ตอนที่ 215 ยากที่จะลืม
แม่ทัพใหญ่ลั่วหาลั่วเซิงจนเจอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฮ่องเต้ทรงอยากเสวยขาหมูขอทานของท่านอาซิ่วหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว” แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกผิดเมื่อต้องเผชิญกับดวงตาเป็นประกายของลูกสาว
หากฮ่องเต้ขอตัวอาซิ่วไปจริงๆ เขาคงช่วยลั่วเซิงชิงกลับมาไม่ได้
“รู้แล้วเจ้าค่ะ”
เห็นการตอบสนองอันสงบของลั่วเซิง แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ่งรู้สึกผิด
เซิงเอ๋อร์คงไม่ใช่ยังคิดไม่ถึงหรอกนะ
แม่ทัพใหญ่ลั่วลังเลว่าจะเตือนดีหรือไม่ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเงียบ
ยื้อได้ก็ยื้อ หากยื้อไม่ได้ค่อยว่ากัน
เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายหนุ่มในชุดสีแดงเข้ม จู่ๆ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็โมโหขึ้นมา
ใกล้ถึงเวลาทานข้าวก็มาทันที ทั้งตรงเวลาและขยันกว่าเขาผู้เป็นพ่อเสียอีก
หากไม่ใช่เพราะไคหยางอ๋องล่าหมูป่าตัวหนึ่งให้อาซิ่วทำขาหมูขอทาน ชื่อเสียงของอาซิ่วจะดังไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ได้อย่างไร
ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นจากไคหยางอ๋อง!
เว่ยหานที่เดินไปข้างหน้ารับรู้ถึงแรงอาฆาตของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เขาล่วงเกินแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือ
เว่ยหานตั้งใจคิด
ไม่มีนะ
เว่ยหานเดินเข้าไปอย่างสงบ กล่าวอย่างสุภาพว่า “วันนี้แม่ทัพใหญ่ลั่วมาเร็วจริงๆ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมา
ไคหยางอ๋องพูดเช่นนี้หมายความว่าเขาผู้เป็นพ่อมาเร็วแล้วผิดปกติหรือ
ทว่าแม้จะโมโหในใจ แต่ใบหน้ากลับรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้
“วันนี้มาทำธุระสำคัญน่ะ”
เว่ยหานมองแม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ที่แท้แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดว่าการกินข้าวไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือ
แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงัก
สายตาของไคหยางอ๋องทำให้เขารู้สึกโมโหอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอมเบาๆ “ฮ่องเต้ทรงอยากเสวยขาหมูขอทาน”
เว่ยหานใจกระตุก เขาเหลือบมองลั่วเซิงทันที
เด็กสาวไม่มีอาการผิดปกติใดๆ นางส่งขาหมูขอทานที่ห่อด้วยดินเหนียวให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว “เสร็จพอดี ท่านพ่อนำไปถวายให้ฮ่องเต้เถอะเจ้าค่ะ”
ดินเหนียวยังร้อนอยู่ มีใบบัวสองสามใบรองไว้
แม่ทัพใหญ่ลั่วประคองไว้ในมือ รู้สึกร้อนมือ หัวใจเต้นระรัว
ฮ่องเต้เสวยแล้ว จะขอตัวแม่ครัวไปหรือไม่นะ
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินจากไปด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง
ลั่วเซิงไม่ได้สนใจชายหนุ่มข้างกาย นางหยิบช้อนไม้ด้ามยาวคันหนึ่งขึ้นมาคนน้ำแกงที่กำลังเดือดเบาๆ
วันนี้เสี่ยวชีพาลั่วเฉินไปเก็บเห็ดในป่า สำหรับทำน้ำแกงเห็ดกระดูกหมู
ไม่จำเป็นต้องเติมเครื่องปรุงมากเกินไปในหม้อน้ำแกงสีขาว แค่โรยต้นหอมหนึ่งกำมือหลังจากทำเสร็จก็อร่อยแล้ว
“เจ้าไม่กังวลหรือ” เสียงเคร่งขรึมของชายหนุ่มดังขึ้น
