ตอนที่ 375 รู้สึกผิด
เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรง
เหมือนเป็นโรคกระดูกนิ่ม นางหมอบตัวไม่ยอมขยับเขยื้อน
วันนี้อาเป่ยยุ่งมาก
หากไม่ได้กำลังวุ่นวายกับการพลิกสิ่งของในหีบขึ้นมาเก็บให้เป็นระเบียบ ก็กำลังยุ่งอยู่กับการล้างถ้วยชาม หรือการปูที่นอนพับผ้าห่ม
นางยังตั้งใจวางหีบไม้ที่มี ‘ดาบทะลุไส้’ บรรจุอยู่ภายในเอาไว้ในที่ที่สะดุดตาที่สุด
ไม่ได้คำนึงแม้แต่น้อยว่ามันจะกระทบกระเทือนจิตใจของคุณหนูตัวเองหรือไม่
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่นางหลายรอบแล้ว แต่อาเป่ยก็ราวกับติดตั้งเกราะกำบัง มองไม่เห็นแม้แต่น้อย
จากนั้นเยียนอวิ๋นเกอจึงบ่นออกมา “ข้าควรฟังแม่นมกุ้ย ให้เจ้าออกเรือนไปให้เร็ว”
อาเป่ยสองมือเท้าเอว พูดอย่างมีเหตุมีผล “คุณหนูให้บ่าวออกเรือนไป ต่อไปผู้ใดจะพูดคุยแก้เบื่อกับคุณหนู คุณหนูอยากฟังความจริง เกรงว่าจะหาคนพูดไม่ได้”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
เฮอะๆ
สีหน้าของนางรังเกียจอย่างมาก
อาเป่ยส่งเสียงไม่พอใจ “คุณหนูก็แค่ไม่รู้จักพอ เงื่อนไขมากเกินไป”
เยียนอวิ๋นเกอตำหนินาง “ดูท่าทางมีเหตุผลของเจ้า ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าผู้ใดเป็นนาย ผู้ใดเป็นบ่าว”
“บ่าวย่อมเป็นบ่าว! คุณหนูเลอะเลือนเสียแล้ว เรื่องง่ายดายเช่นนี้ยังต้องถามอีก”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
หมดปัญญาที่จะสนทนาด้วย กลอกตาเสียดีกว่า!
กลอกตาประหยัดแรงมากกว่า
อาเป่ยพูดอีก “เมื่อวาน พ่อบ้านปล่อยพันธุ์ปลาพันกว่าตัวลงบ่อน้ำอีกแล้ว คุณหนูไม่ไปตกปลาหรือ วันนี้อากาศดี หากไม่ไปตกปลา เกรงว่าจะน่าเสียดาย”
“ไม่มีอารมณ์!”
“แม้แต่การตกปลาที่คุณหนูชอบที่สุดยังไม่มีอารมณ์ ผู้ใดทำให้คุณหนูโกรธกัน”
“นอกจากเจ้า ยังมีผู้ใดอีก”
“คุณหนูใส่ร้าย! บ่าวทำงานตั้งแต่เช้า จนถึงเวลานี้ แม้แต่น้ำยังไม่ทันได้ดื่ม คุณหนูต่างหากที่มีเรื่องในใจ แต่ยังไม่ให้ผู้อื่นพูด”
เยียนอวิ๋นเกออยากจะอุดปากของอาเป่ยเอาไว้เสียจริง!
เอาเถิด!
นางสู้ไม่ได้ แต่หลบได้
นางไปตกปลาเสียดีกว่า!
ตกปลามีผลดีต่อสุขภาพกายใจที่แข็งแรง
…
เยียนอวิ๋นเกอเพิ่งนั่งลงในศาลาพักร้อนก็มีสาวรับใช้วิ่งมาด้วยความร้อนรน “คุณหนูสี่ พระชายาท่านอ๋องผิงชินกลับมาแล้ว ร้อนใจอย่างมาก ย่อมต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อนางได้ยิน ก็ไม่สนใจที่จะตกปลาอีก
นางโยนก้านตกปลาทิ้ง ก่อนจะวิ่งไปยังห้องโถง
เมื่อมาถึงด้านนอกประตูห้องโถงก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่สองเยียนอวิ๋นฉี
“…ข้าทำผิดต่อน้องสี่ ข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจรั้งท่านอ๋องเอาไว้ได้ ท่านแม่โปรดลงโทษข้าเถิด! ข้าไม่มีหน้าไปพบน้องสี่แล้ว!”
