ตอนที่ 167 แสร้งเลอะเลือน
มุมปากองค์หญิงใหญ่เจาหยางกระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง “ได้ยินว่าซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อถูกบ่าวประคองออกไป”
“คุณหนูโค่วช่างคอแข็งจริง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสจบก็พลันเหม่อลอย
องค์หญิงใหญ่เจาหยางเห็นเช่นนี้ก็ถามขึ้นว่า “เสด็จพี่เสด็จพี่เป็นอันใดไปหรือเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตั้งสติคืนมาได้ก็ตรัสว่า “เอ่อ ไม่มีอันใด น้องพี่ไปเถอะ”
พอองค์หญิงใหญ่เจาหยางจากไปแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็พิงพนักที่ประทับเหม่อลอยขึ้นมา
เขาอยู่มาจนอายุเท่านี้ เคยพบหญิงสาวคอแข็งเพียงผู้เดียว ก็คือภรรยาของเขา ‘ซินซิน’
ไม่เหมือนกัน ซินซินไม่ใช่พันจอกไม่เมา แต่ดื่มมากแล้วสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ทำให้คนมองไม่ออกว่าเมา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เริ่มอยากรู้จัก ‘คุณหนูโค่ว’ ที่น้องสาวเขาเอ่ยถึงขึ้นมา แน่นอนว่าความอยากรู้นี้เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป แต่เขาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ย่อมไม่อาจเรียกหญิงสาวคนหนึ่งเข้าวังมาตอบสนองความอยากรู้ตนเองได้
“ซุนเหยียน เรียกกู้ชางป๋อเข้าวัง”
กู้ชางป๋อได้ยินรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็รีบเข้าวังไม่รอช้า ทันทีที่เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็พลันรู้สึกได้ว่าไม่ได้การแล้ว
“เราได้ยินว่าบุตรชายเจ้าไปท้าประลองสุรากับคุณหนูโค่วที่เปิดร้านหนังสือ?”
กู้ชางป๋อดุด่าบุตรชายเรื่องนี้ไปแล้ว คิดไม่ถึงฮ่องเต้เรียกตัวเขาเข้าวังมาถามเรื่องนี้
“รู้สึกละอายต่อฝ่าบาทยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าลูกบัดซบแต่ไรมาคิดอยากทำอันใดก็ทำ”
“หนุ่มสาวย่อมชอบเอาชนะ แต่ความอยากเอาชนะเหล่านี้ จะให้ดีที่สุดก็นำไปใช้กับการศึกษาบุ๋นบู๊ ไม่ใช่มาแข่งขันกับผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าว่าอย่างไร”
“พ่ะย่ะค่ะ…” กู้ชางป๋อตอบรับอย่างไม่โต้แย้ง ในใจกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่ โอรสพระองค์เองก่อนหน้านี้ก็ยังประลองสุราคิดเอาชนะคุณหนูโค่ว
กู้ชางป๋อคิดอยากจะฟ้องสักที แต่พลันได้สติว่าไม่อาจฟ้องได้ เพราะนั่นคือหลานชายเขา!
“ได้ยินว่ายังแพ้ด้วย” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ยามนี้กู้ชางป๋อเก้กังแท้จริงแล้ว กลับถึงจวนยังคว้าไม้กระบองไปหาบุตรชายอย่างเดือดดาล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังเรียกตัวชิ่งอ๋องเข้าวังมาอบรมสั่งสอนเข้มงวด “ก่อนทำอันใดให้คิดถึงสถานะตนเองก่อน เจ้าไม่เหมือนกับน้องชายเจ้า”
สำหรับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่แต่ไรมาก็ทรงเข้มงวด ในใจชิ่งอ๋องเองก็หวาดกลัวอยู่แล้ว ได้แต่ยอมรับผิดแต่โดยดี พอออกจากวังจึงได้กล้าชักสีหน้าโมโหเดือดดาล
ผู้ใดมาทูลฟ้องเสด็จพ่อ
ชิ่งอ๋องบนรถม้าเลิกม่านขึ้น มองไปทิศทางที่ตั้งจวนองค์หญิงใหญ่ ต้องเป็นเสด็จอาเขาเป็นแน่
