ตอนที่ 492 หาสามีใหม่ให้หลิวกุ้ยอิง
ตอนที่ 492 หาสามีใหม่ให้หลิวกุ้ยอิง
หลิวกุ้ยอิงมีสีหน้าตึงเครียดและไม่สบายใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้หญิงชรารู้ตัวตนของเซี่ยเหลย
เซี่ยเหลยพอเข้าใจในเรื่องนี้ได้ว่าหลิวกุ้ยอิงอาจกลัวว่าหญิงชราจะไม่อาจรับความจริงได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น พวกเขาเองก็ไม่ต้องการป่าวประกาศความสัมพันธ์ระหว่างกันโดยไม่จำเป็นเช่นกัน
ถ้าเรื่องแบบนี้แพร่กระจายไปในสังคมชนบท ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันจะกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์แค่ไหน
“น้องสะใภ้หลิน ตอนนี้เธอยังอาศัยอยู่กับเอ้อร์ฝูอยู่หรือเปล่า?” ผู้เฒ่าโจวจงใจแก้ไขสถานการณ์กระอักกระอ่วนด้วยการพูดเรื่องอื่น
เมื่อเอ่ยถึงหลินเอ้อร์ฝู แม่เฒ่าหลินก็หลั่งน้ำตา
“ลุง อย่าพูดถึงมันเลย ชีวิตของฉันช่างน่าสังเวช ลูกชายคนรองช่างอกตัญญู เขาทรมานฉันจนเจียนตายในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา พอตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากฉันเลยทำให้ฉันได้รับความลำบากไปด้วย ฉันไม่เคยกินอิ่มนอนหลับเลยสักวัน”
คุณยายโจวกล่าวว่า “เธอยังแข็งแรงอยู่ ออกมาแล้วก็หุงข้าวปลาอาหารกินเองเถอะ เธออายุน้อยกว่าฉันซะอีก ลูกชายจะกตัญญูหรือไม่ก็ช่าง อย่างน้อยก็ไม่ควรอยู่เป็นภาระให้พวกเขานะ”
“ป้า ฉันเองก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ทุกอย่างไม่ง่ายเหมือนอย่างในละครน่ะสิ ผู้หญิงต่อให้ฉลาดแค่ไหนก็เอาตัวรอดยากถ้าไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ พอสะใภ้รองออกจากบ้าน หล่อนไม่วายล็อกห้องครัวด้วย ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องสิ่งใด ๆ ในบ้านหลังนั้นด้วยซ้ำ ชีวิตของฉันช่างน่ารันทดสิ้นดี”
แม่เฒ่าหลินเคยเป็นคนรู้หนังสือ จึงพูดจาสำบัดสำนวนได้คล่อง
คุณยายโจวมองนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เธอคงรู้ซึ้งถึงความดีของกุ้ยอิงแล้วใช่ไหม?”
แม่เฒ่าหลินมองดูหลิวกุ้ยอิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “ใช่แล้ว กุ้ยอิงเป็นสะใภ้ที่ดี”
ถ้าไม่มีสองสิ่งให้เปรียบเทียบก็จะไม่รู้ ในอดีตนางคิดแค่ว่าหลิวกุ้ยอิงก็เป็นแค่คนหัวอ่อนที่มักจะยอมจำนนและตัวสั่นงันงกเพียงแค่ได้มองนาง นางจึงชอบหวังจวี๋เซียงมากกว่า เพราะแม่นั่นมีคารมคมคายเป็นเลิศ เอาอกเอาใจทำให้นางมีความสุข
ถึงอย่างนั้น ภายในสองเดือนหลังจากมาอาศัยอยู่ที่บ้านลูกชายคนรอง ทั้งคู่ก็เผยธาตุแท้ออกมา
แม่เฒ่าหลินมาที่บ้านตระกูลโจวครั้งนี้ด้วยนิสัยที่ว่านางจะไม่เข้าวัดถ้าปราศจากเรื่องทุกข์ร้อน* หลังจากนั่งคุยอยู่สักพัก เธอรู้สึกว่าควรเข้าเรื่องสำคัญเสียที จึงพูดอย่างไม่แน่นอนว่า “ลุง ป้า เจี้ยนกั๋ว ไหน ๆ พวกคุณก็อยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือจากพวกคุณให้ช่วยฉันโน้มน้าวกุ้ยอิงหน่อย”
(* สำนวน แปลว่าถ้าไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็ไม่มาหาที่พึ่ง)
เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ
ก่อนที่หล่อนจะหยุดยั้งหญิงชรา คำพูดของอีกฝ่ายก็หลุดออกจากปากแล้ว
“ลุง ป้า ฉันอยากจะขอให้พวกคุณช่วยฉันโน้มน้าวกุ้ยอิงให้เลิกออกไปทำงานข้างนอก เพราะฉันตั้งใจว่าจะหาสามีใหม่ให้หล่อนเอง เขาจะได้ช่วยหล่อนทำงานอยู่ในบ้านเกิดด้วยกันในอนาคต หล่อนเป็นผู้หญิง การไปอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างถิ่นทำงานหาเงินข้างนอกไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาวหรอก หล่อนยังอายุน้อย ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ ที่ต้องเห็นหล่อนทำงานหนักเพียงลำพัง ดังนั้นฉันเลยคิดจะจ้างผู้ชายสักคนมาช่วยหล่อนทำนาทำไร่”
เซี่ยเหลย “!!!”
