ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 193 มองหา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 193 มองหา

น้ารองเซิ่งค่อนข้างสงวนท่าที

อาหารเหล่านี้แม้จะดูดี กลิ่นก็หอม แต่ก็ไม่ควรรีบร้อนเกินไปกระมัง

เมื่ออายุมากขึ้นและยังเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องของความอยากอาหารเขายังคงควบคุมได้

“พี่เขย ข้าขอดื่มคารวะท่านหนึ่งจอก” น้ารองเซิ่งยกจอกสุราขึ้น

เห็นเพียงแม่ทัพใหญ่ลั่วและคุณชายสามเซิ่งรวดเร็วปานสายฟ้า ตะเกียบของพวกเขายื่นไปที่ขาหมูตุ๋นจานนั้นแล้ว

ขาหมูถูกหั่นเป็นชิ้นใหญ่และบาง หนังมีรอยย่นน้ำเข้มข้นดูน่าอร่อย

แม่ทัพใหญ่ลั่วกลืนขาหมูชิ้นหนึ่งลงไปก่อนจะยกจอกสุราชน พูดขณะมีอาหารในปากว่า “น้องภรรยาลำบากแล้ว”

แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย น้องภรรยาเกิดจากครอบครัวที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมอันดีงาม ตามหลักแล้วเวลากินและเวลานอนต้องห้ามพูดสิ

กินอิ่มเสร็จค่อยพูดไม่ได้หรือ

สายตาของน้ารองเซิ่งเหลือบมองปากที่มันวาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว จากนั้นก็มองไปขาหมูจานนั้น พบว่าขาหมูหายไปครึ่งจานแล้ว

คุณชายสามเซิ่งกำลังก้มหน้าก้มตากินไม่หยุด

หลานชายที่เรียบร้อยและอ่อนโยนที่รู้จักก็กำลังกินไม่หยุด และยังกินด้วยสีหน้าเย็นชาด้วย

ตะเกียบในมือของน้ารองเซิ่งจึงอดคีบขาหมูชิ้นหนึ่งมาไม่ได้

ทันทีที่ขาหมูเข้าปาก ดวงตาของน้ารองเซิ่งก็เบิกโต

“ท่านพ่อ ท่านลองชิมลิ้นเป็ดกระเทียมดำนี่ดู อร่อยมากเช่นกันขอรับ”

น้ารองเซิ่งเคี้ยวขาหมูที่อยู่ในปาก มองบุตรชายด้วยแววตาสงสัย

เขาไม่เคยกินขาหมูที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน เนื้อสดรสชาติกลมกล่อม มันแต่ไม่เลี่ยน ลิ้นเป็ดกระเทียมดำจะอร่อยกว่าขาหมูได้อย่างไร

ต้องเป็นเพราะว่าเจ้าเด็กน้อยอยากให้เขากินขาหมูได้น้อยแน่ๆ

คุณชายรองเซิ่งเห็นสายตาของท่านพ่อก็รู้ทันที เขารีบอธิบายว่า “ลิ้นเป็ดกระเทียมดำของหอสุราน้องลั่วไม่เหมือนกับที่อื่น ที่นี่ใช้บ๊วยแห้งและกระเทียมดำในการหมัก รสชาติเป็นเอกลักษณ์มาก…”

น้ารองเซิ่งกินลิ้นเป็ดชิ้นหนึ่ง

“ท่านพ่อ เนื้อตุ๋นท่านก็ต้องชิม เนื้อตุ๋นเป็นกับแกล้มที่พบได้บ่อยในหอสุรา เป็นอาหารทดสอบฝีมือของคนครัวได้ดีที่สุด”

น้ารองเซิ่งยังพูดอะไรได้อีก เขาต้องกินอยู่แล้ว!

อาหารจานแล้วจานเล่า น้ารองเซิ่งกินทุกจานด้วยดวงตาเป็นประกาย

เขาเป็นคนเรียบร้อยที่ได้รับการศึกษามา แต่ช่วยไม่ได้ อาหารเหล่านี้อร่อยเกินไปจริงๆ

ประชาชนถือเอาเรื่องปากเรื่องท้องเป็นเรื่องใหญ่ คนโบราณไม่เคยโกหก

ครานี้อาหารจานใหม่ปลาเส้นผัดแตงกวาดองใส่ขิงที่ลั่วเซิงบอกเพิ่งจะถูกยกขึ้นมา

จานใบบัวสีมรกตมีชิ้นปลาที่มีความหนาเท่ากัน ปลาเนื้อขาวสะอาด เห็นเพียงเนื้อปลาไม่เห็นหนัง แตงกวาดองและขิงเส้นบางราวกับเส้นด้าย เพิ่มสีสันให้ความขาวของเนื้อปลาให้น่าทานยิ่งขึ้น