ชิ่งอ๋องปล่อยม่านลงด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ในใจรู้สึกย่ำแย่อย่างที่สุด
ตั้งแต่เขาจำความได้ ก็รู้สึกว่าเสด็จอาเย็นชาต่อเขา พอเขาโตขึ้นมาหน่อยจึงได้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง เสด็จแม่บอกว่าเพราะเสด็จอาไม่โปรดพระสนมนางในของเสด็จพ่อ จึงพลอยรังเกียจเขาไปด้วย
พลอยรังเกียจเขาไปด้วย…ชิ่งอ๋องแอบคิดคำนี้แล้ว ก็สาบานในใจตนเองอีกครั้ง รอให้เขาขึ้นครองบัลลังก์เมื่อไร จะให้คนบางคนได้น่าดูชม
ซินโย่วได้พบกับเฮ่อชิงเซียวก่อนนิยายใหม่ ‘บันทึกตะวันตก’ ออกวางขายเพียงหนึ่งวัน
พูดจาเหลวไหลไปมากมาย เดิมนางเองก็รู้สึกเก้กังอย่างมาก แต่เวลาเป็นเรื่องแปลก พอพบกันอีกครั้ง หลังผ่านไปหลายวัน ความรู้สึกเก้กังนั้นก็จางลงไปมาก
“ใต้เท้าเฮ่อดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”
เห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกอันใดของซินโย่ว เฮ่อชิงเซียวก็เริ่มไม่แน่ใจว่านางยังจำวาจายามเมาสุราได้หรือไม่ แต่การแสดงความขอบคุณก็ยังคงไม่อาจขาดตก
“เรื่องวันนั้น ต้องขอบคุณคุณหนูโค่ว”
“วันนั้น?” ซินโย่วสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแสร้งทำเลอะเลือน
การแสร้งสูญเสียความทรงจำพวกนี้นางมีประสบการณ์ สรุปไม่อาจให้ใต้เท้าเฮ่อรู้ว่านางจำได้ทั้งหมด
“ก็วันงานวันคล้ายวันพระราชสมภพองค์หญิงใหญ่วันนั้น คุณหนูโค่วช่วยกันเคราะห์เลือดตกยางออกให้ข้า”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ซินโย่วยิ้มปฏิเสธ
“จริงหรือ” ซินโย่วสีหน้าแปลกใจ “ตอนนั้นดื่มมากไปแล้ว พอตื่นขึ้นมาก็จำอันใดไม่ได้เลย ข้ายังพูดอันใดอีก เมาสุราโวยวายกระมัง”
ที่แท้คุณหนูโค่วจำไม่ได้แล้วจริงๆ
ในใจเฮ่อชิงเซียวรู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นก็เกิดความรู้สึกสลดใจลงอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ทว่าสีหน้ายังคงไม่เผยออกมาให้เห็น “เปล่า คุณหนูโค่วคอแข็งมาก นี่คือของขวัญแสดงความขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ ขอคุณหนู โค่วอย่าได้รังเกียจ”
ซินโย่วเหลือบมองไปยังกล่องไม้บนโต๊ะ กระดกมุมปากเล็กน้อย
ใต้เท้าเฮ่อยังถึงกับเตรียมของขวัญมาด้วย
“ข้าเปิดดูได้หรือไม่”
เฮ่อชิงเซียวยิ้มพยักหน้า “คุณหนูโค่วเชิญตามสบาย”
ซินโย่วเปิดกล่องไม้ออก ในนั้นเป็นตุ๊กตาสัตว์ตัวเล็กหลากแบบทำจากหยกงาม มีทั้งหมดสิบสองชิ้น ก็คือชุดสิบสองนักษัตร
“แกะสลักได้เหมือนจริง” ซินโย่วหยิบลิงหยกตัวหนึ่งขึ้นมาเอ่ยชม
ดูฝีมืองานแกะสลักและคุณภาพหยกแล้ว สิบสองนักษัตรชุดนี้ต้องราคาไม่น้อย
ซินโย่วเล่นลิงหยกน้อยไปมา ในใจก็คิดว่าทำให้ใต้เท้าเฮ่อเสียเงินเสียทองแล้ว
“คุณหนูโค่วชอบก็ดี” เฮ่อชิงเซียวเห็นนางชอบจริงๆ ใบหน้าแววตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงใจ
เรื่องเมาสุราก็นับว่าผ่านพ้นไปแล้ว ซินโย่วสอบถามถึงเรื่ององค์หญิงเสวียน “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าเฮ่อเล่าเรื่ององค์ชาย วันนั้นได้พบองค์หญิงเสวียน ข้าก็อยากรู้ขึ้นมา ใต้เท้าเฮ่อพอจะเล่าได้หรือไม่”