หลินเซี่ย “!!!”
ไม่เพียงแค่เซี่ยเหลยและหลินเซี่ยเท่านั้นที่อึ้ง สมาชิกตระกูลโจวคนอื่นก็ตกตะลึงกับแผนการของแม่เฒ่าหลินเช่นกัน
ผู้เฒ่าโจวสูบบารากู่ของเขาอย่างใจเย็น
เขามีประสบการณ์และความรู้มากมาย ดังนั้นจึงไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าใดกับคำพูดของแม่เฒ่าหลิน
ในพื้นที่ชนบท เรื่องนี้เป็นอะไรที่ไม่น่าแปลกใจเลย
สามีด่วนตายจาก ภรรยาต้องหาเลี้ยงครอบครัวตามลำพัง สู้แต่งลูกเขยคนใหม่เข้าบ้านยังดีกว่าปล่อยให้หล่อนทิ้งแม่สามีไปแต่งงานกับสามีใหม่
ถ้าหล่อนแต่งงานใหม่และมีลูก ความสัมพันธ์กับครอบครัวก็จะขาดสะบั้น
แต่ประเด็นสำคัญคือตอนนี้ทั้งหลินจินซานและหลินเยี่ยนต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว หลินจินซานถึงวัยที่สมควรจะแต่งงานและมีลูกแล้วด้วยซ้ำ หญิงชราไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับการสร้างครอบครัวของหลานชายตัวเองถึงขั้นต้องหาสามีใหม่ให้ลูกสะใภ้
ผู้เฒ่าโจวเหลือบมองใบหน้าของแม่เฒ่าหลินด้วยสายตามากประสบการณ์ เข้าใจแผนการในใจนางอย่างทะลุปรุโปร่ง
หญิงชราคนนี้ต้องการใช้วิธีนี้ผูกมัดหลิวกุ้ยอิงอยู่ที่บ้านเพื่อคอยรับใช้นางต่อไป
นางหาลูกเขยแต่งเข้ามาเป็นแรงงานช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา ขณะเดียวกันก็ให้หลิวกุ้ยอิงอยู่ที่บ้านเพื่อรับผิดชอบงานบ้านและคอยปรนนิบัติรับใช้ พอเป็นแบบนี้นางก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้โดยมีอาหารและเงินทองไม่ขาดมือ
หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขาไม่สามารถพึ่งพาใด ๆ ได้ ดังนั้นนางจึงต้องการใช้วิธีนี้เพื่อให้หลิวกุ้ยอิงอยู่เคียงข้าง และเลี้ยงดูนางในวัยชรา
ฟังผ่าน ๆ อาจดูเหมือนหญิงชราใจกว้างมาก
แต่พอลองคิดให้รอบคอบ ทุกอย่างเป็นเพียงความเห็นแก่ตัว
การแสดงออกของเซี่ยเหลยและหลินเซี่ยมืดมนลงจนไม่สามารถปกปิดไว้ได้อีกต่อไป
เซี่ยไห่อยากอ้าปากสาปแช่งตรงนั้นเลย
ทุกอย่างที่ผู้เฒ่าโจวคิด พวกเขาก็คิดแบบนั้นได้เช่นเดียวกัน
หลินจินซานได้ยินข้อเสนออันน่ารังเกียจของผู้เป็นย่า จึงมองไปที่เซี่ยเหลยและคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
เขาดึงแม่เฒ่าหลินเข้ามาใกล้แล้วกัดฟันพูด “ย่า ทำไมถึงคิดอะไรแบบนั้น? ผมอายุยี่สิบแล้ว ตอนนี้ผมเป็นเสาหลักของครอบครัว มีความจำเป็นอะไรต้องแต่งสามีใหม่เข้าบ้านให้แม่ผมด้วย ไม่กลัวโดนพวกชาวบ้านหัวเราะเยาะกันให้ตายหรือไง?”