สีเขียวใสจากแตงกวาดองซอย สีเหลืองนวลจากขิงซอย

ลั่วเซิงแนะนำ “อาหารจานนี้ให้ความสำคัญกับทักษะการใช้มีดอย่างมาก ต้องทำให้เนื้อปลาไม่ติดหนัง ไม่ขาด ไม่แตกและไม่เละถึงจะถูกต้อง ท่านน้าและท่านพ่อลองชิมดูเจ้าค่ะ”

ลั่วเฉินจับตะเกียบแน่น กำลังพยายามเคี้ยวเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่ง

เนื้อปลาเส้นสีขาวดุจหิมะถูกคีบใส่ถ้วยของเขา

ลั่วเฉินเงยหน้ามอง

“น้องชายก็ลองชิมดู”

ลั่วเฉินตอบอืมเบาๆ ก้มหน้ากินปลาเส้น

“อร่อยหรือไม่”

“อร่อย!” คุณชายสามเซิ่งเผยรอยยิ้มกว้าง พยักหน้าหงึกๆ

ลั่วเฉินมองด้วยสายตารังเกียจ พูดออกมาเพียงสองคำอย่างสงวนท่าทีว่า “ใช้ได้”

ก็ไม่ได้อร่อยจนทำให้เขาต้องประจบเอาอกเอาใจเช่นนั้น

ใครจะไปเหมือนพี่สามที่ไม่เอาไหนเช่นนี้

ในขณะที่กำลังสงวนท่าที ปลาเส้นผัดแตงกวาดองใส่ขิงก็จะหมดแล้ว

ใบหน้าของเด็กหนุ่มบูดบึ้งทันที เขารีบคีบคำสุดท้าย

อืม อร่อยจริงๆ

แต่เขาไม่พูดออกมาให้ลั่วเซิงได้ใจหรอก

เมื่อทานเสร็จ เห็นน้ารองเซิ่งอารมณ์ดี คุณชายสามเซิ่งจึงฉวยโอกาสพูดว่า “ท่านพ่อ ช่วงนี้ลูกได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการช่วยงานหอสุราน้องลั่ว ลูกคิดว่าต่อไปเราเปิดสาขาที่จินซาได้ขอรับ ท่านคิดว่า… ให้ลูกอยู่เมืองหลวงไปอีกสักพักดีหรือไม่ขอรับ”

หงโต้วที่ยืนอยู่ข้างๆ กลอกตา

ช่วยงานหอสุราคุณหนูของพวกนางหรือ

คุณชายญาติผู้พี่หน้าหนายิ่งกว่าขาหมูเสียอีก

น้ารองเซิ่งลูบท้องที่กลมโตพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกชายจึงอยู่เมืองหลวงไม่ยอมกลับไป

ได้กินอาหารแบบนี้ทุกวัน เป็นเขาเขาก็ไม่กลับ!

เมื่อเห็นน้ารองเซิ่งไม่พูด คุณชายสามเซิ่งก็พยายามต่อไปว่า “อีกอย่าง อีกไม่นานพี่ใหญ่และพี่รองก็จะเข้าเมืองหลวงแล้ว หากไม่ได้จริงๆ ลูกค่อยกลับไปพร้อมพี่ชายทั้งสองก็ได้ ท่านคิดว่าดีหรือไม่ขอรับ”

น้ารองเซิ่งอยากพยักหน้า แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก

เจ้าเด็กนี่กลับช้าหน่อยได้ แต่เขาอยู่ต่อไม่ได้นี่

ลูกชายมาแล้วไม่กลับ พ่อมาแล้วก็ไม่กลับแล้วจะให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ไกลถึงจินซาคิดอย่างไร

เขาอายุมากจนลูกชายแต่งภรรยาได้แล้ว จะอยู่ต่อเพราะอาหารไม่ได้

แต่มันอร่อยจริงๆ นี่!