ลั่วเซิงหันไปมองเขา “กังวลเรื่องอะไรเจ้าคะ”
สายตาเยือกเย็นเงียบสงบ ราวกับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย หรือบางทีอาจจะรู้อยู่แก่ใจ
เว่ยหานเงียบครู่หนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “ข้ากังวลเล็กน้อย”
ครานั้นผิงหนานอ๋องหมกมุ่นในการกินขาหมูตุ๋นที่คุณหนูลั่วทำ ถูกคุณหนูลั่วยิงด้วยธนู
บัดนี้ฮ่องเต้ทรงสนพระทัยในอาหารชื่อขาหมูขอทานที่คุณหนูลั่วทำ… เขาไม่กล้าคิดมากไปกว่านั้น
ลั่วเซิงตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งยื่นให้เขา “ท่านอ๋องดื่มน้ำแกงเถอะ”
นางไม่ต้องการให้ผู้ใดเป็นห่วง ขอเพียงอย่ามาทำลายแผนการของนางก็พอ
จะว่าไปแล้ว จุดยืนของไคหยางอ๋องก็ค่อนข้างประหลาด…
ลั่วเซิงตกอยู่ในความคิด ลืมปล่อยมือที่ถือถ้วยน้ำแกงไว้
เว่ยหานรับไว้แต่ดึงมาไม่ได้ เขาจึงถือถ้วยไว้ในมือและมองนาง
ทั้งสองถือถ้วยน้ำแกงใบเดียวกัน ดูแล้วน่าขัน
“พวกท่าน… ไม่รู้สึกร้อนมือหรือ” ลั่วเฉินที่ไปเก็บไข่นกเพิ่มกลับมาเห็นฉากนี้ก็อดพูดขึ้นไม่ได้
ลั่วเซิงตั้งสติได้ ปล่อยมือออกอย่างสงบ ยิ้มให้เด็กหนุ่มหน้าเคร่งขรึม “ได้ไข่นกมาแล้วหรือ”
“ได้มาเยอะเลยขอรับ” เสี่ยวชีพูดอย่างดีอกดีใจ
ลั่วเฉินเหลือบมองเขา รีบเดินไปข้างหน้าลั่วเซิง ยื่นตระกร้าไม้ไผ่ใบเล็กใบหนึ่งที่ปูด้วยใบไม้และหญ้าหนาๆ เอาไว้
ในตระกร้ามีไข่นกสิบฟอง ยังมีหยดน้ำใสๆ เกาะอยู่บนไข่
“ล้างแล้วหรือ”
“อืม” ลั่วเฉินตอบ เหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าดำ “เสี่ยวชีบอกว่าล้างสะอาดแล้วจะได้เอาไปต้มกินได้เลย”
เขาคิดได้แล้ว
เหตุใดต้องเปรียบเทียบจุดด้อยของตนเองกับจุดเด่นของผู้อื่น เจ้าเด็กหน้าดำเติบโตในป่า เขาจะเก่งเรื่องเหล่านี้กว่าตนก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ
เขาอ่านหนังสือเป็นนี่
เด็กหนุ่มที่พบความสมดุลทางใจแล้วก็กลัวเด็กเหลือขอที่จะแย่งพี่สาวของตนน้อยลง
เขาโดดเด่นเช่นนี้ ลั่วเซิงไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย
ลั่วเซิงเห็นเด็กหนุ่มสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นก็ยิ้มอย่างชื่นใจ
แม่ทัพใหญ่ลั่วถือขาหมูขอทานมาถึงกระโจมทองของจักรพรรดิหย่งอัน
“ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่ลั่วมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์เบาๆ
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
จักรพรรดิหย่งอันมองสิ่งของสีดำในมือแม่ทัพใหญ่ลั่ว ถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่ลั่วถืออะไรในมือหรือ”
“ทูลฝ่าบาท นี่คือขาหมูขอทานพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันเหลือบมองโจวซาน
โจวซานรีบถามแทนจักรพรรดิหย่งอันว่า “แม่ทัพใหญ่ ขาหมูขอทานนี่ต้องทานอย่างไรหรือ”
“ต้องกระเทาเปลือกดินเหนียวด้านนอกออกก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วรับค้อนที่ขันทียื่นมา กะเทาะเปลือกดินเหนียวชั้นนอกออก เผยให้เห็นใบบัว กลิ่นหอมประหลาดลอยขึ้นมา
โจวซานรับขาหมูขอทานมา ขั้นแรกทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน จากนั้นใช้มีดตัดเป็นชิ้นๆ แล้วลองกิน
หนังหมูบางๆ เพิ่งเข้าปาก โจวซานก็ตาโต
นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว เรียกว่าขาหมูขอทานได้อย่างไร!