แม่เฒ่าหลินพูดหาความชอบธรรมให้ตัวเอง “แต่หล่อนยังไม่แต่งงานไม่ใช่เหรอ? จากนี้ก็ยังต้องออกไปทำงานข้างนอกอีก จะปล่อยเช่าที่ดินแค่อย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาวสำหรับแม่ของเธอ หล่อนเป็นผู้หญิง ไม่ควรออกไปทำงานนอกบ้าน แต่ถ้าให้ทำไร่ทำนาคนเดียวก็หนักเกินไปเหมือนกัน ในวัยนี้ หล่อนยังมีเวลาอีกหลายสิบปีที่จะมีชีวิตอยู่ ถ้าขาดคู่ชีวิตแล้วจะอยู่ได้ยังไง?”
สิ่งที่แม่เฒ่าหลินพูดฟังดูดีทีเดียว แต่หลินเซี่ยอยากจะสาปแช่งทันทีเมื่อได้ยิน
“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้หรอกค่ะ ความสัมพันธ์ของแม่ฉันกับคุณในฐานะแม่สามีและลูกสะใภ้จบไปแล้ว เรื่องส่วนตัวของหล่อนไม่เกี่ยวข้องกับคุณ”
แม่เฒ่าหลินตะคอกอย่างเย็นชา “ทำไมจะไม่เกี่ยวกับฉัน? อีกหน่อยถ้าหล่อนแก่ตัวลง คนที่จะคอยอยู่ดูแลปรนนิบัติหล่อนไม่ใช่จินซานหรอกรึ?”
หลินเซี่ยโต้แย้ง “นอกจากพี่ชายฉันแล้ว แม่ฉันยังมีฉันกับเสี่ยวเยี่ยนเป็นลูกของตัวเอง พวกเราช่วยกันเลี้ยงดูหล่อนในวัยชราได้”
“ถ้าผ้หญิงอย่างพวกเธอสองคนเป็นเสาหลักของบ้านได้ ป่านนี้แม่หมูคงปีนขึ้นต้นไม้ไปแล้ว”
แม่เฒ่าหลินมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและพูดอย่างจริงจังว่า “กุ้ยอิง อย่าหลงกลคำพูดลม ๆ แล้ง ๆ ของแม่นี่ ตอนนี้หล่อนเห็นว่าเธอยังมีแรงกำลังพอจะหาเงินสนับสนุนหล่อนได้ หล่อนเลยโกหกเธอด้วยคารมหวาน ๆ บอกว่าอีกหน่อยจะส่งเสียเลี้ยงดูเป็นอย่างดีเธอจะให้ พอเธอแก่ตัวลงจนทำงานไม่ได้ ก็จะหอบหลานแวะเวียนมาเยี่ยมทุก ๆ สองสามเดือน เธอก็เห็นลูกสาวฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ก่อนแต่งงานอะไรก็ดีไปหมด แต่แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้ฉันโดนเจ้ารองกับเมียข่มเหง แต่หล่อนไม่แม้แต่จะชายตาเหลียวแลฉันด้วยซ้ำ”
นางพูดจบแล้วก็มองไปยังผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลโจว หยิบยกพวกเขามาเป็นตัวอย่างอีกครั้ง “ลี่หรงลูกสาวพวกคุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ นับตั้งแต่หล่อนแต่งงานและไปอยู่ในเมือง นานทีปีหนจะเห็นกลับมาเยี่ยมสักครั้ง”
คำพูดของแม่เฒ่าหลิน ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลโจวถึงกับแก้ต่างไม่ออก
ต่างตรงที่พวกเขาไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาลูก ๆ ของตัวเอง และยังคงยืนกรานที่จะพึ่งพาตนเองในขณะที่สังขารยังไหว
หลิวกุ้ยอิงเห็นแม่เฒ่าหลินพูดไร้สาระมากมายเพื่อพยายามหว่านล้อม หล่อนจึงตัดสินใจประกาศไปตรงๆ ว่า “หยุดพูดเถอะ ฉันเจอสามีใหม่ในเมืองแล้ว เซี่ยเซี่ยพูดถูก คุณและฉันในฐานะแม่สามีและลูกสะใภ้หมดวาสนาต่อกันแล้ว ที่ผ่านมาฉันทุ่มเทรับใช้คุณอย่างเต็มที่ไปแล้ว ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันอีก”
“อะไรนะ?” แม่เฒ่าหลินมีสีหน้าย่ำแย่ลงฉับพลันเมื่อได้ยินหลิวกุ้ยอิงพูดว่าหล่อนเจอสามีใหม่ในเมืองแล้ว
นางตะคอกด้วยความโกรธ ใบหน้าเข้มคล้ำ “พูดอะไรออกมา? เธอเจอผัวใหม่แล้วเหรอ? ทำอย่างนี้ได้ยังไง? ลูกชายฉันเพิ่งจะตายไปไม่นานนี้เอง แวบเดียวเธอกลับอดรนทนไม่ได้ต้องมองหาคนข้างนอกแล้ว หลิวกุ้ยอิง เธอมันไร้ยางอายเกินไปจริง ๆ”
เวลานี้นางได้เผยนิสัยเห็นแก่ตัวของตนออกมาอย่างสมบูรณ์
หลินเซี่ยหัวเราะเยาะ “ขนาดคุณยังคิดจะหาสามีใหม่ให้แม่ฉันเลย ทีอย่างนี้ไม่สำนึกผิดต่อลูกชายของตัวเองบ้างล่ะ? คุณก็แค่อยากผูกมัดแม่ฉันให้คอยรับใช้อยู่ข้างกายไม่ใช่เหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้ ไม่มีทางซะหรอก”
หลินเซี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป มองไปที่หลินจินชาน “พี่ชาย ส่งหล่อนกลับไปได้แล้ว”
หลินจินซานดึงแม่เฒ่าหลินให้ออกจากบ้านพลางพูดว่า “ย่า ไป กลับบ้านกับผม”
หญิงชรายังคงดึงดันจะอยู่ที่เดิม ต่อให้ออกแรงมากแค่ไหนก็ลากนางไม่ได้ “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น กุ้ยอิง บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าผัวใหม่เธอเป็นใคร?”