น้ารองเซิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวตนเองให้กลับบ้าน

ช่างเถิด ทำใจกลับไปก่อนแล้วกัน ถึงครานั้นค่อยบอกพวกฮูหยินผู้เฒ่า หากคุณชายใหญ่และคุณชายรองสอบติดต้องอยู่ในเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ต้องมีกิจการบางอย่างในเมืองหลวงแล้วเขาค่อยอยู่คอยจัดการเรื่องเหล่านี้ในเมืองหลวงแล้วกัน

แม้ว่ายากจนมีดีอย่างไรก็มิอาจทิ้งบ้านเกิดได้ แต่เขาก็ทำเพื่อลูกๆ อย่างไรเล่า

น้ารองเซิ่งมองลูกชายที่มีสายตาจริงจัง พยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ท่านพี่ได้กินอาหารเหล่านี้ทุกวันเลยหรือ” ลั่วเฉินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ใช่แล้ว ข้าเป็นคนของหอสุรา ย่อมมีสวัสดิการส่วนนี้”

ลั่วเฉินมองลั่วเซิงนิ่ง เอ่ยเงื่อนไขว่า “ท่านพี่ ข้าก็อยากเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของหอสุรา”

“เฉินเอ๋อร์ พ่อหาอาจารย์ไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าอายุยังน้อย เรียนหนังสือให้มากดีกว่านะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบกล่าว

ลูกสาวกินข้าวที่นี่ ลูกชายก็กินข้าวที่นี่ แม้แต่หลานชายก็กินข้าวที่นี่ เคยคิดถึงความรู้สึกของเขาบ้างหรือไม่

ลั่วเฉินยิ้มเบาๆ “ไม่กระทบเรื่องเรียนหนังสือขอรับ หอสุราของท่านพี่เปิดกลางคืนมิใช่หรือ กลางวันข้าจะตั้งใจเรียน กลางคืนค่อยมาช่วยงานก็ได้แล้ว”

แม่ทัพใหญ่ลั่วจะพูดอะไรได้อีก ได้แต่ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนักเหมือนกับน้ารองเซิ่ง

เสียดายที่เขาเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับต้นๆ และองครักษ์ขององค์ฮ่องเต้ และยังเป็นพ่อของเซิงเอ๋อร์ มาเป็นเสี่ยวเอ้อร์หอสุราคงไม่ได้

ชีวิตเรา สิ่งที่ไม่สบใจมีแปดเก้าอย่างในสิบอย่าง

แม่ทัพใหญ่ลั่วถอนหายใจ คีบลิ้นเป็ดชิ้นหนึ่งเข้าปาก

ในห้องโถงชั้นล่าง แขกเริ่มนั่งเต็มโต๊ะแล้ว

ร่างในชุดสีแดงเข้มที่นั่งข้างหน้าต่างเป็นที่คุ้นเคยของแขกประจำที่นี่แล้ว หากไม่ใช่ไคหยางอ๋องแล้วจะเป็นใคร

“นายท่าน ท่านกำลังมองหาคุณหนูลั่วหรือขอรับ” สือเยี่ยนยืนข้างๆ เห็นเว่ยหานเหลือบมองโต๊ะคิดเงินก็ถามเสียงเบา

เว่ยหันมองสือเยี่ยนด้วยสายตาเยือกเย็น

เดิมสือเยี่ยนคิดว่าจะโดนไล่ออกไป คิดไม่ถึงว่าเว่ยหานจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่งั้นจะมองหาผู้ดูแลหรือ”

คำถามย้อนถามนี้ถามอย่างตรงไปตรงมาและเป็นธรรมชาติ ทำเอาองครักษน้อยอ้ำอึ้ง

ในเมื่อพูดออกมาแล้ว เว่ยหานก็ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณหนูลั่วเล่า”

นางไม่เคยไม่อยู่ห้องโถงนานเช่นนี้

ครานั้นไม่อยู่ห้องโถงนานเพราะไปสังหารคน

ครานี้ไปไหนอีกนะ

เว่ยหานไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสงสัยหรือไม่วางใจ ในเมื่ออยากรู้ก็ถามเลยแล้วกัน

“คุณหนูลั่วกำลังกินข้าวอยู่ในห้องส่วนตัวขอรับ วันนี้คุณชายลั่วกลับมาแล้ว ทั้งครอบครัวจึงมากินข้าวที่หอสุรา” ขณะที่สือเยี่ยนตอบ เขาก็รู้สึกซับซ้อนมาก

บางครั้งเขารู้สึกว่านายท่านคิดได้แล้ว แต่ความเป็นจริงยังคิดไม่ได้

บางครั้งเขารู้สึกว่านายท่านสมองทึบเกินไป แต่นายท่านก็กล้าหาญมากเลยนี่

“ที่แท้น้องชายกลับมานี่เอง” เว่ยหานยกจอกกระดกสุราลงไป

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท