมพลังร่างคนขรุขระ
“ฮู่…”
จี้หยวนถอนใจเล็กน้อย แม้ว่าดูเหมือนยันต์จอมพลังเสียหายหนักกว่าเดิม แต่ความไม่เสถียรแทบพังทลายกลับน้อยลง
“ลองอีกครั้ง!”
คราวนี้จี้หยวนมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย นั่งลงหยิบกรรไกรกับกระดาษเหลืองมาข้างโต๊ะใหม่อีกครั้ง ส่วนกระบี่เครือเขียวลอยขึ้นมาช้าๆ เอนตัวอยู่ข้างกายจี้หยวนเงียบๆ
เมื่อฟ้าสว่าง ภายในห้องนอนจี้หยวน บนพื้นมีเถ้าถ่านกับเศษกระดาษเพิ่มขึ้นมาชั้นหนึ่ง แต่สภาพจิตใจกลับดีมาก บนหน้ายังมีรอยยิ้มด้วย
บนมือจี้หยวนกำลังถือยันต์จอมพลังสมบูรณ์แผ่นหนึ่ง ยันต์นี้ไม่ใช่สีกระดาษเหลืองเหมือนก่อนหน้านี้อีก หากแต่เจือความหมองคล้ำ คล้ายสีทองหม่นสลัว น้ำหนักบนมือหนักกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แน่นอนว่าหากคนทั่วไปชั่งน้ำหนักคงเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!”