นางมองไปที่หลินจินซานด้วยความโกรธ ถามว่า “จินซาน เธอยอมให้แม่ตัวเองแต่งงานกับคนอื่นหรือไง?”
หลินจินซานตอบกลับ “ทำไมผมจะไม่ยอมล่ะ? พ่อตายไปตั้งสามปีแล้ว แม่ผมก็เพิ่งจะอายุสี่สิบต้น ๆ หล่อนไม่มีสิทธิ์แสวงหาความสุขให้กับตัวเองหรือไง? ก่อนหน้านี้ย่าก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากปล่อยให้หล่อนกลายเป็นม่ายตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต?”
“ฉันพูดว่าไม่อยากให้หล่อนเป็นม่ายไปตลอดชีวิตก็จริง แต่สมควรทำอะไรให้คนหัวเราะเยาะจนตายเหรอ? ถ้าหล่อนไปแต่งงานกับคนอื่น เธอจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ อีกหน่อยเธอจะหาเมียได้ยังไง? ใครจะเต็มใจแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่มีพ่อและแม่สามี?”
แม่เฒ่าหลินประหลาดใจอีกครั้ง มองไปที่หลินจินซานอย่างสงสัยและถามว่า “จริงเหรอ?”
ทำไมพวกเขาถึงมีแฟนกันทันทีที่เข้าเมือง?
ในเมืองหาแฟนกันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ?
หลินจินซานเริ่มขู่ด้วยทัศนคติที่หนักแน่น “จริง ๆ ถ้าย่าอยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ทำตัวอาละวาดเหมือนนางปีศาจใจร้าย ผมจะพาแฟนผมกลับมาให้ย่าเห็นหน้าในอนาคต แต่ถ้าย่ายังทำตัวเหมือนเดิม ผมจะไม่สนใจย่าอีก”
แม่เฒ่าหลินหยุดปากมากกะทันหัน
“มาเถอะ กลับบ้านกันได้แล้ว”
แม่เฒ่าหลินกำลังจะถูกหลินจินซานลากออกไป
แต่ในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นสายตาของนางก็หยุดที่เซี่ยเหลยผู้ดูเคร่งขรึมและสง่างาม
นางกลอกตาแล้วหยุดชะงักฝีเท้าอีกครั้ง
ทำไมช่วงคิ้วและดวงตาของผู้ชายคนนี้ถึงมีความคล้ายกับหลินเซี่ยนิดหน่อย?
ประเด็นคือ เขาคอยยืนอยู่ข้างหลิวกุ้ยอิงตลอดเวลา ราวกับพยายามจะปกป้องหล่อน
ไหนจะแววตานั่นอีก สีหน้ามืดมนไม่รับแขก เหมือนพร้อมกินใครสักคนทุกเมื่อ
แม่เฒ่าหลินมีชีวิตอยู่มาเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว นางย่อมไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน*
*สำนวน แปลว่าคนที่ใช้ชีวิตเป็น ไม่เสียเปรียบใครง่ายๆ
ทันใดนั้นก็คาดเดาบางอย่างในใจได้
“ผัวใหม่เธอใช่ไอ้หนุ่มขาเดี้ยงคนนี้หรือเปล่า?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ลากแม่เฒ่าหลินนี่ไปเก็บเถอะ ไม่ต้องมาหว่านล้อมให้สะใภ้กลับไปเป็นคนใช้ตัวเองเลย
ไหหม่า(海馬)