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
เยียนอวิ๋นเกอเดินเข้าห้องโถงด้วยคำถามมากมาย
เยียนอวิ๋นฉีหยุดร้องไห้ในทันที แต่นางก็ไม่อาจหยุดสะอื้นได้
นางรู้สึกผิด รู้สึกละอาย แม้แต่บนใบหน้าของนางก็แสดงออกถึงความละอายใจ
นางอ้าปาก สุดท้ายก็เอ่ยขึ้น “น้องสี่ พี่ทำผิดต่อเจ้า”
“พี่สองอย่าพูดเหลวไหล ท่านทำผิดต่อข้าอย่างไร” เยียนอวิ๋นเกอพยายามฝืนยิ้มออกมา
นางรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางโดยตรง
เพียงแต่ยังไม่รู้รายละเอียดเท่านั้น
แม้ในใจของนางจะตื่นตระหนก แต่ก็ยังต้องแสร้งทำเป็นใจเย็น เพื่อไม่ให้พี่สองร้องไห้เสียใจกว่าเดิม
เยียนอวิ๋นฉีอ้าปากต้องการพูด แต่ไม่คิดว่าจะปล่อยโฮออกมา ร้องไห้จนหายใจไม่ทัน
“ข้าห้ามเขาเอาไว้ไม่ได้ เขาเอาแต่จะเข้าวังไปทูลขอพระราชโองการ! เขาทำเกินไปแล้ว ไม่สนใจความรู้สึกข้าแม้แต่น้อย ไม่คำนึงถึงความเต็มใจของน้องสี่แม้แต่น้อย”
เยียนอวิ๋นเกอเห็นพี่สองอารมณ์เดือดดาล พูดไปพูดมาก็ไม่เข้าประเด็นเสียที นางจึงทำได้เพียงมองไปยังเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา
เซียวฮูหยินถอนหายใจ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ “ไม่รู้เซียวอี้ใช้สิ่งใดโน้มน้าวท่านอ๋องผิงชิน ท่านอ๋องผิงชินจึงยอมเข้าวังทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกแทนเขา”
“พระราชทานงานอภิเษก?”
เยียนอวิ๋นเกอฉงนเล็กน้อย พลันชี้มาทางตัวเอง “พระราชทานงานอภิเษกให้ข้า?”
เซียวฮูหยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ “พระราชทานเจ้าให้เซียวอี้!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เซียวฮูหยินก็พูดด้วยความโกรธ “ฉวยโอกาสที่พระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกยังไม่ลงมา ข้าจะเข้าวังไปหยุดยั้งเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ไม่ว่าอย่างไร ไม่อาจให้พระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกออกจากวังได้”
“ทันหรือ” เยียนอวิ๋นฉีมองเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาตาปริบๆ
“อย่างไรก็ต้องลอง!”
เซียวฮูหยินรีบสั่งให้คนมาเปลี่ยนชุด เตรียมตัวเข้าวังหลวงเพื่อขัดขวางเซียวเฉิงเหวิน
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “ท่านแม่ ต้องให้ข้าตามท่านเข้าวังไปด้วยหรือไม่”
เซียวฮูหยินเข้าวังด้วยตนเอง
เยียนอวิ๋นเกอมองส่งนางออกจากจวน
ดวงตาของเยียนอวิ๋นฉีแดงก่ำ “น้องสี่ ข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าไม่อาจห้ามท่านอ๋องเอาไว้ได้ เขาไม่ยอมฟังข้า ข้าก็หมดหนทาง ทำได้เพียงกลับมารายงานท่านแม่”
เยียนอวิ๋นเกอยังถือว่าสงบ นางไม่มีสีหน้ากังวลแม้แต่น้อย “พี่สองรู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องเข้าวังเพื่อทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก อีกทั้งยังทูลขอแทนเซียวอี้”
เยียนอวิ๋นฉียิ้มขมขื่น “ข้าสงสัยว่าเขาตั้งใจเปิดเผยเรื่องนี้ต่อข้า แต่ก็ไม่ยอมฟังคำโน้มน้าวของข้า ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่แม้แต่น้อย ทั้งที่เขาเกลียดเซียวอี้เพียงนั้น เหตุใดจึงต้องทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกแทนเซียวอี้กัน!”
“ทั้งสองคนอาจมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง!”