จู่ๆ ก็ทนไม่ไหว ชิมอีกชิ้นหนึ่ง
จักรพรรดิหย่งอันมองโจวซาน
โจวซานใบหน้าสงบนิ่งดูจงรักภักดีอย่างมาก
ขาหมูใหญ่ขนาดนี้ กินแค่ชิ้นเดียวเพื่อทดสอบยาพิษได้ที่ไหนกัน
เพื่อความปลอดภัยของฮ่องเต้ เขาต้องกินเยอะหน่อย
หากมีพิษก็ให้เขาตายเถอะ ถือว่าแสดงความภักดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง โจวซานถวายขาหมูที่หั่นแล้วให้จักรพรรดิหย่งอัน “ฝ่าบาททรงลองชิมพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันจับตะเกียบกินคำหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ “รสชาติดีมากจริงๆ แม่ทัพใหญ่ลั่ว นี่คืออาหารที่คนครัวที่ลูกสาวเจ้าพามาทำหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วใจหล่นลงไปตาตุ่ม “พ่ะย่ะค่ะ”
“ให้รางวัล”
เมื่อได้ยินจักรพรรดิหย่งอันตรัสเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็โล่งใจ
เห็นทีคงจจะรักษาแม่ครัวของลูกสาวไว้ได้แล้ว
เดินออกจากกระโจมทอง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ถอนหายใจแรง
ในกระโจมเหลือเพียงขันทีและนางกำนัล จักรพรรดิหย่งอันเสวยขาหมูอีกชิ้นหนึ่ง สั่งโจวซานว่า “ไปเชิญกุ้ยเฟยมา”
โจวซานรับพระบัญชาเดินไปยังกระโจมข้างๆ
“ฝ่าบาทเชิญข้าไปทานขาหมูหรือ” เมื่อได้ยินโจวซานพูด เซียวกุ้ยเฟยก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
“เหนียงเหนียงเชิญพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรอท่านอยู่”
เซียวกุ้ยเฟยไปพบจักรพรรดิหย่งอันด้วยความประหลาดใจ
นางเพิ่งเข้าไปในกระโจมก็ได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายไหล
“เจ้ามาแล้วหรือ” จักรพรรดิหย่งอันที่พระพักตร์เคร่งขรึมตลอดเวลาที่อยู่ต่อหน้าขุนนางเผยรอยยิ้ม “เจ้าลองชิมอาหารจานนี้ดูสิ ชื่อขาหมูขอทาน”
เซียวกุ้ยเฟยล้างมือเสร็จก็นั่งลงข้างกายจักรพรรดิหย่งอัน รับตะเกียบเงินที่นางกำนัลส่งให้คีบขาหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมาทาน
“เป็นอย่างไร” จักรพรรดิหย่งอันถามด้วยความคาดหวัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวกุ้ยเฟยก็พยักหน้า “อร่อยเพคะ ไม่รู้ว่าพ่อครัวหลวงคนไหนทำ”
อาหารจานนี้ทำให้นางคิดถึงสมัยเด็กๆ
ครานั้นนางได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากแม่ใหญ่ของนาง ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด นางถูกบังคับให้คุกเข่าในศาลบรรพบุรุษ ถูกห้ามไม่ให้กินหรือดื่ม
สาวใช้ของนางแอบนำไก่ตัวอ้วนที่ห่อหุ้มด้วยดินเหนียวมาให้นาง
ผ่านไปหลายปีแล้ว นางลืมกลิ่นหอมหลังจากที่กะเทาะเปลือกดินเหนียวนั่นไม่ลงตลอดมา
สาวใช้ของนางถูกแม่ใหญ่ของนางทุบตีจนตาย