ก่อนหน้านี้จะสอบถามเฮ่อชิงเซียว นางยังต้องแต่งเหตุผลมาอ้างแทบแย่ แต่ตั้งแต่เผยความลับยิ่งใหญ่ไปแล้ว อยากถามเรื่องใดก็ถามได้
“ในวังมีองค์หญิงทั้งหมดสามพระองค์ องค์หญิงเสวียนเป็นองค์โต อายุน้อยกว่าชิ่งอ๋องเพียงหนึ่งปี องค์หญิงอีกสองพระองค์เป็นฝาแฝด ปีนี้อายุเพียงแปดชันษา…”
ซินโย่วได้ยินอายุองค์หญิงเสวียนก็เม้มปากแน่น
นับดูเวลาแล้ว ตอนท่านแม่ออกจากวัง เสด็จแม่องค์หญิงเสวียนก็น่าจะทรงครรภ์แล้ว
เฮ่อชิงเซียวเห็นนางฟังอย่างตั้งใจก็เล่าต่อว่า “องค์หญิงรองและองค์หญิงสามอายุยังน้อย ได้รับการดูแลอยู่แต่ในวังหลัง คนนอกไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกนาง ส่วนองค์หญิงเสวียน…”
“องค์หญิงเสวียนมักออกมานอกวังหรือ” ซินโย่วรู้สึกได้ถึงอาการลังเลของเฮ่อชิงเซียวก็เอ่ยถามขึ้น
เฮ่อชิงเซียวส่ายหน้า “ความจริงองค์หญิงเสวียนเองก็ไม่ค่อยได้ออกนอกวัง เพียงแต่เพราะอายุมากกว่าองค์หญิงรองและองค์หญิงสาม จึงเป็นที่สนใจของผู้คนมากกกว่า อีกอย่าง…องค์หญิงเสวียนหลังได้วัยปักปิ่นก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งราชทินนามประจำตำแหน่งองค์หญิง”
ดูจากราชวงศ์ก่อน องค์หญิงที่เป็นที่โปรดปราน ถึงกับตอนกำเนิดออกมาไม่นานก็ได้รับราชทินนามแล้ว อย่างช้าที่สุดก็รอได้วัยปักปิ่นก็จะได้รับการแต่งตั้ง แม้ราชวงศ์นี้มีธรรมเนียมจารีตหลายอย่างต่างจากราชวงศ์ก่อน แต่องค์ชายทั้งสองก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว ก็เป็นไปตามธรรมเนียมราชวงศ์ก่อน องค์หญิงเสวียนยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ก็ย่อมทำให้คนคาดเดาท่าทีของฮ่องเต้กันไปต่างๆ นานา
องค์หญิงใหญ่ไม่เป็นที่โปรดปราน สองปีมานี้ก็เป็นที่รู้กันของบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงศักดิ์
ได้ยินเฮ่อชิงเซียวกล่าวเช่นนี้ ในที่สุดซินโย่วก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกแปลกประหลาดในงานเลี้ยงวันนั้นมาจากเรื่องใด
มิน่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นคุยเล่นกัน มีเพียงองค์หญิงเสวียนที่นั่งเงียบเหงาเพียงผู้เดียว
สภาพจิตใจเช่นนี้ไม่ยากที่จะเข้าใจ องค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดของฮ่องเต้ หากไปเอาพระทัยฮ่องเต้ก็คงไม่ได้ประโยชน์ใด อาจเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ไม่แน่อาจจะยุ่งยากแทน อยู่ให้ห่างไว้ย่อมเป็นการดี
องค์ชายหกพระองค์ องค์หญิงสามพระองค์ ไม่น้อยจริงๆ
ซินโย่วหลุบตาลงจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง
“คุณหนูโค่ว”
ซินโย่วเหลือบตามองชายตรงข้าม ยามนี้นางพลันรู้สึกโชคดีที่วันนั้นเลือกเผชิญหน้ากับเขาตรงไปตรงมา ทำให้ความลับอัดแน่นในใจนางมีที่ว่างให้หายใจได้บ้าง
“ใต้เท้าเฮ่อคิดเอ่ยอันใดหรือเจ้าคะ”
เฮ่อชิงเซียวขยับกายมาด้านหน้าเล็กน้อยพลางหรี่เสียงลง “เจ้าคิดว่าหากฮ่องเต้ทรงรู้การมีอยู่ของคุณชายซินจะเป็นอย่างไร”
ซินโย่วแววตาเย็นเยียบ “ข้าคิดไม่ออกเจ้าค่ะ”
เฮ่อชิงเซียวมองดูใบหน้าละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่เจาหยางตรงหน้า ในใจก็แอบถอนหายใจเบาๆ
เขาเองก็คิดไม่ออก