เยียนอวิ๋นเกอไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
วันนั้น นางปฏิเสธเซียวอี้ไปแล้ว
ตอนนั้น เซียวอี้จากไปอย่างรีบร้อน นางรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะขอให้ท่านอ๋องผิงชิน ช่วยทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก
ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง
สมแล้วที่ไม่มีศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ถาวร
ช่างอยากรู้เสียจริง เซียวอี้เสนอเงื่อนไขอย่างไรออกมาจึงทำให้เซียวเฉิงเหวินหวั่นไหวได้
ในเวลาเดียวกัน นางก็สงสัยอย่างมาก เหตุใดเซียวอี้จึงเลือกนาง
นางไม่เคยส่งสัญญาณที่ไม่สมควรมีให้เขาแม้แต่น้อย นางไม่เคยแสดงความรู้สึกทางด้านนั้นระหว่างชายหญิงแม้แต่น้อย
เหตุใดเขาจึงเจาะจงนาง
จะแต่งงานกับนางเท่านั้น เขาเคยถามความเห็นของนางหรือไม่
เขาอยากแต่ง นางก็จำเป็นต้องแต่งกับเขาหรือ
เพราะเหตุใดกัน
เพราะเหตุใดคู่ครองของนางต้องถูกคนนอกลิขิต
เรื่องนี้ทำให้เยียนอวิ๋นเกอไม่พอใจอย่างมาก
สาวรับใช้อาเป่ยพูดไม่ดูเวลาอีกครั้ง “หรือว่าคุณหนูถูกลิขิตให้แต่งงานกับนายน้อยอี้? ในเมื่อนายน้อยอี้มีหนทางในการขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก แล้วเรื่องที่เขาทำก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานจะมีประโยชน์ใด”
“หุบปาก!” เยียนอวิ๋นเกอตำหนิเสียงเบา
เยียนอวิ๋นฉีมองเยียนอวิ๋นเกอตาปริบๆ “น้องสี่ ต่อไปข้าต้องทำอย่างไร เจ้าตีข้าเถิด!”
“พี่สองอย่าพูดเหลวไหล ข้าจะตีท่านทำอันใด! ท่านพยายามแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านตั้งแต่ต้น”
“จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร เจ้าเป็นน้องสาวของข้า น้องสาวร่วมมารดาของข้า”
เยียนอวิ๋นเกอถอนหายใจยาว “ถ้าเขามีความสามารถทูลขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกได้จริง ข้าคงต้องชื่นชมเขา แต่อย่างไรก็ตาม ข้าจะจัดการเรื่องต่อไปด้วยตัวเอง ดังนั้น พี่สองไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ท่านคิดดีกว่าว่าจะกลับไปจัดการกับท่านอ๋องผิงชินอย่างไร ท่านบอกเขา บัญชีนี้ข้าจะจำไปตลอด ข้าไม่เพียงแต่ต้องคิดบัญชีกับเซียวอี้เท่านั้น แต่ยังจะคิดบัญชีกับเขาด้วย ข้าเยียนอวิ๋นเกอไม่ใช่คนที่สามารถถูกบงการได้”
ปัง!
ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงไป ทำให้โต๊ะหายไปมุมหนึ่ง
บรรดาบ่าวรับใช้ต่างชื่นชมด้วยความประหลาดใจ
เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ไม่เห็นคุณหนูสี่โกรธเพียงนี้
แย่แล้ว!
แย่แล้ว!
มีคนจะแย่แล้ว!
ถึงแม้นายน้อยอี้จะสู่ขอคุณหนูสี่ได้ตามความปรารถนา แต่อย่าคิดที่จะมีชีวิตที่ดีหลังแต่งงานอีกเลย
เขาต้องถูกทำร้ายร่างกายอย่างแน่นอน
อย่างไม่ต้องสงสัย!
เยียนอวิ๋นฉีจับมือของเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้ พูดด้วยความสงสาร “เหตุใดจึงโกรธเพียงนี้ มือไม่เจ็บหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเยาะตนเอง “พี่สองไม่ต้องกังวลมือของข้าไม่เป็นอันใด วันหนึ่งเมื่อข้าต้องออกเรือน อย่าลืมเตือนเซียวเฉิงเหวินให้เตรียมสินสอดจำนวนมากไว้ให้ข้าด้วย”
เยียนอวิ๋นฉีทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง “ข้าไร้ความสามารถ ข้ารั้งเขาเอาไว้ไม่ได้ น้องสี่ เจ้าอย่าท้อใจ ไม่แน่ท่านแม่อาจไปทัน สามารถหยุดยั้งเขาเอาไว้ได้”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหัว “ในเมื่อเซียวเฉิงเหวินจงใจเปิดเผยข่าวนี้ให้ท่านทราบ เขาย่อมมีแผนการ การเข้าวังของท่านแม่ในคราวนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะไม่สำเร็จ เอาเถิด เอาเถิด พี่สองตามข้าไปที่ศาลาตกปลา ข้าต้องการพักผ่อน”
“น้องสี่ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มพลันส่ายหน้า “พี่สองไม่ต้องกังวลข้า เพียงแค่พระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกฉบับเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่แม้แต่น้อย แต่งกับผู้ใดก็คือแต่ง เซียวอี้อยากแต่ง ข้าก็จะแต่งงานกับเขา เพียงแค่เขาไม่กลัวตาย!”
เมื่อพูดถึง ‘ตาย’ ก็ราวกับมีความอาฆาตปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก
เซียวอี้ ‘ตาย’ แน่
“เจ้าจะแต่งงานกับเซียวอี้ได้อย่างไร! เขาไม่คู่ควรกับเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าสามารถแต่งงานกับบุตรชายบ้านใหญ่ของตระกูลชั้นนำได้ แต่งงานกับชายผู้มีความสามารถได้ แต่เซียวอี้มีคุณสมบัติอย่างไรจึงจะแต่งงานกับเจ้าได้ เขาไม่คู่ควร เจ้าแต่งงานกับเขาก็เหมือนการลดตัว ไม่ยุติธรรมเกินไป!”
เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนน้องสี่เยียนอวิ๋นเกอ
เรื่องนี้ทำให้นางขุ่นเคืองที่สุด เซียวอี้มีสิทธิ์ใดแต่งงานกับน้องสาวของนาง
เขามีคุณสมบัติใด
คนเหลวไหลเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่อยู่ให้ห่างจากน้องสี่ของนาง
เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนน้องสี่
เยียนอวิ๋นเกอยังไม่มีท่าทีแต่อย่างใด นางก็ร้องไห้ออกมาเสียก่อน
ไม่เป็นธรรมเหลือเกิน!
เยียนอวิ๋นเกอหันกลับมาปลอบนาง “เหตุใดพี่สองจึงร้องไห้ หน้าเปื้อนหมดแล้ว”
“ข้าทำผิดต่อน้องสี่ ข้าเป็นคนบาป! เวลาที่ข้าควรช่วย ข้ากลับช่วยไม่ได้แม้แต่น้อย ข้าทำผิดต่อน้องสี่!”
เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกผิด นางรู้สึกติดค้างน้องสี่มากมาย ชาตินี้ก็ชดใช้ไม่หมด
เซียวเฉิงเหวิน เหตุใดท่านต้องใจร้ายเพียงนี้
เหตุใดจึงต้องผลักน้องสี่เข้ากองเพลิง
เพราะเหตุใด
เยียนอวิ๋นเกอกอดเยียนอวิ๋นฉีเอาไว้ พลันลูบหลังของนางเบาๆ “อย่าร้อง อย่าร้อง! ร้องไห้น่าเกลียด ไม่กลัวถูกคนหัวเราะเอาหรือ”
เยียนอวิ๋นฉีพูดไปร้องไห้ไป “เดิมทีข้าก็น่าเกลียดอยู่แล้ว!”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะร่า “พี่สองพูดเล่นอีกแล้ว! ท่านไม่อัปลักษณ์ ท่านเป็นพี่สองที่งดงามที่สุดในปฐพี”
“เจ้าไม่ต้องปลอบข้า! เจ้าพูดเช่นนี้ ในใจข้ายิ่งรู้สึกผิด”
เยียนอวิ๋นเกอให้บ่าวรับใช้นำน้ำอุ่นมา นางเช็ดทำความสะอาดใบหน้าให้พี่สองด้วยตนเอง
หลังจากจัดการจนสะอาดสะอ้าน นางก็จูงมือของพี่สองมุ่งหน้าไปยังศาลาตกปลา
เวลานี้ นางกลับสงบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นางยังสามารถตกปลาได้อย่างใจจดใจจ่อ
เยียนอวิ๋นฉีมองนางด้วยความกังวล
นางไม่หันกลับไปมอง “วันนี้พี่สองอย่ากลับไปเลย พักที่จวนองค์หญิง รับประทานอาหารด้วยกันก่อนเถิด ข้าคิดอาหารจานใหม่ได้ วางแผนจะลองทำวันนี้ ถ้าพี่สองกังวลหลานสาว ท่านให้แม่นมคนสนิทกลับจวนอ๋องไปนำตัวหลานสาวมา พวกท่านแม่ลูกพักอยู่ในจวนองค์หญิงสักสิบวันครึ่งเดือน”
เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า “ได้! ข้าฟังน้องสี่ ไม่ต้องพานัวนัวมา นางกำลังอยู่ในช่วงวัยซุกซน ไม่นำนางมาสร้างความเดือดร้อนให้น้องสี่ดีกว่า”
“เอาที่พี่สองตัดสินใจเถิด! ท่านพักอยู่ที่นี่ พวกเราสองพี่น้องพักเรือนเดียวกันเหมือนแต่ก่อน แต่ละวันมีเรื่องที่พูดคุยกันไม่หมด”
พูดจบ เยียนอวิ๋นเกอก็เผยยิ้มให้พี่สอง